xs
xsm
sm
md
lg

"ดร.สันต์" เผยข้อมูลปริมาณน้ำฝน กทม.ย้อนหลัง 5 ปี ชี้วันที่แย่ที่สุดของปีนี้อาจจะยังมาไม่ถึง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เผยข้อมูลตัวเลขย้อนหลัง 5 ปีปริมาณน้ำฝนของกรุงเทพมหานคร ย้ำวันที่แย่ที่สุดของปีนี้อาจจะยังมาไม่ถึง ทำใจไว้เลย และปีที่แย่ที่สุดก็น่าจะยังมาไม่ถึงเช่นกัน

วันนี้ (12 ก.ย.) เฟซบุ๊ก "Sunt Srianthumrong" หรือ ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีระบุว่า “น้ำท่วมกรุงเทพฯ: สรุปแล้วตกลงว่า น้ำมาก ฝนมาก หรือว่าเป็นที่การบริหารจัดการไม่ดี เรามาดูตัวเลขย้อนหลัง 5 ปีกันครับ ผมบอกเลยครับว่า วันที่แย่ที่สุดของปีนี้อาจจะยังมาไม่ถึงนะครับ ทำใจไว้เลย และแน่นอนครับว่า ปีที่แย่ที่สุดก็น่าจะยังมาไม่ถึงเช่นกัน 

เรามาค่อยๆ วิเคราะห์ตัวเลขข้อมูลย้อนหลัง 5 ปีกันครับ ตัวเลขที่ผมคิดว่าบ่งชี้ได้ดีว่าท่วมหรือไม่ท่วมเมื่อฝนตกเฉียบพลันคือตัวเลขรายวัน เพราะว่าน้ำท่วมแบบฝนตก ส่วนมากก็เกิดจากการระบายระยะสั้นไม่ทันครับ ส่วนค่าปริมาณฝนรายเดือนจะเหมาะกับการวิเคราะห์การท่วมของ กทม.จากน้ำเหนือ ซึ่งปัญหาที่เราเจอเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ ปัญหาท่วมจากฝนตกหนักในพื้นที่แบบรายวัน 

ตารางที่ 1: ปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ที่สถานีวัดที่สูงที่สุดในรอบ 24 ชั่วโมง ตัวเลขตั้งแต่ 1 ส.ค.-10 ก.ย. เช็กระดับ 100 มม. ปี 2560 มีเกิน 100 มม. 3 วัน ปี 2561 มีเกิน 100 มม. 0 วัน ปี 2562 มีเกิน 100 มม. 0 วัน ปี 2563 มีเกิน 100 มม. 1 วัน ปี 2564 มีเกิน 100 มม. 4 วัน ปี 2565 มีเกิน 100 มม. 8 วัน ช่วง 6 ปีมีเกิน 100 มม ทั้งหมด 16 วัน โดยมี 8 วันอยู่ในปี 2565 กราฟที่ 1: ปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ที่สถานีวัดที่สูงที่สุดในรอบ 24 ชั่วโมง ตัวเลขตั้งแต่ 1 ส.ค.-10 ก.ย. เช็กระดับ 120 มม.

ปี 2560 มีเกิน 120 มม. 0 วัน ปี 2561 มีเกิน 120 มม. 0 วัน ปี 2562 มีเกิน 120 มม. 0 วัน ปี 2563 มีเกิน 120 มม. 1 วัน ปี 2564 มีเกิน 120 มม. 2 วัน ปี 2565 มีเกิน 120 มม. 6 วัน ช่วง 6 ปีมีเกิน 120 มม. ทั้งหมด 9 วัน โดยมี 6 วันอยู่ในปี 2565 และทั้ง 9 วันอยู่ในช่วง 3 ปีหลัง 

กราฟที่ 2: ค่าเฉลี่ย 7 วันของปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ที่สถานีวัดที่สูงที่สุดในรอบ 24 ชั่วโมง ตัวเลขตั้งแต่ 7 ส.ค.-10 ก.ย. ปี 2560 สูงสุด 66.9 มม. วันที่ 31 ส.ค. ปี 2561 สูงสุด 50.3 ม.ม. วันที่ 9 ก.ย. ปี 2562 สูงสุด 24.9 มม. วันที่ 26 ส.ค. ปี 2563 สูงสุด 70.4 มม. วันที่ 3 ก.ย. ปี 2564 สูงสุด 85.0 มม. วันที่ 1 ก.ย. ปี 2565 สูงสุด 99.9 มม. วันที่ 10 ก.ย. ปีนี้ค่า 99.9 นับเป็นสถิติสูงสุดของ 7-day Moving Average ที่พบในเขต กทม.ในรอบ 6 ปี  ถ้าเราดูเส้นกราฟสีแดงจะเห็นได้ว่าพุ่งทำลายสถิติแบบที่น่ากังวลมากว่ามันอาจจะไม่จบแค่นี้

กราฟที่ 3: ปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ที่สถานีวัดที่สูงที่สุดในรอบ 24 ชั่วโมง ตัวเลขช่วง 3 เดือนตั้งแต่ 1 ส.ค.-31 ต.ค. กราฟบ่งบอกอนาคต เราจะเห็นได้ว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมากราฟแท่งสีเทาจะมีกราฟแท่งสูงๆ ในช่วงครึ่งหลังของหน้าฝน คือกลาง ก.ย.-ปลาย ต.ค. หนาแน่นกว่าในช่วงต้นหน้าฝน ดังนั้น นี่คือความน่ากังวลว่า "วันที่เลวร้ายที่สุดของปีนี้อาจจะยังมาไม่ถึง" ท้ายตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย 10 วันแรกของเดือนกันยายน :

ปี 2560 ค่าเฉลี่ย 60.0 มม. ปี 2561 ค่าเฉลี่ย 43.9  มม. ปี 2562 ค่าเฉลี่ย 24.2 มม. ปี 2563 ค่าเฉลี่ย 52.8 มม. ปี 2564 ค่าเฉลี่ย 54.4 มม. ปี 2565 ค่าเฉลี่ย 81.4 มม. ทุบสถิติราบคาบ บทสรุป: 1. ปีนี้ฝนที่ตกในเขต กทม. ช่วงต้น ก.ย.มีค่าเฉลี่ยรายวันสูงมาก และเกิดขึ้นแบบหลายวันติดกัน 2. ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยราย 7 วันทุบสถิติรอบ 6 ปีของช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค. ไปแล้ว 3. ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 10 วันแรกของเดือนกันยายน ทุบสถิติเช่นกัน 4. จำนวนวันที่ฝนตกหนักกว่า 100 มม. ทุบสถิติ 5. จำนวนวันที่ฝนตกหนักกว่า 120 มม. ทุบสถิติ 6. ปัญหาที่ใหญ่มากคือ ค่าเฉลี่ยรายเดือนอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย แต่ Extreme day กลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก นี่คือ Character ของปัญหา Climate Crisis สถิติที่ยังไม่ทุบ 

1. ปริมาณฝนสูงสุดรายเฉพาะวัน เจ้าของสถิติเดิมที่ 223 มม. คือเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2560 ภาพข่าวจาก The Standard วันนั้นตกหนักต่อเนื่องจากช่วงกลางคืนแค่วันเดียวเท่านั้นก็เละแบบหมดสภาพครับ หนักยิ่งกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาเยอะครับ บางทีผมคิดว่านี่คือแค่จุดเริ่มต้น ซึ่งไม่ใช่แค่จุดเริ่มต้นของปีนี้นะครับ แต่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนของหายนภัยที่จะมาในปีต่อๆ ไปด้วย ยิ่ง Global Warming รุนแรงขึ้นเท่าใหร่ เราจะยิ่งเจอ Extreme Weather Event แบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ หายนะจริงย่อมรุนแรงกว่าสัญญาณเตือน และถ้าน้ำทะเลสูงขึ้นมากกว่านี้อีกในช่วงปี ค.ศ. 2050 สิ่งที่ผมกังวลที่สุดตอนนี้คือ กทม.และอีกหลายพื้นที่โดยรอบจะยังคงสามารถอยู่อาศัยได้หรือไม่นะครับ ถ้าผู้คนยังไม่ใส่ใจและละเลยปัญหาสิ่งแวดล้อมกันแบบนี้ มนุษย์เราส่วนมากก็มองเห็นกันแต่ พวกใครพวกมัน การเมือง เงินในกระเป๋า GDP และความมักง่ายสารพัด    

ไม่ได้พูดเล่นนะครับ พูดจริงๆ เที่ยวหน้าผมจะเอาแผนที่น้ำท่วมในปี 2050 มาวิเคราะห์ร่วมกับเรื่องโลกร้อนกันครับ แล้วค่อยมาดูกันว่า พ่อบ้านแม่บ้าน มนุษย์ธรรมดา จะเอาตัวรอดกันอย่างไรครับ จำกันไว้ครับว่า This is just the Beginning. ปล. จากคนที่ไม่ลงทุนอสังหาฯ ใน กทม.เลยแม้แต่บาทเดียว”

คลิกโพสต์ต้นฉบับ


กำลังโหลดความคิดเห็น