นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ เผยผลวิจัย "ยาฟาวิพิราเวียร์" ไม่ลดจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกาย ไม่ช่วยให้อาการติด "โควิด-19" ดีขึ้น แต่คนที่กินกลับมีกรดยูริกสูงขึ้น พร้อมแนะไทยควรเลิกนำมาใช้รักษาผู้ป่วย
วันนี้ (9 ก.ย.) เฟซบุ๊ก "หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC" หรือ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความระบุว่า "ทราบจากสื่อต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย. 2564 ผลการศึกษาแบบสุ่ม และมีกลุ่มควบคุมเปรียบเทียบยาฟาวิพิราเวียร์กับยาหลอก ที่ทำในสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และบราซิล สร้างความผิดหวังให้กับบริษัทยาของญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ยาตัวนี้
ในที่สุด ผลงานวิจัยนี้เพิ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร Clinical Infectious Diseases เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2565 การศึกษาทำในช่วง พ.ย. 2563-ต.ค. 2564 เป็นการศึกษาขนาดใหญ่ในคนติดเชื้อไวรัสโควิด 1,187 ราย อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป (ชาวอเมริกัน 963 คน, เม็กซิกัน 163 คน, บราซิล 65 คน) โดยให้ยาภายใน 5 วันหลังเริ่มมีอาการ ให้ยาทั้งหมด 10 วัน 599 คน รับยาฟาวิพิราเวียร์ 588 คนรับยาหลอก
ผลการศึกษาพบว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ไม่แตกต่างจากยาหลอก ไม่ช่วยทำให้อาการของโรคโควิดดีขึ้น ไม่ลดความรุนแรงของโรค ไม่ลดการป่วยหนักเข้านอนในโรงพยาบาล ไม่ลดจำนวนไวรัสในร่างกาย แต่คนที่กินยาฟาวิพิราเวียร์มีกรดยูริกสูงขึ้นถึง 19.9% เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก 2.8% ในการศึกษานี้พูดถึงประเทศที่ยังใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ มีประเทศรัสเซีย, อินโดนีเซีย, ดูไบ และประเทศไทยรวมอยู่ด้วย บทสรุปของการศึกษานี้ ไม่ควรนำยาฟาวิพิราเวียร์มาใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรหยุดใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในการรักษาโรคโควิด-19
ขณะที่ ยาโมลนูพิราเวียร์ ปัจจุบันราคาไม่แพงกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ ประเทศเพื่อนบ้านของเราเลิกใช้ยาฟาวิพิราเวียร์นานแล้ว และเข้าถึงยาโมลนูพิราเวียร์ และแพ็กซ์โลวิดซึ่งมีหลักฐานพิสูจน์ลดความรุนแรงของโรค ลดการเข้านอนในโรงพยาบาล องค์การเภสัชกรรมควรเลิกผลิต นำเข้ายาฟาวิพิราเวียร์ และไม่ควรส่งยาฟาวิพิราเวียร์ให้ร้านขายยาและโรงพยาบาลอีกต่อไป