“กันยายนทมิฬ” “BLACK SEPTEMBER” เป็นขบวนการหนึ่งขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งกับกองทัพจอร์แดนของกษัตริย์ฮุสเซน จนปะทะกันหนักในเดือนกันยายน ๒๕๑๓ และยืดเยื้ออยู่นาน การที่ก่อตั้งขบวนการนี้ขึ้นมาเพื่อแก้แค้นจอร์แดน และได้ลอบสังหารนายวาสฟีอัล-ทอล นายกรัฐมนตรีจอร์แดนได้สำเร็จ องค์การนี้เคยมาสร้างข่าวดังสนั่นโลกในเมืองไทย โดยเข้ายึดสถานทูตอิสราเอลจับเจ้าหน้าที่สถานทูตและครอบครัวเป็นตัวประกันเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๑๕ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับแฮปปี้เอนดิ้งอย่างมหัศจรรย์ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเพียง ๓ เดือนเศษ ขบวนการกันยายนทมิฬได้สร้างข่าวสนั่นโลกเหมือนกัน โดยบุกเข้าสังหารนักกีฬาของอิสราเอลในโอลิมปิกที่เยอรมันตายไป ๒ คน แล้วจับโคชและนักกีฬาอิสราเอล เพื่อต่อรองให้แลกเปลี่ยนกับสมาชิกของขบวนการที่ถูกจับ แต่เรื่องนี้จบลงอย่างโศกนาฏกรรมด้วยความตายของทั้งผู้ปฏิบัติการ ตัวประกัน นักบิน และตำรวจ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกีฬาโอลิมปิกเมืองมิวนิกครั้งนั้น เริ่มขึ้นในเวลา ๔.๓๐ น.ของวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๑๕ กลุ่มกันยายนทมิฬ ๘ คนได้บุกเข้าไปในหมู่บ้านนักกีฬา และจับนักกีฬาอิสราเอล ๑๑ คนรวมทั้งโคช แต่ ๒ คนพยายามหลบหนีเลยถูกยิงตาย กลุ่มปฏิบัติการเรียกร้องขอให้ปล่อยตัวนักโทษ ๒๓๐ คนที่อยู่ในเรือนจำอิสราเอลแลกกับตัวประกัน รัฐบาลอิสราเอลปฏิเสธและขอเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยเพราะมีประสบการณ์มาหลายครั้งแล้ว แต่เยอรมันไม่ยอมและเตรียมบุกเข้าช่วยตัวประกันเอง โดยพยายามยืดเวลาหาโอกาส ในการเจรจาฝ่ายกันยายนทมิฬได้ขอบินไปอียิปต์ เยอรมันตกลงพร้อมส่งเฮลิคอปเตอร์ ๒ ลำรับไปสนามบิน แต่เตรียมทีมสไนเปอร์ซุ่มโจมตีไว้เต็มอัตรา
ในเวลา ๒๒.๓๐ ขณะที่กลุ่มกันยายนทมิฬเคลื่อนย้ายจากเฮลิคอปเตอร์จะไปขึ้นโบอิ้ง ๗๒๗ สไนเปอร์เยอรมันก็ลั่นไกใส่ คนในกลุ่มจึงยิงต่อสู้และขว้างระเบิดเข้าใส่เฮลิคอปเตอร์ที่ตัวประกันยังอยู่ในเครื่อง เป็นผลให้ตัวประกันตายทั้งหมด ตำรวจเยอรมันตายไป ๑ นักบินเฮลิคอปเตอร์อีก ๔ ฝ่ายกันยายนทมิฬตาย ๕ อีก ๓ คนรอดแต่ก็ถูกจับ
๑ เดือนต่อมา ขบวนการกันยายนทมิฬได้จี้เครื่องบินลูฟท์ฮันซ่า เรียกร้องให้ปล่อยตัวสมาชิก ๓ คนนี้ รัฐบาลเยอรมันเลยต้องยอม แต่อิสราเอลไม่ยอมจบเรื่องนี้ที่จะให้ผู้ก่อการร้ายลอยนวล หน่วยข่าวกรองของอิสราเอลที่มีชื่อว่า “มอสสาด” จึงเปิดปฏิบัติการ “พระเจ้าพิโรธ” ตามล่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารนักกีฬาโอลิมปิกของตนให้ได้ มอสสาดสืบรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือ อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ ผู้มีฉายาว่า “Red Price” ซึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ที่สวีเดน
อาลี ฮัดซัน ซาลาเมห์ เกิดในครอบครัวร่ำรวยชาวปาเลสไตน์ พ่อเสียชีวิตในการทำสงครามกับอิสราเอล แต่ไปใช้ชีวิตเจ้าสำราญอยู่ที่เยอรมันในโฉมหน้าเป็นคนรูปหล่อพ่อรวย เป็นนักรัก นักแข่งรถ ควงสาวไม่ซ้ำหน้า แต่เบื้องหลังซาลาเมห์เป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือองค์การปลดปล่อยปาเลสไตล์ รวมทั้งเป็นผู้ที่ยัสเซอร์ อาราฟัด ผู้นำองค์กรให้ความไว้วางใจ และเป็นผู้ก่อตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับอาราฟัดด้วย
ปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธครั้งนี้มี ไมเคิล ฮาร์รารี่ ผู้มีฉายา “เจมส์ บอนด์ แห่งอิสราเอล” เป็นหัวหน้าทีม มีสมาชิกทั้งชายหญิง ๑๕ คน แบ่งเป็น ๕ ชุด คือชุดแรกเป็นทีมสังหาร ชุดที่ ๒ เป็นหน่วยคุ้มครองทีมสังหาร ชุดที่ ๓ เป็นฝ่ายอำนวยความสะดวกในการขนส่งและเดินทาง ชุดที่ ๔ มีหน้าที่สะกดรอยตามเป้าหมายและวางแผนเส้นทางหลบหนีให้ชุดสังหาร ชุดที่ ๕ ทำหน้าที่ดูแลการสื่อสารของทีม
ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๖ ทีมล่าสังหารมุ่งไปที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่เมืองลิลลิแฮมเมอร์ ทางตอนเหนือของนอร์เวย์ ตามข้อมูลที่ว่า เรดปรินซ์ซ่อนตัวเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ ใช้เอกสารเป็นคนโมร็อกโคในชื่อ อาเหม็ด บุชิกี ทีมล่าสังหารไปซุ่มดูเห็นบุชิกีกำลังเสิร์ฟให้สายลับของปาเลสไตน์คนหนึ่งอยู่พอดี เข้าใจว่าทั้งสองคนกำลังวางแผนอะไรกันบางอย่าง ทำให้แน่ใจว่าบุชิกีก็คือเรดปริ้นซ์ไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน และนี่จะเป็นงานชิ้นโบว์แดงของมอสสาดที่ล้างแค้นให้นักกิฬาโอลิมปิกอิสราเอล
แผนสังหารถูกกำหนดขึ้นในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๖ เมื่อบุชิกีออกจากโรงภาพยนตร์กำลังจะกลับบ้านพร้อมกับแฟนสาวชาวนอร์เวย์ที่กำลังมีครรภ์ หน่วยล่าสังหารอิสราเอลจึงสาดกระสุนใส่เขา ๑๓ นัด เสียชีวิตทันที แต่แฟนสาวไม่ได้รับอันตราย
รุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ต่างเสนอข่าวที่บุชิกีถูกสังหารอย่างน่าแปลกใจ เพื่อนบ้านต่างยืนยันว่าเขาเป็นคนนิสัยดีมาก และเปิดเผยเรื่องราวต่างๆของเขาจนทำให้มอสสาดรู้ว่าสังหารผิดคนเสียแล้ว ความตายของเด็กเสิร์ฟผู้บริสุทธิ์จากความผิดพลาดของมอสสาดแพร่ไปทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าองค์กรที่เลื่องชื่อนี้ไม่ได้มีประสิทธิภาพสมกับชื่อเสียง นอร์เวย์ถือว่าเรื่องนี้ยิ่งกว่าการฆาตกรรมธรรมดา ยังเป็นการละเมิดอธิปไตยด้วย จึงดำเนินการตามกฎหมายตามจับสายลับอิสราเอลได้ ๖ คน แต่หัวหน้าหน่วยกับมือสังหารหนีออกนอกประเทศไปได้ พบว่าทั้งหมดใช้หนังสือเดินทางปลอม เรื่องกระจ่างแจ้งเมื่อคนหนึ่งในกลุ่มนี้ทนแรงกดดันกับวิธีการสอบสวนของของตำรวจนอร์เวย์ไม่ไหวยอมเปิดเผยปฏิบัติการ “พระเจ้าพิโรธ” ทางการอิสราเอลเลยยอมเสียหน้าขอเจรจาเพื่อช่วยสายลับเหล่านี้ แต่ทางนอร์เวย์ไม่ยอม ดำเนินคดีตามกฎหมาย ศาลได้ตัดสินจำคุกทั้ง ๖ คนตามความผิดต่างกันไป ๑-๕ ปี
ความจริงแล้วอาลี ฮัดซัน ซาลาเมห์ แม้เขาจะเป็นผู้สนับสนุนองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจับนักกีฬาอิสราเอลที่โอลิมปิกเลย งานหลักที่เขาทำให้องค์การคือเป็นผู้ประสาน ๑๐ ทิศ ป้อนข้อมูลเบื้องหลังการเมืองให้หลายประเทศในย่านนั้นรวมทั้งอเมริกาเพื่อมุ่งผลประโยชน์ของปาเลสไตน์ ในช่วงสงครามกลางเมืองเลบานอน ซาลาเมห์เป็นคนที่ช่วยพานักการทูตสหรัฐออกจากเลบานอนได้ เขาจึงมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซีไอเอ ที่ป้อนข้อมูลให้อเมริกาก็เพื่อให้ช่วยปาเลสไตน์จากการรุกรานของอิสราเอล ซึ่งอเมริกาก็พอใจในข้อมูลที่ได้จากเขา ทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีผู้ก่อการร้ายรายใดในตะวันออกกลางทำร้ายคนอเมริกันหรือโจมตีสถานทูตสหรัฐ และได้ตอบแทนเขาโดยช่วยเรียกร้องอิสราเอลคืนดินแดนให้ปาเลสไตน์เพิ่มขึ้น
ส่วน “เจมส์ บอนด์แห่งอิสราเอล” ก็เป็นเจมส์ บอนด์สมชื่อ หนีออกนอกประเทศไปได้พร้อมพามือสังหารไปด้วย เขายอมรับความผิดพลาดที่ทำให้มอสสาดเสียหน้าในครั้งนี้ด้วยการยื่นใบลาออก แต่ได้รับการยับยั้งจากนางโกลดา แมร์ นายกรัฐมนตรี เลยต้องทำหน้าที่เป็นเจมส์ บอนด์ต่อไป
เรื่องที่ตื่นเต้นซับซ้อนยังกับหนังนี้ หากจะถามว่าไม่มีนางเอกหรือ นางเอกของเรื่องนี้มีนามว่า ซิลเวีย ราฟาเอล เป็น ๑ ใน ๘ ของหน่วยปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธที่นอร์เวย์ เธอเกิดในอาฟริกาใต้ พ่อเป็นชาวยิวที่รอดชีวิตจากค่ายล้างเผ่าพันธุ์ในเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ ๒ เธอคือคนที่ระบุว่าอาเหม็ด บุชิกีคือซาลาเมห์ จึงถูกศาลนอร์เวย์ตัดสินจำคุกสูงกว่าทุกคนถึง ๕ ปี เมื่อพ้นโทษเธอก็เสียความรู้สึกกับงานสายลับ จึงไม่ยอมกลับไปอิสราเอล และแต่งงานกับทนายความชาวนอร์เวย์ที่ว่าความให้สายลับมอสสาดในคดีนี้ แฮปปี้เอนดิ้งไป
ปฏิบัติการของขบวนการกันยายนทมิฬที่เมืองมิวนิก เป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจคนทั้งโลก แต่ปฏิบัติการของขบวนการนี้ที่กรุงเทพฯ กลับทำให้คนทั้งโลกถอนหายใจและยิ้มด้วยความสุข ทั้งแปลกใจว่าเรื่องมหัศจรรย์อย่างนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้ในโลก สามารถทำให้กันยายนทมิฬกลับใจได้ ทั้งๆที่ลงมือปฏิบัติการไปแล้ว