แขวงทางหลวงสมุทรสาครทดสอบระบบเปิดจุดกลับรถชั่วคราว ถนนพระราม 2 ทดแทนสะพานกลับรถหน้าโรงพยาบาลวิภาราม สมุทรสาคร ที่ถูกพังถล่มลงมา ใช้ได้เฉพาะรถยนต์ขนาดเล็ก 4 ล้อเท่านั้น จนกว่าการปรับปรุงสะพานกลับรถจะแล้วเสร็จ
วันนี้ (5 ก.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า แขวงทางหลวงสมุทรสาคร กรมทางหลวง ดำเนินการทดสอบระบบเพื่อทดลองเปิดจุดกลับรถชั่วคราว บนเกาะกลางถนน ทางหลวงหมายเลข 35 หรือถนนพระรามที่ 2 กม.37+450 ต.บางกะเจ้า อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ใช้รถใช้ถนน จากการปิดซ่อมสะพานกลับรถที่ กม.34+000 หรือสะพานกลับรถหน้าโรงพยาบาลวิภาราม สมุทรสาคร โดยดำเนินการตรวจสอบระบบไฟฟ้าส่องสว่างให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ ติดตั้งหลักนำทาง และแผงกั้นพลาสติกในการจัดช่องจราจร และป้องกันอุบัติเหตุจากรถทางตรงในช่องทางหลัก ช่องทางด้านขวาสุด เนื่องจากรถทางตรงวิ่งมาด้วยความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม จุดกลับรถดังกล่าวกลับรถได้เฉพาะรถยนต์ขนาดเล็กไม่เกิน 4 ล้อเท่านั้น
อ่านโพสต์ คลิปที่นี่
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ที่ประชุมคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกจังหวัดสมุทรสาคร (อจร.สค.) ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธาน มีมติให้แขวงทางหลวงสมุทรสาครหารือกับกรมทางหลวงเพื่อเปิดจุดกลับรถชั่วคราว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ จนกว่าการก่อสร้างปรับปรุงสะพานกลับรถจะแล้วเสร็จอีกประมาณ 3-4 เดือน ซึ่งจุดกลับรถชั่วคราวที่เสนอในที่ประชุมนั้นเคยเป็นจุดกลับรถเดิม แต่ได้มีการนำแท่งแบริเออร์วางปิดไว้ อีกทั้งอยู่ในจุดสิ้นสุดโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 (M82) สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว กระทั่งนายประลองยุทธ์ กสิวงศ์ ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงสมุทรสาคร ได้ทดสอบระบบเปิดจุดกลับรถชั่วคราวดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ ศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 3 (ปทุมธานี) กรมทางหลวง ได้ทำการปิดซ่อมพื้นสะพานกลับรถบริเวณหน้าโรงพยาบาลวิภาราม สมุทรสาคร ไปเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้รถที่มาจากกรุงเทพฯ หรือตัวเมืองสมุทรสาคร จะกลับรถไปยังนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร และรถที่ออกจากชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม ริมแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก ได้แก่ ต.ท่าจีน ต.ท่าฉลอม และ ต.บางหญ้าแพรก ต้องไปกลับรถใต้สะพานข้ามคลองขุดบ้านบ่อ ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 39 ซึ่งห่างจากจุดเดิมไปประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีการก่อสร้างทางแยกต่างระดับบ้านแพ้ว ส่วนรถตั้งแต่ 10 ล้อขึ้นไปให้ไปกลับรถบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 42 บริเวณวัดเกตุมวดีศรีวราราม ห่างจากจุดเดิมไปประมาณ 8 กิโลเมตร
กระทั่งคืนวันที่ 31 ก.ค. เกิดโศกนาฏกรรมคานสะพาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสะพานกลับรถพังถล่มลงมาทับรถยนต์ที่กำลังสัญจรบนช่องทางหลัก (Main Road) ขาเข้ากรุงเทพฯ ได้รับความเสียหาย 3 คัน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ น.ส.สุวรรณี รักท้วม อายุ 40 ปี เสียชีวิตในรถเก๋งเชฟโรเลต และนายชาญ ชาวทอง อายุ 48 ปี พนักงานโยธา ศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 3 ปทุมธานี ตกลงมาจากสะพาน เสียชีวิตที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร ส่วนผู้บาดเจ็บมี 2 ราย คือ น.ส.ลัคขณา จงศิริโรจน์กุล อายุ 40 ปี คนขับรถยนต์ และนายฉัตรชัย ศิริมาศ อายุ 27 ปี ลูกจ้างชั่วคราว และต้องปิดการจราจรช่องทางหลักทั้งหมด ภายหลังกรมทางหลวงตัดสินใจยกคานหลักทั้ง 4 ตัวของสะพานกลับรถออกทั้งหมด เพื่อให้รถยนต์สัญจรในช่องทางหลักได้ตามปกติ
ต่อมาวันที่ 24 ส.ค. คณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกิดอุบัติเหตุคานสะพานกลับรถฯ พังถล่ม เปิดเผยผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าคานที่เกิดอุบัติเหตุไม่พบจุดยึดรั้งระหว่างคาน (I-Girder) และคานขวาง (Diaphragm) ซึ่งตามรูปแบบการก่อสร้างจะประกอบด้วยเหล็กเสริมด้านบนและด้านล่างตลอดแนวยาวของคานขวาง และจากการตรวจสอบลักษณะความเสียหายบริเวณรอยต่อของโครงสร้างคานที่เกิดอุบัติเหตุ สาเหตุของการร่วงหล่นคาดว่าเกิดจากการสูญเสียเหล็กเสริมในโครงสร้างคานขวางระหว่างการรื้อถอนพื้นสะพานเพื่อซ่อมแซมพื้นสะพานแบบ Full Depth ส่งผลให้เกิดแรงบิดในโครงสร้างของคานตัวริม เนื่องจากน้ำหนักเยื้องศูนย์อาจทำให้โครงสร้างสูญเสียเสถียรภาพและหลุดออกจากจุดรองรับ แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุเพลิงไหม้รถบรรทุกน้ำมันบนสะพานเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2547
สำหรับแผนการปรับปรุงสะพานกลับรถในเบื้องต้น กรมทางหลวงจะทำการออกแบบให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. 2565 และจะลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมร่วมกันวางแผนการก่อสร้าง และแผนการจัดการจราจร ในเดือน ต.ค. 2565 คาดว่าจะดำเนินการหล่อคานสำเร็จรูป ติดตั้ง และก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค. 2565 โดยก่อนเปิดการจราจรบนสะพานกลับรถ กรมทางหลวงจะทำการทดสอบการรับน้ำหนักบรรทุกของสะพานตามหลักวิศวกรรมร่วมกับสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสะพานกลับรถดังกล่าวมีความมั่นคงแข็งแรงตามหลักวิศวกรรม ก่อนเปิดให้ประชาชนสัญจรไปมาตามปกติต่อไป