xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 28 ส.ค.-3 ก.ย.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.จับตา "เนตร นาคสุข" คุณสมบัติจะผ่านเพื่อลุ้นเป็น ป.ป.ช.หรือไม่ หลังผิดวินัยร้ายแรง-ถูกให้ออกจากราชการ กรณีสั่งไม่ฟ้อง "บอส วรยุทธ"!

เมื่อวันที่ 29 ส.ค. มีรายงานว่า หลังจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 1 คน ระหว่างวันที่ 18-27 ส.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีผู้สมัครเข้ารับการสรรหา จำนวน 9 คน

ประกอบด้วย 1. นายเนตร นาคสุข อายุ 67 ปี อดีตรองอัยการสูงสุด อาวุโสลำดับที่ 1 (สมัครคุณสมบัติตามมาตรา 9 วรรคสอง (1) 2. นายพศวัจณ์ กนกนาก อายุ 65 ปี ประธานศาลอุทธรณ์ (สมัครคุณสมบัติตามมาตรา 9 วรรคสอง (1) 3. ว่าที่ร้อยตรี อำนวย อุปถัมภ์ อายุ 58 ปี ทนายความ (สมัครคุณสมบัติตามมาตรา 9 วรรคสอง (5) 4.นายสมศักดิ์ จังตระกุล อายุ 60 ปีผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น (สมัครคุณสมบัติตามมาตรา 9 วรรคสอง (2)

5.พันตำรวจเอก มนัส นครศรี อายุ 62 ปี อดีตรองผู้กำกับการ กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1(สมัครคุณสมบัติตามมาตรา 9 วรรคสอง (5) 6.นายสถาพร วิสาพรหม อายุ 58 ปี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ (สมัครคุณสมบัติตามมาตรา 9 วรรคสอง (1) 7.นายวิทูลรย์ ศิริวิโรจน์ อายุ 57 ปี ทนายความ (สมัครคุณสมบัติตามมาตรา 9 วรรคสอง (5) 8.นายประหยัด เสนวิรัช อายุ 64 ปี ทนายความ นายกสมาคมสถาบันคุ้มครองสิทธิประโยชน์ผู้บริโภค (สมัครคุณสมบัติตามมาตรา 9 วรรคสอง (5) และ 9.นายสมศักดิ์ รวิจักษณ์ อายุ 62 ปีทนายความ กรรมการบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(สมัครคุณสมบัติตามมาตรา 9 วรรคสอง (5))

สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา จะส่งรายชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 9 มาตรา 10 และมาตรา 11 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 เมื่อได้รับผลการตรวจสอบแล้ว คณะกรรมการสรรหาจะพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้เข้ารับการสรรหา หลังจากนั้น จะเชิญผู้เข้ารับการสรรหาที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามมาสัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป

ทั้งนี้ ขอเชิญส่งข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เข้ารับการสรรหา เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ของ 9 ผู้สมัครดังกล่าว มายังคณะกรรมการสรรหา ได้ที่ตู้ ปณ. 45 ปณฝ. รัฐสภา กรุงเทพฯ 10305 และทางเว็บไซต์www.senate.go.th ภายในวันพุธที่ 7 ก.ย.นี้

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ นายเนตร นาคสุข เคยมาสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งหนึ่งแล้วแล้ว แต่คุณสมบัติไม่ผ่านการคัดเลือก

โดยครั้งนั้น นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือถึงเลขาธิการวุฒิสภา (7 ก.พ.2565) คัดค้านนายเนตรเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. โดยให้เหตุผล 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.นายเนตร และพวก อยู่ระหว่างการถูกกล่าวหากับสำนักงาน ป.ป.ช. กรณีที่มีความเห็นไม่อุทธรณ์ต่อศาลสูงคดีนายพานทองแท้ ชินวัตร ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน 2.นายเนตร และพวก มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีบอส วรยุทธ อยู่วิทยา จากกรณีมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา 3.ขอให้ตรวจสอบว่า นายเนตร มีส่วนเกี่ยวข้องการสั่งไม่ฟ้อง บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) , นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการบริษัท ซิโน-ไทยฯ , และ นายราเกส กาเลีย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการส่วนปฏิบัติการบริษัท ซิโน-ไทยฯ (หลังเกิดเหตุหนีกลับไปประเทศอินเดีย) ในคดีสินบนโรงไฟฟ้าขนอม 20 ล้านบาทหรือไม่ และ 4.ขอให้ตรวจสอบว่า นายเนตร เกี่ยวข้องกับการสั่งไม่ฟ้องนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตามที่มีชื่อปรากฏว่า เป็นผู้ให้สินบน 20 ล้านบาท แก่จำเลยในคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางหรือไม่

ทั้งนี้ สังคมค่อนข้างตั้งคำถามเป็นอย่างมากว่าเหตุใดนายเนตรจึงกล้ามาสมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เป็นครั้งที่สองอีก ทั้งที่ตนเองได้ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง กรณีสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส คดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ จนเสียชีวิต และที่ประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ได้มีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา ให้นายเนตรออกจากราชการ เนื่องจากมีความผิดฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง

ดังนั้น ต้องลุ้นว่า ด้วยประวัติที่ด่างพร้อยดังกล่าว นายเนตรยังจะผ่านคุณสมบัติจนได้เข้ารับการสรรหาเพื่อเป็นกรรมการ ป.ป.ช. หรือไม่?

2."กรณ์" ทิ้งพรรคกล้า รับเชิญซบ ชพน. "สุวัจน์" อุบไต๋ ชูเป็นนายกฯ หรือไม่ ด้าน “สมคิด” ลาออก ปธ.สหพัฒน์ คาดเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคสร้างอนาคตไทย!



เมื่อวันที่ 2 ก.ย. นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) และนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงการเชิญนายกรณ์มาร่วมงานกับพรรค โดยนายสุวัจน์ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคการเมืองทุกพรรคต้องเตรียมพร้อมเรื่องการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เพราะรัฐบาลจะครบเทอมประมาณเดือน มี.ค. ซึ่งเหลืออีก 6-7 เดือน

นายสุวัจน์ กล่าวอีกว่า ชพน.ต้องเตรียมนโยบาย บุคลากร ผู้สมัคร เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง ตนอยู่กับการเมืองมาเกือบ 35 ปี วันนี้ถือว่าวิกฤตที่สุด โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่ง ชพน.จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเห็นว่า มือเศรษฐกิจวันนี้ต้องเข้าใจเศรษฐกิจรากหญ้าว่าคนยากคนจนเดือดร้อนอย่างไร ต้องเข้าใจเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ และต้องมีความเป็นสากล เข้าใจโลก

ซึ่ง ชพน.ปรึกษากันว่าใครที่มีความเหมาะสมที่จะเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจ และมาทำงานร่วมกัน จึงคิดถึงนายกรณ์ เพราะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้านเศรษฐกิจโดยตรง เคยเป็น รมว.คลัง ด้วยประสบการณ์ ช่วยแก้วิกฤตต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ จนทำให้เราผ่านวิกฤตมาได้ เคยทำงานเอกชนและทำงานในรัฐบาล เป็น รมว.คลัง ของโลกและเอเชีย สะท้อนถึงการยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์เป็น ส.ส.ที่มาจากพื้นที่และมาจากการเลือกตั้ง เป็นนักเรียนนอก มีความเป็นสากล จบการศึกษาด้านนี้โดยตรง ชพน.จึงเชิญนายกรณ์ซึ่งเป็นความหวังที่จะมากอบกู้ประเทศ อยากมาจับมือกัน รวมพลังกันแก้วิกฤติของชาติบ้านเมืองในวันนี้

นายสุวัจน์ ย้ำว่า หลักการทำงานของ ชพน.อยู่บนพื้นฐานที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรควางเอาไว้ คือ ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ประนีประนอม ไม่ขัดแย้ง ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เป็นส่วนผสมทางการเมือง ทีมเวิร์คที่แข็งแกร่ง ผสมผสานมืออาชีพเศรษฐกิจและการเมืองเข้าไว้ด้วยกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การมาของนายกรณ์ครั้งนี้ เป็นการรวมพรรคกันระหว่างพรรค ชพน.กับพรรคกล้าหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการรวมพรรค เป็นการเชิญนายกรณ์มาร่วมงาน ส่วนขั้นตอนอะไรที่เป็นเรื่องของนายกรณ์จะมีการดำเนินการให้ครบถ้วน

เมื่อถามว่า นายกรณ์ จะอยู่ตำแหน่งไหนของพรรค นายสุวัจน์ กล่าวว่า ชพน.ต้องปรับปรุงตัวบุคคล เนื่องจากมีผู้ใหญ่ในพรรคลาออกไปสมัครการเมืองท้องถิ่น 7 คน ทำให้เราต้องมีการประชุมใหญ่ ซึ่งเรายังไม่ได้แต่งตั้งประธานยุทธศาสตร์ 4 ด้าน คาดว่าหัวหน้าพรรค ชพน.จะนัดประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในสัปดาห์หน้า เพื่อปรับโครงสร้างและจัดสรรบุคลากรตามความเหมาะสม ซึ่งนายกรณ์จะอยู่ในตำแหน่งใดยังตอบไม่ได้ เป็นเรื่องของที่ประชุมใหญ่พรรค

ส่วนจะถึงขั้นเสนอนายกรณ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ชพน.ยังไม่ได้มองไปถึงจุดนั้น วันนี้ขอตอบว่า เชิญมานายกรณ์มากู้วิกฤตเศรษฐกิจ

เมื่อถามว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า ชพน.ตั้งเป้าไว้เท่าไหร่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ตัวเลขเท่าไหร่ยังตอบไม่ได้ แต่อยากจะเห็น ชพน.กลับมาเหมือนเดิม เป็นพรรคใหญ่ เป็นทางเลือกให้กับประชาชน

เมื่อถามอีกว่า พร้อมร่วมมือกับพรรคพลังประชารัฐหรือพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า เร็วเกินไปที่จะตอบ ขอให้เป็นไปตามจังหวะทางการเมือง วันนี้ถือเป็นเรื่องเชิญและเปิดตัวทีมเศรษฐกิจ

ด้านบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือถึงกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้ขอลาออกตำแหน่งกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริษัท (15 ส.ค.65) เนื่องจากติดภารกิจอื่น จึงไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.นี้เป็นต้นไป

ขณะที่นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก (3 ก.ย.) ว่า “อาจารย์สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้ลาออกจากการเป็นประธานกลุ่มสหพัฒน์แล้ว โปรดติดตามตอนต่อไป #สร้างอนาคตไทย #ทีมสมคิด”

ทั้งนี้ เป็นที่คาดกันว่า การลาออกจากประธานเครือสหพัฒน์ของนายสมคิด เป็นการเตรียมตัวเพื่อกลับมาทำงานทางการเมืองอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ แกนนำพรรคสร้างอนาคตไทย อาทิ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค เผยว่า มีการทาบทามนายสมคิด มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า

3. โยกย้าย ตร. “บิ๊กเด่น” ขึ้น ผบ.ตร. “บิ๊กโจ๊ก” รอง ผบ.ตร. ด้านโผทหาร “บิ๊กบี้” ยังเหนียว ไม่หลุด ผบ.ทบ. ขณะที่ “บิ๊กจอร์จ” ผบ.ทร. “บิ๊กป้อม” ผบ.ทอ.!



เมื่อวันที่ 29 ส.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) และเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยมีวาระพิจารณาที่สำคัญคือ การคัดเลือกข้าราชการตำรวจเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขณะที่ ก.ตร.มีวาระคัดเลือกตำรวจเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร. และรองจเรตำรวจแห่งชาติ ลงมาถึงผู้บังคับการ ทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้

หลังประชุม พล.อ.ประวิตร กล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่า “เรียบร้อยดี ไม่มีอะไร ให้ตำรวจเป็นผู้ชี้แจง”

รายงานแจ้งว่า ที่ประชุม ก.ต.ช.มีมติแต่งตั้ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง อาวุโสอันดับ 2 ให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. สืบต่อจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ที่เกษียณอายุราชการ ซึ่ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 38 เหลืออายุราชการอีก 1 ปี โดยจะเกษียณอายุในปี 2566

รายงานแจ้งด้วยว่า ตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ที่ว่าง 4 ตำแหน่ง มีผู้ช่วย ผบ.ตร.ได้ขึ้นเป็นรอง ผบ.ตร.ประกอบด้วย พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน, พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์, พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล

สำหรับตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่ว่าง 6 ตำแหน่ง มี ผบช.ที่ได้ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ประกอบด้วย พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผบช.ศ., พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท., พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผบช.รร.นรต.,พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น., พล.ต.ท.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ ผบช.กมค., พล.ต.ท.วีระ จิระวีระ ผบช.สพฐ.ตร. ขณะเดียวกันมีการโยกสลับ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง จตช.เป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.

ส่วนระดับ ผบช. ที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2 โยกเป็น ผบช.น, พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สกพ.เป็น ผบช.ภ.2, พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ส. โยกเป็น ผบช.ภ.8, พล.ต.ท.อภิชาติ เพชรประสิทธิ์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. ทำหน้าที่ประสานสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เป็น ผบช.ส. ฯลฯ

ส่วนโผโยกย้ายนายทหาร เมื่อวันที่ 30 ส.ค. มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประชุมคณะกรรมการปรับย้ายทหารชั้นนายพล โดยมีรัฐมนตรีช่วยกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมประชุม หลังประชุมมีรายงานว่า บัญชีรายชื่อการปรับย้ายนายทหารของทุกเหล่าทัพ ได้ส่งกลับให้เจ้ากรมเสมียนตราตรวจความถูกต้องอีกครั้ง พร้อมนำส่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกรัฐมนตรี ลงนาม และคาดว่าจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในสัปดาห์นี้

มีรายงานว่า ในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ (ตท.24) รองปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ขึ้นเป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม สำหรับกองทัพบก พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ยังนั่งตำแหน่ง ผบ.ทบ.ไปจนเกษียณอายุราชการในปี 2566 แม้ก่อนหน้านี้จะมีกระแสข่าวถูกเปลี่ยนตัว ส่วนกองทัพอากาศ พล.อ.อ.ธนศักดิ์ เมตะนันท์ (ตท.22) รอง ผบ.ทอ. ขึ้นเป็น ผบ.ทอ. ขณะที่กองทัพเรือ พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ (ตท.22) ผู้ช่วย ผบ.ทร. ขึ้นเป็น ผบ.ทร.

4. ผบก.ส.1 ให้ “ส.ต.ท.หญิง” ออกจากราชการไว้ก่อน ปมทำร้ายทหารรับใช้ ด้าน กอ.รมน.ภาค 4 สน. ส่งตัวกลับต้นสังกัด พร้อมเรียกคืนค่าตอบแทน!



ความคืบหน้าคดี ส.ต.ท.หญิง สังกัดตำรวจสันติบาล ทำร้ายร่างกายทหารหญิงรับใช้ในพื้นที่ จ.ราชบุรี ซึ่งมีการแจ้งความดำเนินคดีตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค. ซึ่งมีหลายประเด็นที่ถูกขุดคุ้ยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ส.ต.ท.หญิงคนนี้ ซึ่งทราบชื่อในเวลาต่อมาว่าคือ ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ บัวแย้ม ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 โดยถูกตั้งข้อสงสัยว่า มีการซื้อวุฒิการศึกษาหรือไม่ เข้ามารับราชการตำรวจได้อย่างไรทั้งที่อายุเกินระเบียบที่กำหนด รวมทั้งมีสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) หรือไม่

ทั้งนี้ หลังถูกแจ้งความ ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.ราชบุรี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 20 ส.ค. โดยเจ้าตัวรับสารภาพว่าทำร้ายร่างกายจริง แต่อ้างว่า ตนเองมีอาการที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เป็นระยะ พร้อมมอบใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อยืนยันคำอ้าง ซึ่งไม่ได้มีการระบุว่าเป็นโรคอะไร ซึ่งตลอดการสอบปากคำ ผู้ต้องหาได้ร้องไห้ เสียใจ ขอโทษ และสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป ก่อนที่ตำรวจจะนำตัวไปขอศาลฝากขัง ซึ่งศาลจังหวัดราชบุรีไม่อนุญาตให้ประกันตัว จึงถูกส่งเข้าเรือนจำทันที

สำหรับข้อหาที่ ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ถูกดำเนินคดี คือ ค้ามนุษย์จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส หรือเป็นโรคร้ายแรงซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ตามความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 8-20 ปี และปรับตั้งแต่ 800,000-2,000,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต

ด้าน พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงก่อนหน้านี้เรื่องวุฒิการศึกษาของ ส.ต.ท.หญิงดังกล่าวว่า ผู้ต้องหาเข้ารับราชการตำรวจปี 2560 ใช้วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ด้านบัญชี ย้ายมาที่สันติบาลเมื่อเดือน ก.พ. 2565 โดยสำนักงานงบประมาณและการเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาผู้มีคุณสมบัติตามวุฒิที่ขาดแคลน แม้มีการระบุว่าผู้เข้ารับราชการต้องอายุไม่เกิน 35 ปี แต่มีข้อยกเว้นตามกฎของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) สามารถดำเนินการได้ แต่จะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีการดำเนินการรับเข้ารับราชการถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่

ขณะที่ พล.ต.ต.อุดร วงษ์ชื่น ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 1 ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 ส.ค. ให้ ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มีเหตุให้พักราชการได้ตามกฎ ก.ตร. หากให้อยู่ในหน้าที่ราชการอาจเกิดการเสียหายฯ พิจารณาแล้ว การสอบสวนพิจารณาคดีจะไม่เสร็จสิ้นโดยเร็ว

ด้านนายธานี อ่อนละเอียด ส.ว. ได้ออกเอกสารชี้แจง (31 ส.ค.) กรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ ให้เข้ารับราชการตำรวจ โดยยืนยันว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือรู้เห็นเป็นใจต่อการทำร้ายร่างกายระหว่าง ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ กับอดีตทหารหญิง แต่ยอมรับว่า ตนเคยรู้จัก และเคยสนิทสนมกับตำรวจหญิงตามที่เป็นข่าว แต่ได้ขาดการติดต่อกันมานานแล้ว ส่วนที่มีการกล่าวอ้างว่าตนใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อหลายสถาบันหลายองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันวุฒิสภา คงต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบจริยธรรมของวุฒิสภาและคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่

ขณะที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เผยความคืบหน้าคดี ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ ทำร้ายร่างกายทหารหญิงรับใช้ว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพื่อนผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 2 คน คือ อดีตตำรวจคนสนิทและเพื่อน ซึ่งกำลังรอให้ผู้เสียหายให้ข้อมูลว่าถูกทำร้ายไปทั้งหมดกี่ครั้ง เพื่อประกอบสำนวน แจ้งข้อหาต่างกรรมต่างวาระต่อไป และว่า สำนวนการสอบสวนใกล้จะสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงผลตรวจจิตเวช จากแพทย์จากโรงพยาบาลราชบุรี ที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างว่ามีโรคป่วยทางจิต โดยคาดว่าน่าจะได้รับผลตรวจหลังวันที่ 9 ก.ย.นี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า หากพบว่าผู้ต้องหามีปัญหาทางจิตจริงก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกดำเนินคดี แต่จะส่งตัวไปบำบัดก่อนกลับมารับโทษต่อไป

ด้านกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ได้ชี้แจงกรณีการบรรจุ ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ ให้ช่วยราชการที่ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ก่อนหน้านี้ โดยยืนยันว่า การบรรจุเป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องทุกประการ แต่เมื่อได้ทราบข่าวว่า ส.ต.ท.หญิงดังกล่าวได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีอาญา กอ.รมน.ภาค 4 สน.ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที โดยพบว่า เป็นการกระทำความผิดส่วนบุคคล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจของ กอ.รมน.ภาค 4 สน. แต่อย่างใด แต่เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ขัดกับระเบียบและหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้เพื่อควบคุมด้านวินัยกำลังพลที่บรรจุช่วยราชการ จึงได้ส่งตัวกลับหน่วยต้นสังกัดปกติตั้งแต่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งด้านวินัยและด้านกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ยังได้มีคำสั่งให้ยกเลิกการบรรจุช่วยราชการ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2564 พร้อมให้เรียกคืนค่าตอบแทนตามสิทธิกำลังพลที่ได้รับไปแล้ว ตั้งแต่ ต.ค. 2564-31 ก.ค. 2565 รวมจำนวน 109,910 บาท เพื่อส่งคืนให้กับทางราชการต่อไป

5. หลานอดีต รมต.ปัดข่มขืนดาราสาว อ้างถูกแบล็คเมล์ ด้านศาลไม่ให้ประกัน นอนคุก ขอประกันรอบ 3 ศาลนัดไต่สวนจันทร์นี้!



ความคืบหน้ากรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พานักแสดงสาววัย 21 เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.โชคชัย กรณีถูกนักธุรกิจเจ้าของบริษัทใหญ่ หลานชายอดีตรัฐมนตรี ก่อเหตุวางยาข่มขืนในรีสอร์ตแห่งหนึ่ง ย่านนาคนิวาส 2 กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งต่อมา พ.ต.ท.อภิรักษ์ บุญหนัก รอง ผกก. (สอบสว4 น) สน.โชคชัย ถูกโยกไปช่วยราชการ ศปก.บกน. หลังผู้เสียหายร้องสื่อเกรงว่า จะไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณี พ.ต.ท.อภิรักษ์พูดว่า พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการดำเนินคดี อาจถูกยกฟ้องได้ นอกจากนี้ยังมีพยานหลักฐานบางส่วนที่ผู้เสียหายมอบให้พนักงานสอบสวน แต่กลับไม่มีในสำนวนการสอบสวน

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค. นายอภิดิศร์ อินทุลักษณ์ หรือ “เอ็ม” ผู้ถูกกล่าวหาในคดีข่มขืนกระทำชำเราดารานักแสดงสาว ได้เดินทางเข้าพบตำรวจ สน.โชคชัย ตามหมายเรียก โดยเจ้าตัวเปิดหน้าให้ผู้สื่อข่าวได้เห็นอย่างชัดเจน พร้อมกล่าวว่า ตนมีหลักฐานชัดเจนว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการแบล็กเมล์ ขณะนี้ข่าวที่ออกไปทำวงศ์ตระกูลของตนเสียหายมาก

นายอภิดิศร์ กล่าวอีกว่า ตาของตนเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจริงเมื่อ 40-50 ปีแล้ว และเสียไปถึง 10 ปีแล้ว การนำตาของตนมาเกี่ยวข้องนั้นรู้สึกเสียใจมาก เพราะคดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องเพียงตนคนเดียว ไม่อยากให้นำครอบครัวของตนมาเกี่ยวข้อง ที่มาวันนี้ก็เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ตามที่ผู้กล่าวหาบอกว่า ตนมีเส้นสายกับตำรวจ ตนไม่รู้จักใครแต่อย่างใด

นายอภิดิศร์ ยอมรับว่า วันเกิดเหตุ ตนได้ไปกับผู้ถูกกล่าวหาจริง แต่อ้างว่า ผู้กล่าวหาได้ติดต่อมาหาตนว่าทะเลาะกับพี่สาว และอยู่ที่สยามสแควร์คนเดียว กระทั่งช่วงกลางคืนได้บอกตนมาว่าไม่กลับห้อง ให้แนะนำโรงแรมให้ ตนจึงแนะนำโรงแรมแถวสุขุมวิทไปให้ แต่อีกฝ่ายบอกว่ามีราคาแพงเกินไป ซึ่งตนมีหลักฐานเป็นแชต อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ไปส่งเพียงอย่างเดียว แต่ไปที่โรงแรมโดยนำเหล้าโซจูไปด้วย และไม่ได้เป็นการไปพูดคุยเรื่องงาน แต่เรื่องที่เกิดในห้องนั้นตนมีหลักฐานทั้งหมด ว่าเรื่องที่ถูกกล่าวหาไม่เป็นความจริง ส่วนตัวรู้จักกับผู้ถูกกล่าวหา เพราะเคยติดต่อไปให้รีวิวสินค้า โดยรู้จักกันก่อนหน้าวันเกิดเหตุไม่ถึงเดือน ไม่เคยมีการคบหากันแต่อย่างใด นายอภิดิศร์ ยังขอให้ผู้สื่อข่าวเป็นกระบอกเสียงให้ เพราะตนเป็นชายธรรมดาคนหนึ่งที่ถูกรังแก

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหานายอภิดิศร์ ปวิอาญา ม.134 ฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ตามป.อาญา มาตรา 276 ซึ่งนายอภิดิศร์ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ทั้งนี้ วันเดียวกัน นายษิทรา ได้พาผู้เสียหายเดินทางมาที่ สน.โชคชัย เพื่อแจ้งข้อกล่าวหานายอภิดิศร์เพิ่มเติม ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เรื่องเข้าถึงระบบโดยมิชอบ และเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลในโทรศัพท์ และข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา นายษิทรา เผยว่า หลังจากไปร้องทุกข์ที่กองปราบฯ ได้มีการตรวจสอบโทรศัพท์ พบว่าแชตที่มีการคุยกับผู้ต้องหาได้ถูกลบออกไปตอนน้องหมดสติ จึงเดินทางมาแจ้งความเพิ่มเติม

วันต่อมา พนักงานสอบสวนได้นำตัวนายอภิดิศร์ฝากขังต่อศาลอาญา ซึ่งนายษิทราและผู้เสียหายได้เดินทางไปศาลเพื่อยื่นคัดค้านการประกันตัว

หลังฝากขัง ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด 200,000 บาท ขอปล่อยตัวชั่วคราว ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีผู้ร้องคัดค้านการปล่อยชั่วคราว รวมทั้งมีผู้เสียหายคัดค้านด้วย ประกอบกับผู้ต้องหาไม่ยินยอมให้พนักงานสอบสวนตรวจโทรศัพท์ของผู้ต้องหา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในแชตไลน์ กรณีมีเหตุให้เชื่อว่า หากปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว ผู้ต้องหาอาจทำลายหลักฐานและยุ่งเหยิงกับพยาน จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ยกคำร้อง และออกหมายขังส่งไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

เป็นที่น่าสังเกตว่า นายอภิดิศร์ได้ให้ทนายยื่นขอประกันตัวเป็นครั้งที่ 2 ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน แต่ศาลไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว กระทั่งเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา นายอภิดิศร์ได้ให้ทนายยื่นขอประกันตัวเป็นครั้งที่ 3 พร้อมมอบโทรศัพท์ของผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ได้แจ้งต่อศาลระหว่างไต่สวนว่า ได้รวบรวมพยานหลักฐานจากผู้ต้องหาแล้ว ไม่มีเหตุให้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นควรรับฟังฝ่ายผู้เสียหายด้วย จึงกำหนดนัดไต่สวนฝ่ายผู้เสียหายในวันจันทร์ที่ 5 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.


กำลังโหลดความคิดเห็น