“วัน แบงค็อก” (One Bangkok) โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจร พร้อมมาตรฐานคุณภาพสูงสุด และใหญ่ที่สุดใจกลางเมืองกรุงเทพฯ สานต่อเจตนารมณ์ในการลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ ด้วยการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ เอสซีจี ในการจัดการเศษอาหารด้วยเครื่องย่อยเศษอาหารประสิทธิภาพสูงจำนวน 13 เครื่อง ในโครงการวัน แบงค็อก ช่วยเปลี่ยนเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ย ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
นายลิม ฮัว เทียง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ วัน แบงค็อก กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โครงการวัน แบงค็อก ร่วมกับ เอสซีจี จัดการเศษอาหารด้วยเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงในการย่อย แปรรูปเศษอาหาร ขยะอินทรีย์ให้เป็นปุ๋ยและวัสดุปรับปรุงดินเพื่อใช้ปลูกต้นไม้ภายในโครงการ ส่วนที่เหลือจะนำไปแจกจ่ายให้สวนสาธารณะและชุมชนรอบข้าง นอกจากจะเป็นการสร้างประโยชน์ให้ชุมชน โดยการนำวิธีแก้ไขที่ล้ำสมัยมาสู่ประเทศไทย เราหวังว่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้ธุรกิจและชุมชนในท้องถิ่นให้มาร่วมกันตระหนักถึงอนาคต”
นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นหลักการที่เอสซีจีให้ความสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ESG 4 Plus ของเอสซีจี โดยเรามีความร่วมมือกับโครงการวัน แบงค็อก ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนนี้ในหลายๆ ด้านเช่น การบดย่อยเศษหัวเสาเข็มกลับมาใช้ใหม่ในรูปแบบการผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป และการรีไซเคิลเศษอิฐมวลเบาที่เหลือใช้จากการก่อสร้างผลิตเป็นแผ่นอิฐมวลเบาขนาดใหญ่ที่ได้ดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยในครั้งนี้เอสซีจีได้ดำเนินการจัดหาเครื่องจัดการเศษอาหารประสิทธิภาพสูงที่ได้รับการยอมรับและใช้ในสถานที่ชั้นนำทั่วโลกโดยเทคโนโลยีนี้สามารถเปลี่ยนเศษอาหารเป็นปุ๋ยได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งสู่แนวคิดขยะเป็นศูนย์ในไซต์ก่อสร้างและยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต”
เครื่องจัดการเศษอาหารประสิทธิภาพสูงที่นำมาใช้ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ได้รับการยอมรับและใช้ในสถานที่ชั้นนำทั่วโลก เช่น ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ประเทศอังกฤษ ศูนย์การประชุมและนิทรรศการบริสเบน รวมถึงศูนย์การค้า Burwood Brickworks ของ Frasers Property ประเทศออสเตรเลีย และซูเปอร์มาเก็ตชั้นนำในยุโรป เทคโนโลยีนี้สามารถเปลี่ยนเศษอาหารเป็นปุ๋ยอย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 ชั่วโมง ตัวเครื่องเป็นระบบปิด (Closed Circuit System) สามารถป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเศษอาหารขณะเครื่องทำงาน ซึ่งจะสามารถลดปริมาณเศษอาหารได้มากกว่า 80% และได้ปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุปรับปรุงดินที่ปลอดภัย มีแร่ธาตุตามเกณฑ์ของกรมวิชาการเกษตร
ทั้งนี้ ระบบกำจัดเศษอาหารในโครงการวัน แบงค็อก จะถูกติดตั้งตั้งแต่ช่วงการก่อสร้างซึ่งจะมีเศษอาหารจากการบริโภคของคนงานก่อสร้างหลายพันคน ไปจนถึงช่วงเปิดดำเนินการของโครงการซึ่งจะถูดนำมาใช้กับทุกส่วนของโครงการวัน แบงค็อก เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านดวามยั่งยืน อันประกอบด้วย
1.ลดปริมาณเศษอาหาร 780 กิโลกรัมต่อวัน หรือ 243 ตันต่อปี ในช่วงการก่อสร้าง และ 12,236 กิโลกรัมต่อวัน หรือ 4,466 ตันต่อปี ในช่วงเปิดดำเนินการ
2.แปรรูปเศษอาหารให้เป็นปุ๋ย 156 กิโลกรัมต่อวัน หรือ 49 ตันต่อปี ในช่วงการก่อสร้าง และ 2,447 กิโลกรัมต่อวัน หรือ 893 ตันต่อปี เมื่อโครงการเปิดดำเนินการ
3.ลดก๊าซเรือนกระจก ปริมาณจำนวน 1.2 ตันคาร์บอนต่อวัน หรือ 367 ตันคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี ในช่วงการก่อสร้าง และจะเป็น 6,741 ตันคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี เมื่อโครงการเปิดดำเนินการ เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ จำนวน 40,815 ต้น ในช่วงการก่อสร้าง และจะเป็น 749,035 ต้น เมื่อโครงการเปิดดำเนินการ
วัน แบงค็อก คือโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่และครบวงจรที่สุดตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร โดยมีมูลค่าการลงทุนกว่า 1.2 แสนล้านบาท บนเนื้อที่รวม 104 ไร่ หรือ 166,400 ตารางเมตร บนถนนวิทยุและถนนพระราม 4 เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว โครงการ วัน แบงค็อก จะประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานแบบพรีเมียมเกรดเอ จำนวน 5 อาคาร พื้นที่รีเทล 4 โซน โรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่และไลฟ์สไตล์ จำนวน 5 แห่ง และอาคารที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่อีกจำนวน 3 อาคาร ซึ่งดำเนินงานภายใต้แนวคิดที่คำนึงถึงผู้คน ความยั่งยืน และการใช้ชีวิตแบบเมืองอัจฉริยะ โดยตั้งเป้าเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองทั้งมาตรฐาน LEED for Neighborhood Development ระดับ Platinum สำหรับการพัฒนาชุมชนแวดล้อม และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร ซึ่งเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในประเทศไทย โครงการวัน แบงค็อก พร้อมเปิดเฟสแรกในปี ไตรมาสที่ 4 ปี 2566
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด (“เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” รวมถึงบริษัทย่อยในเครือเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ปหรือกลุ่มบริษัท) เป็นบริษัทพัฒนา จัดการ และให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรระดับสากล โดยจดทะเบียนในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (The Singapore Exchange Securities Trading Limited, "SGX-ST") และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ มีสินทรัพย์รวมประมาณ 40,700 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 1,436,000 ล้านบาท) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565
การดำเนินธุรกิจด้านสินทรัพย์ระดับสากลของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ครอบคลุมใน 5 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย พื้นที่ร้านค้าปลีก ศูนย์การพาณิชย์และธุรกิจ โรงงานอุตสาหกรรมและการขนส่ง รวมถึงธุรกิจการให้บริการ ทางกลุ่มบริษัทดำเนินธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย ยุโรป และจีน นอกจากนี้ยังครองธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ในกว่า 70 เมืองใน 20 ประเทศ ทั่วภูมิภาคเอเชีย ออสเตรเลีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ยังเป็นผู้สนับสนุนสองกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (REITS) รวมถึงกองทุนสำคัญที่อยู่ในลิสต์ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX-ST) ในส่วนของกองทุน Frasers Centrepoint กองทุน Frasers Commercial และกองทุน Frasers Logistics มุ่งเน้นที่อสังหาริมทรัพย์พื้นที่ค้าปลีก โรงงานอุตสาหกรรม พื้นที่เชิงพาณิชย์ ตามลำดับ ส่วนกองทุน Frasers Hospitality (ประกอบด้วยกองทุน Frasers Hospitality Real Estate Investment เพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ และกองทุน Frasers Hospitality Business) เป็นอีกกองทุนสำคัญที่เน้นพัฒนาพื้นที่ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีกองทุน REIT อีก 2 กองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัท เฟรเซอร์สพร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้สนับสนุนกองทุน Frasers Property Thailand Industrial Freehold & Leasehold REIT ซึ่งมุ่งเน้นไปที่อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในประเทศไทยและ Golden Ventures Leasehold Real Estate Investment Trust ซึ่งมุ่งเน้นไปที่อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป มุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์อันเป็นแรงบันดาลใจและสร้างสรรค์สถานที่ที่ดีสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างก้าวหน้า ผลิตและบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ และให้ความสำคัญกับผู้คน มุ่งมั่นที่จะยกระดับอุดมคติด้านความยั่งยืนในห่วงโซ่คุณค่าและสร้างธุรกิจที่ยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมมุ่งมั่นที่จะเป็นบรรษัทคาร์บอนที่เป็นศูนย์ภายในปี 2593 ด้วยการอาศัยรากฐานทางธุรกิจอันยาวนาน ตลอดจนความรู้และความสามารถ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป บริษัท มีเป้าหมายที่จะสร้างคุณค่าร่วมที่ยั่งยืนให้กับพนักงาน ธุรกิจและชุมชน เชื่อมั่นในความหลากหลายของผู้คน และมุ่งส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ก้าวหน้า เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โปรดไปที่ www.frasersproperty.com หรือที่ LinkedIn
บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ทีซีซี แอสเซ็ท) เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร มีทุนจดทะเบียนหนึ่งหมื่นล้านบาท จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยเป็นส่วนหนึ่งของทีซีซี กรุ๊ป หนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศไทย รูปแบบการลงทุนของ ทีซีซี แอสเซ็ทส์ มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการ โดย ทีซีซี แอสเซ็ทส์ บริษัทย่อย และบริษัทในเครือ เน้นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และพื้นที่ร้านค้าปลีก ควบคู่ไปกับธุรกิจโรงแรม และบริการที่เกี่ยวเนื่องทางด้านไอที
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ทีซีซี แอสเซ็ทส์ โปรดไปที่ www.tccassets.com
เอสซีจี ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2456 ตามพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นวัสดุก่อสร้างสำคัญในการพัฒนาประเทศ ปัจจุบัน เอสซีจี มีบริษัทย่อยมากกว่า 200 บริษัท ดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทย และตลาดการค้าสำคัญทั่วโลก เน้นการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค มีธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง
เอสซีจี มีอุดมการณ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรม โดยยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายเพื่อประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน จึงได้กำหนดกรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักบรรษัทภิบาลที่ดี รวมทั้งได้กำหนดกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจหมุนเวียน และความปลอดภัย
ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เอสซีจีได้ให้ความสำคัญกับปัญหาขยะที่ส่งผลกระทบเพิ่มสูงขึ้นและการขาดแคลนทรัพยากรของโลก ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน จึงเป็นแนวคิดสำคัญในการจัดการและรับมือกับปัญหาดังกล่าว โดยสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการจัดการขยะ หรือของเสียจากกระบวนการทำงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุด และลดอัตราการใช้ทรัพยากรใหม่อย่างสิ้นเปลือง
สามารถเข้าชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เอสซีจี และนโยบายความยั่งยืนของเอสซีจี ได้ที่ www.scg.com