เมื่อเร็วๆ นี้ นายยิ่งยศ จารุบุษปายน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( Chief Executive Officer ) บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการดำเนินงานธุรกิจกัญชง การผลิตและสกัดสาร CBD (Cannabidiol) จากกัญชงในประเทศไทย รวมถึงการดำเนินงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ องค์กรพันธมิตรทางธุรกิจในหลายประเทศ รวมทั้งความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยคอร์เนล Cornell University ที่ศึกษาค้นคว้าวิจัยกัญชงมาอย่างยาวนานไม่น้อยกว่า 3 ทศวรรษ
ขณะเดียวกัน หัวเรือใหญ่แห่ง บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ยังวางเป้าหมายไว้ว่า เมืองไทยต้องเป็น Trend Setter แห่งตลาด ‘กัญชง’ ที่มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล ดังถ้อยความและข้อมูลเหล่านี้
เชื่อมั่นสารสกัดจากกัญชง พัฒนาได้ครอบคลุมหลายตลาด
ยิ่งยศ จารุบุษปายน เริ่มต้นบทสนทนา ระบุว่า โดยส่วนตัวเขา มีกิจการของที่บ้านซึ่งเป็นบริษัทยาที่เปิดมา 70 ปีแล้ว กระทั่งตัวเขาซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ก่อตั้ง บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ขึ้น และร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจนำองค์ความรู้ ข้อมูลวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชงให้มีคุณภาพ โดยกลุ่มพันธมิตรดังกล่าว อาทิ
คานาร์ฟามา อินเวสต์เมนต์ส อิ้งค์ (Cannapharma Investments Inc.) บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด
ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอราเลียน แคปิตอล จำกัด (Aralian Capital)
ยิ่งยศกล่าวว่า ในมุมมองของเขา ตลาดกัญชงและกัญชาในประเทศไทย ณ วันนี้ ประชาชนตื่นตัวอย่างมาก หลังจากที่ต่างประเทศมีการสกัดกัญชาได้ และเมื่อราวเดือน ก.พ. ปี พ.ศ. 2562 ภาคเอกชนก็ร่วมจับมือพัฒนาวิจัยกับทางภาครัฐค่อนข้างมาก กระทั่งเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา รัฐบาลก็เปิดเสรีกัญชง
จากนั้น ตัวเขาและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท คือโรเบิร์ต ( นายเฉลิม เทร็ล ประธานบริษัทไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ) ก็ได้พูดคุยกันมานานแล้วว่าสารสกัดจากกัญชงนั้นดี มีประโยชน์ และสามารถพัฒนาไปได้ทุกตลาด ไม่ว่าตลาดเครื่องดื่ม คอสเมติก (cosmetic) รวมถึงตลาดยา
บริษัทเดียวในเอเชีย ที่ได้เซ็นสัญญากับ Cornell University ในการพัฒนาวิจัยสารสกัดกัญชง
“ สิ่งที่ บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด มองว่าเป็นเป้าหมายสุดท้ายของเราก็คือการพัฒนายา
ดังนั้น สิ่งที่ ไทยลีฟฯ ของเราตั้งใจ ก็คือ ไทยลีฟฯ ซึ่งจัดตั้งโดยผม และคุณโรเบิร์ต รวมทั้งพาร์ทเนอร์จาก สหรัฐอเมริกา แคนาดา สิงคโปร์ รวมทั้งในไทย
สิ่งที่เราสามารถทำได้คือ เราเป็น บริษัทเดียวในเอเชีย ที่ได้เซ็นสัญญากับมหาวิทยาลัยคอร์เนล Cornell University ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมหาลัยชั้นนำของโลก ในการวิจัยและพัฒนาด้านกัญชงโดยตรง
ส่วนบริษัทพาร์ทเนอร์ของเราจากแคนาดา ก็เป็นบริษัทระดับต้นๆ ของแคนาดา ซึ่งพัฒนาวิจัยกัญชง
ดังนั้น เราจึงมีทั้ง Know-how และเทคโนโลยี” ยิ่งยศระบุ
ตั้งเป้า One Stop Service ด้านกัญชง-ผู้นำตลาดกัญชงใน Southeast Asia
CEO บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า
“ผมต้องเรียนว่า ทางบริษัทไทยลีฟฯ ของเราถือว่า เป็น One Stop Service ด้านกัญชง
เพราะเราเริ่มตั้งแต่ ‘ต้นน้ำ’ ถึง ‘ปลายน้ำ’ เราเริ่มตั้งแต่นำเข้าเมล็ดพันธุ์เอง วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์เอง แล้วก็ปลูกเอง
เรามีไร่อยู่ที่ จ.นครนายก เป็นที่เดียวกับที่ตั้งโรงงานสกัดสารจากกัญชง ในพื้นที่กว่า 50 ไร่
เราเป็นบริษัทที่ได้ License และมีโรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP CICF
หลังจากสกัดออกมาแล้วเราก็ได้ Know-how จาก พาร์ทเนอร์ของเรา ที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรสูตร ต่างๆ กว่า 1,000 ชนิด ซึ่งมีการจัดจำหน่ายอยู่ที่อเมริกา แคนาดา และยุโรปอยู่แล้ว เราสามารถนำมาพัฒนาร่วมกับพาร์ทเนอร์ของเราในไทย ซึ่งมีบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ถึง 4-5 บริษัท” ยิ่งยศระบุ และกล่าวเพิ่มเติมว่า
ไม่ว่ากัญชง หรือกัญชา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือภาครัฐต้องมีกฎหมายที่ชัดเจน
ซึ่งนับตั้งแต่ที่มีการเปิดเสรีกัญชา มาตรการของภาครัฐ ไม่ได้มีความชัดเจนมากพอ
“การประกาศกฎกระทรวงที่เป็นกฎหมายลูก ทำให้เกิดช่องว่างที่คนอาจจะนำไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ไม่ว่าการขายส่วนช่อกับดอก ที่นำมาใช้ในการสูบ รวมถึงความไม่ชัดเจน ความเข้าใจผิดของผู้บริโภคก็ดี ว่าอย่างไหนใช้ได้ อย่างไหน ใช้ไม่ได้ ซึ่งบางคนก็นำเอากัญชามาสูบในที่สาธารณะ ก็ต้องเรียนตามตรงว่าผิดกฎหมาย ไม่ถูกต้อง
ดังนั้น ภาครัฐต้องเข้าไปสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้บริโภค ซึ่งสำคัญมาก และเป็นสิ่งที่บริษัทเราค่อนข้างกังวล
และผมมองว่า ผู้บริโภคก็ควรต้องเรียนรู้การใช้งานต่างๆ ให้รู้ว่าคุณประโยชน์ และโทษอยู่ตรงไหน
ส่วนกัญชงนั้น เป้าหมายของเรา แน่นอนว่าเรามุ่งพัฒนาเป็นยา ซึ่งปัจจุบัน เราก็มีสูตรแล้ว
เป้าหมายของเรา เราจะก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำในตลาดกัญชงใน Southeast Asia ในกลุ่มประเทศอาเซียน
เพราะขณะนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่เปิดเสรีกัญชงและกัญชาได้ แต่ในด้านกฎหมายนี้ สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เขาก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายเปิดเสรีที่ชัดเจนขึ้นมาเช่นกัน”
ยิ่งยศระบุถึงเป้าหมายในระดับภูมิภาคอาเซียน และกล่าวเพิ่มเติมว่า
แน่นอนว่า บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด พัฒนาและเตรียมพร้อมสำหรับประเทศไทยเป็นแห่งแรก
เท่าที่ได้หารือกับหลายๆ ประเทศในอาเซียน ทราบว่าเขาก็เตรียมพร้อม ที่จะมีข้อกฎหมายที่ยอมให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร CBD ที่สกัดจากกัญชง ในปีหน้านี้
ดังนั้น การเป็นผู้นำตลาดอาเซียนจึงเป็นเป้าหมายของไทยลีฟฯ
ส่วนเป้าหมายในตลาดอเมริกาและยุโรป เนื่องจากพาร์ทเนอร์ของไทยลีฟฯ เป็นผู้ครองตลาดยักษ์ใหญ่อยู่แล้ว
ดังนั้น ไทยลีฟฯ ก็จะเป็นผู้ผลิต เพื่อส่งไปยังตลาดที่อเมริกาเช่นกัน
ต่อยอดการศึกษาวิจัยสารสกัดกัญชง จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล Cornell University-ลุ้นออก Products ภายในไตรมาส 1 ปีหน้า
นอกจากถ้อยคำบอกกล่าวจากยิ่งยศแล้ว โรเบิร์ต หรือ นายเฉลิม เทร็ล ประธานบริษัทไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ก็ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า
มหาวิทยาลัยคอร์เนล Cornell University วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กัญชงมากว่า 30 ปีแล้ว เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าบริษัทไทยลีฟฯ ไม่ได้เพิ่งเริ่มเดินก้าวแรก แต่เราเดินมาถึงก้าวที่ 31 แล้ว โดยต่อยอดจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล Cornell University
สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ความตั้งใจหรือคำสัญญา แต่ไทยลีฟฯ ได้ร่วมลงทุนกับทางมหาวิทยาลัยคอร์เนล Cornell University กว่า 40 ล้านบาท ในการที่จะวิจัยพัฒนากัญชงสายพันธุ์ที่ดีขึ้นมา โดยไทยลีฟฯ มีความตั้งใจ และพูดคุยกับทางมหาวิทยาลัยคอร์เนล Cornell University แล้วว่า สายพันธุ์ที่พัฒนาขึ้น เราจะให้เป็นสายพันธุ์ไทย
“ไทยลีฟฯ เรามองว่านี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ณ ตอนนี้ มหาวิทยาลัยคอร์เนล Cornell University เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ในการวิจัยกัญชง โดยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมากว่า 4 หมื่นล้านบาทต่อปี ในการที่จะพัฒนา ดังนั้น สิ่งที่เราจะได้รับคือสิ่งที่ดีที่สุด คือกัญชงสายพันธุ์ที่ดีที่สุด” โรเบิร์ตระบุ
ด้านยิ่งยศ CEO บริษัท ไทย ลีฟฯ กล่าวว่า สาร CBD ในกัญชง ถูกค้นพบเมื่อ 30 ปี ที่แล้ว หรือในปี ค.ศ. 1993
“สารนี้ช่วยได้ในหลายเรื่อง สิ่งแรกสุดคือช่วยเรื่องโรคอาการนอนไม่หลับ ซึ่งในประเทศไทย 30% ของ ประชากร เป็นโรคนอนไม่หลับ ซึ่งอาการเหล่านี้ สาร CBD สามารถเข้าไปช่วยให้หลับได้ดีขึ้น หรือในกรณีผู้ที่เป็นโรคพาร์กินสัน สาร CBD ก็ช่วยได้อย่างน่าสนใจ
หลังปี ค.ศ.1993 ก็มีการพัฒนาและทำวิจัยจากมหาวิทยาลัยดังๆ และบริษัทยาต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา และมีการผลิตยาตัวหนึ่งที่มีสารสกัดจากกัญชง ซึ่งเมื่อวางจำหน่ายแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ายาตัวนี้ตัวเดียว มีมูลค่าการขายสูงถึงหนึ่งแสนล้านบาทในการขายต่อปี สิ่งเหล่านี้ ล้วนอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ จับต้องได้ ตอบโจทย์ได้
นอกจากนั้น ไทยลีฟฯ เราจะออก Products ในเร็วๆ นี้ อาจเป็นภายใน quarter 4 ปีนี้ หรือ quarter 1 ปีหน้า
ซึ่งเราได้เตรียมตัวอย่างดีร่วมกับพาร์ทเนอร์ของเราไม่น้อยกว่า 4 บริษัทที่กำลังเตรียมตัวออก Products พร้อมกับเรา” CEO บริษัท ไทย ลีฟฯ ระบุ
ยิ่งยศกล่าวทิ้งท้ายว่า ในประเทศไทย เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา รัฐบาล วางยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็น Medical Service Hub, Medical Center
“มูลค่าการตลาดในส่วนนี้ สูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท เพราะฉะนั้น ภาครัฐจึงตั้งใจจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ในการที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจกัญชง เพื่อให้เป็นพืชทางด้านการส่งออก
ประการแรก คือ ให้พัฒนากัญชงเป็นพืชส่งออก
ประการที่สอง คือ พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ
ถ้าหากเรามอง การวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยและศูนย์วิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จะเห็นว่าตลาดของกัญชง เพียงอย่างเดียว ในประเทศไทย มีมูลค่าอยู่ที่ 7,200 ล้านบาท แต่ถ้าเรามองไปถึงปี ค.ศ. 2025 หรืออีก 3 ปี ข้างหน้า จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่สหรัฐอเมริกา ได้มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนนี้มา
ตลาดส่วนนี้จะมีมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านบาท
ถ้าหากตลาดกัญชงในอาเซียนรวมกัน มูลค่าที่เขาวิเคราะห์คือ 250,000 ล้านบาท ในปี ค.ศ.2025 นี่คือสิ่งที่เรามองเห็น และเราคาดการณ์ไว้ว่าประเทศไทย จะเป็น Trend Setter และเป็นศูนย์กลางในการส่งออกและพัฒนากัญชงอย่างแท้จริง”
เป็นคำกล่าวทิ้งท้ายอย่างเชื่อมั่นในศักยภาพและสะท้อนวิสัยทัศน์ได้อย่างน่าสนใจ
……
Text by : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
*หมายเหตุ CBD ย่อมาจาก Cannabidiol มีประโยชน์ทางการแพทย์ CBD ไม่จัดเป็นยาเสพติด เป็นสารที่ไม่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Non-psychoactive) ไม่ทำให้มึนเมา ไม่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท นอกจากนี้ CBD ยังถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคและบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ ได้แก่ การทำให้ผู้ป่วยอยากอาหารมากขึ้น ลดความวิตกกังวล ช่วยให้หลับได้ดีขึ้น บรรเทาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบ และระงับอาการคลื่นไส้อาเจียน สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายทั้งเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา และอาหาร
(ข้อมูลอ้างอิงจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเวียนนา , สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล)