1."พิ้งกี้-แม่-พี่ชาย" นอนคุก หลังศาลไม่ให้ประกันตัวคดีแชร์ Forex-3D ฉ้อโกงประชาชนกว่า 2 พันล้าน ผู้เสียหายนับหมื่นราย ด้าน "ดีเจแมน-ใบเตย" ปัดเอี่ยว!
เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 ได้นำตัวนายกิตติเชษฐ์ หรือสรายุทธ ไชยเดช อายุ 41ปี พี่ชายของพิ้งกี้ จำเลยที่1, น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือพิ้งกี้ อายุ 36 ปี นักแสดงนางแบบชื่อดัง จำเลยที่ 2, นางสรินยา ไชยเดช อายุ 63 ปี มารดาของพิ้งกี้ กับพวกรวม 19 คน เป็นจําเลย ฐานกระความผิด โดยทุจริต โดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกง
โดยคำฟ้องสรุปว่า สืบเนื่องจากวันที่ 25 พ.ย.59-8 ก.ย.64 จำเลยทั้ง 19 คนได้เปิดแชร์ลูกโซ่ชื่อ Forex-3D ประกาศเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมลงทุนซื้อเงินตราต่างประเทศ อ้างว่า มีทีมงานมืออาชีพเป็นผู้ทำการลงทุนแทน โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้โดยไม่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการซื้อขายหรือเทรดเงินตราต่างประเทศ แค่เพียงรอเงินปันผล รับรองไม่ขาดทุน แต่กลับไม่มีการลงทุนจริง ประกอบกับจำเลยทั้ง 19 มีคนที่ทำอาชีพดารานักแสดง นักร้อง บุคคลในวงการบันเทิง บุคคลในวงการสังคมชั้นสูงหรือไฮโซ รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้มีผู้เสียหายกว่า 9,824 คน ความเสียหายรวม 2,487 ล้านบาท
หลังอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว น.ส.สาวิกา ไชยเดช จำเลยที่ 2 และนางสรินยา ไชยเดช จำเลยที่ 3 รวมทั้งจำเลยคนอื่นๆ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว
ด้านศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหา และพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ข้อหามีอัตราโทษสูง ค่าเสียหายตามฟ้องมีจำนวนมาก กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว จำเลยทั้ง 19 คนน่าจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ส่งผลให้จำเลยผู้หญิงถูกส่งไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยผู้ชายถูกส่งไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ศาลประทับฟ้องไว้พิจาณาเป็นคดี และสอบคำให้การจำเลยทุกคนแล้ว จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ คดี ศาลจึงนัดคู่ความตรวจพยานหลักฐานวันที่ 26 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
สำหรับรายชื่อจำเลยทั้ง 19 คน ประกอบด้วย นายกิตติเกษ หรือสรายุทธ ไชยเดช 41 ปี จำเลยที่ 1 (พี่ชายพิ้งกี้), น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือพิ้งกี้ นักแสดงชื่อดัง อายุ 36 ปี จำเลยที่ 2, นางสรินยา ไชยเดช อายุ 63 ปี อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว (มารดาพิ้งกี้) จำเลยที่ 3, นายณัฐธีร์ พีระชัยรมย์ หรือ นายวาริท อาเช่อร์ หรือนายพสิษฐ์ ศักดิ์ธนินท์ 31 ปี อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว จำเลยที่ 4, นายศิราเมษฐ์ สุภัคศิริประสาน อายุ 40 ปี อาชีพรับจ้าง จำเลยที่ 5
นายธรรศิวรรฒ ฉันทานุกูล อายุ 29 ปี อาชีพนักแสดงอิสระ จำเลยที่ 6, นายปฏิภาณ มะนัส อายุ 27 ปี อาชีพรับจ้าง จำเลยที่ 7, นายอนุพงศ์ จุลมุสิก อายุ 32 ปี อาชีพรับจ้าง จําเลยที่ 8, นายนวพล เรืองอักษร อายุ 36 ปี อาชีพรับจ้าง จําเลยที่ 9, นายรพีพัฒน์ ภิรมย์จันทร์ อายุ 35 ปี อาชีพรับจ้าง จำเลยที่ 10
นายสุรสิทธิ์ คำยันต์ อายุ 35 ปี อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว จําเลยที่ 11, นายณัฐพงษ์ ปัญญาวงศ์ อายุ 28 ปี อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว จำเลยที่ 12, นางนงนุช โกฎธิ อายุ 50 ปี อาชีพค้าขาย จำเลยที่ 13, นายกิตติชัย โกฎธิ อายุ 26 ปี อาชีพนักศึกษา จำเลยที่ 14, นายอับดุลฮากีม ปิมะแม อายุ 28 ปี อาชีพรับจ้าง จําเลยที่ 15, น.ส.ภคมน สีกุน อายุ 34 ปี อาชีพค้าขาย จำเลยที่ 16, นายกษม กลปราณีต หรือโบ๊ท อายุ 32 ปี อาชีพนักร้องนักแสดงนายแบบ จำเลยที่ 17, น.ส.ธัญญนันช์ ณัฐนนท์ชญนัท อายุ 42 ปี อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว จำเลยที่ 18 และนายทินกร โกฎธิ อายุ 55 ปี อาชีพรับจ้าง จำเลยที่ 19
สำหรับชีวิตของพิ้งกี้ คบหาและแต่งงานกับไฮโซหนุ่ม “เพชร อิทธิ ชวลิตธำรง” เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2557 แต่แล้วความรักดำเนินไปได้เพียง 3 ปี ก็เริ่มมีข่าวระหองระแหง ซึ่งภายหลังพิ้งกี้ยอมรับว่า เลิกกันจริง ส่วนสาเหตุเพราะสามีไม่เห็นด้วยที่ตนอยากกลับมาทำงานในวงการบันเทิง
แต่ภายหลังหนุ่มเพชรออกมาโต้ว่า ไม่เคยห้าม และเริ่มเห็นความผิดปกติของครอบครัวอดีตภรรยา ถ้าเป็นการค้าตนขาดทุนเละ ยอมรับว่าสงสารพิ้งกี้ เพราะอนาคตจะไม่เหลืออะไรเลย เพราะสุดท้ายคนรอบข้างจะเอาผลประโยชน์ไปหมด
จากนั้นพิ้งกี้ก็กลับมาทำงานในวงการบันเทิงเต็มตัว มีงานแสดงมากมาย รวมถึงผันตัวเองไปเป็นแม่ค้าออนไลน์ด้วย ต่อมา เดือน ต.ค.2562 เริ่มมีข่าวว่า เจ้าตัวเข้าไปเอี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ FOREX-3D ซึ่งเป็นการชักชวนให้ประชาชนมาลงทุนซื้อเงินตราต่างประเทศ แต่พิ้งกี้ก็ออกมาปฎิเสธว่า ไม่ได้รู้เรื่องด้วย บอกว่า ตนเป็นเพียงหนึ่งในผู้เสียหายจากเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน และเพราะโดนพิษ FOREX-3D นี่แหละตนจึงต้องเริ่มมาขายของออนไลน์ และว่า "สูญเงินไปเป็น 10 ล้าน แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย! ชีวิตต่ำสุดได้ เดี๋ยวก็จะดีขึ้นมาได้"
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 ส.ค. นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักอัยการสูงสุด (อสส.) เผยความคืบหน้าคดีแชร์ FOREX-3D ว่า อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 ได้ยื่นฟ้องคดี 3 สำนวน คดีแรก มี “อภิรักษ์ โกฎธิ” ข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
คดีที่ 2 ฟ้องกลุ่มแม่ข่าย โดย 2 คดีนี้ศาลสั่งรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน และนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 29 ส.ค. เวลา 09.00 น. และเมื่อวันที่ 18 ส.ค.ได้ยื่นฟ้อง “พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช” พร้อมกับแม่และพี่ชาย ในข้อหาเดียวกัน ศาลนัด 26 ก.ย. รวมมีจำเลยทั้งสิ้น 19 คน
นายประยุทธ เผยด้วยว่า จากการตรวจสอบสำนวนของอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เห็นว่า การกระทำของจำเลยมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน อัยการจึงแนะให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกหมายเรียกผู้ต้องหาอีก 16 คน มาสอบสวนดำเนินคดี ซึ่งในจำนวนนี้มี “ดีเจแมน พัฒนพล กุญชร ณ อยุธยา” และ “ใบเตย สุธีวัน กุญชร” หรือ “ใบเตย อาร์สยาม” รวมอยู่ด้วย สรุปฟ้องไปแล้ว 24 คน
ล่าสุด วันนี้ (20 ส.ค.) ดีเจแมน และใบเตย อาร์สยาม ได้ออกมาไลฟ์สด ยืนยัน ไม่เกี่ยวข้องกับ Forex 3D “ใบเตยไม่ได้เป็นผู้ลงทุน ไม่ได้เป็นแม่ข่ายใดๆเลย ไม่เคยเชิญชวนใคร ไม่ได้มีชื่อในบริษัท Forex 3D หรือบริษัทอื่นๆที่เกี่ยวข้อง”
ขณะที่ดีเจแมน ชี้แจงกรณีอยู่ในรูปถ่ายกับซีอีโอ Forex 3D ว่า ในฐานะเพื่อนที่เข้ามารู้จัก เราบอกดีเอสไอ และผู้ชมที่อยากรู้ไปหลายรายการใน 2 ปีที่แล้ว นอกจากนั้นเป็นคนลงทุนเองด้วย หรือเรื่องสินสอด (45 ล้านแต่งใบเตย) เราแจงไปแล้ว เราเป็นเพื่อน ผมลงทุน ผมรู้พร้อมทุกคนในวันที่เขาถูกออกหมายจับ ว่าเขาทำเรื่องแบบนี้ ทำให้เกิดความเสียหายขนาดนี้
2.สภาล่มตามคาด! ตีตกสูตรหาร 500 ฝ่ายค้านยื่น "ชวน" ส่งศาล รธน.วินิจฉัย 8 ปีนายกฯ ด้าน อดีต กกต.ชี้ "บิ๊กตู่" ครบ 8 ปี 5 เม.ย.68!
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ได้มีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ค้างการพิจารณาจากสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากสภาล่ม เพราะองค์ประชุมไม่ครบ โดยสาเหตุที่องค์ประชุมไม่ครบ นอกจากเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยประกาศไม่ร่วมสังฆกรรม เพราะไม่ต้องการสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบหาร 500 จึงต้องการให้ร่าง กม.ดังกล่าวตกไป จะได้กลับไปใช้สูตรหาร 100 ตามเดิม ประกอบกับมีข่าวว่า แกนนำพรรคพลังประชารัฐก็หนุนลูกพรรคไม่ร่วมโหวตร่าง กม.ดังกล่าวเช่นกัน ทำให้นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ต้องนัดประชุมรอบสุดท้ายในวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ต้องพิจารณาร่าง กม.ดังกล่าวให้แล้วเสร็จใน 180 วัน ท่ามกลางการจับตาจากหลายพรรคหลายฝ่ายว่า สภาจะล่มซ้ำหรือไม่
ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด (15 ส.ค.) องค์ประชุมก็ไม่ครบ แม้นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะได้พยายามรอให้สมาชิกครบองค์ประชุมก็ตาม ในที่สุด หลังจากรอประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง นายชวน ได้ประกาศว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 132 และข้อบังคับการประชุม ข้อที่ 101 กำหนดให้ต้องประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายลูกฉบับดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ประธานบรรจุวาระการประชุม โดยวันนี้ที่ประชุมพิจารณามาตรา 24/1 เป็นช่วงตรวจสอบองค์ประชุมก่อนลงมติ โดยขณะนี้ขออนุญาตที่ประชุม หากพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายใน 180 วัน ก็ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายลูกที่เสนอตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 131 โดยข้อที่ 101 กำหนดให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ที่ใช้เป็นหลัก ตามมติคือฉบับที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ ขณะนี้มีสมาชิกลงชื่อเป็นองค์ประชุมทั้งหมด 353 คน (องค์ประชุมปกติ 364 คน) ไม่ครบองค์ประชุม จึงขอปิดการประชุม เวลา 10.28 น.
ด้าน นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ เผยว่า หลังจากนี้ กลุ่มพรรคเล็ก และ ส.ส. ที่เห็นชอบกับการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แบบหาร 500 จะเข้าชื่อเพื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีร่าง กม.ดังกล่าวถูกตีตกไป โดยเบื้องต้นยังไม่สามารถที่จะเช็คเสียงได้ว่าจะรวบรวมรายชื่อได้เท่าไร ซึ่งต้องได้อย่างต่ำ 75 คน หรือร้อยละ 10 ของจำนวนสมาชิกรัฐสภา จึงจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้ "น่าจะเป็นวันจันทร์ที่จะสามารถส่งศาลรัฐธรรมนูญได้ หากไม่ครบก็จะส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งวันนี้ เหตุสภาล่ม กลุ่มพรรคการเมืองเล็กได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว"
ทั้งนี้ 2 วันต่อมา (17 ส.ค.) ตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาฯ เพื่อขอส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สิ้นสุดลง เนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวมระยะเวลาเกินกว่า 8 ปี ตามมาตรา 170 วรรคสอง และมาตรา 158 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 หรือไม่
โดยฝ่ายค้านอ้างว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2557 และดำรงตำแหน่งต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ขณะที่รัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสอง มาตรา 158 วรรคสี่ และมาตรา 264 ห้ามนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งเกินกว่า 8 ปี โดยให้นับระยะเวลาต่อเนื่องและมิได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่า ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนี้เท่านั้น
ขณะที่นายชวน กล่าวหลังจากรับหนังสือว่า จะนำไปตรวจสอบคำร้องว่ามีรายชื่อ ส.ส.ครบถ้วนตามกฎหมายคือ 1 ใน 10 ของจำนวน ส.ส.คือ 48 คน หรือไม่ จากนั้นคงจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญได้เลย
ผู้สื่อข่าวถาม นพ.ชลน่านว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวิคำวินิจฉัยให้นายรัฐมนตรีพ้นวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี วันที่ 23 ส.ค. ผู้ที่รักษาการนายกฯ จะเป็น พล.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เขียนรองรับให้ ครม.ทั้งคณะปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องไป และรักษาการแทน ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังรักษาการในตำแหน่งนายกฯ ต่อไปได้ กรณีที่นายกฯ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้มี 4 กรณี 1.มีลักษณะต้องห้ามหรือขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 2.มีความไม่ซื่อสัตย์ไม่สุจริตเป็นที่ประจักษ์ 3.ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง 4.ทำความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณ
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า "เรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ไม่อยู่ในข้อห้ามในการทำหน้าที่รักษาการ พล.อ.ประวิตร จะรักษาการได้ ก็ต่อเมื่อศาลสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนที่จะมีคำวินิจฉัยออกมา"
ด้านนางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต. และอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ให้ความเห็นถึงการนับวาระ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า เรื่องดังกล่าวรัฐธรรมนูญเขียนชัดเจนอยู่แล้วว่าหมายถึงอะไร ตนเห็นว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งมีบทบัญญัติในมาตรา 158 วรรคสี่ ที่ว่า ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี ส่วนคำว่า 8 ปีนับตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น ก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 จะไปนำเอารัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 มาใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2557 จะนำมาใช้เมื่อมีรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้ "ดังนั้นอายุการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องเริ่มต้นนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 คือวันที่ 6 เม.ย. 2560 ซึ่งจะครบ 8 ปีในวันที่ 5 เม.ย.2568 ดังนั้นก็คงเป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย และคงมองในประเด็นเรื่องบทเฉพาะกาลมาตรา 264 ว่าให้นำรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 มาใช้ในเรื่องการดำรงตำแหน่งนายกฯ ด้วยหรือไม่”
3. ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก "เสี่ยวิชัย" อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร 860 ปี และให้ชดใช้ 8.8 พันล้าน คดีฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย!
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 83 ปี อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร, นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ อายุ 56 ปี บุตรชายนายวิชัย อดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โบนัส บอร์น จำกัด, นายบัญชา ยินดี อายุ 63 ปี อดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด และบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี่ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.กฤษดามหานคร, น.ส.เพชรรัตน์ เทพสัมฤทธิ์พร อายุ 51 ปี อดีตเลขานุการนายรัชฎา, นายปภพ สโรมา อายุ 69 ปี ซึ่งมีชื่อเป็นกรรมการใน 3 บริษัท ประกอบด้วย บจก.อาร์เคฯ, บจก.โกลเด้นฯ, บริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด และ นายธีรโชติ พรมคุณ อายุ 58 ปี พนักงานของ บมจ.กฤษดามหานคร เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2547 มาตรา 4, 5, 9, 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 11 ก.ย. 2546-ธ.ค. 2547 หลังจากที่มีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ธนาคารกรุงไทย ผู้เสียหาย ให้กับ บมจ.กฤษดามหานคร และบริษัทในเครือโดยมิชอบแล้ว จำเลยทั้ง 6 คน กับพวกอีกหลายคนได้สมคบกันฟอกเงินที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ จำนวน 10,400,000,000 บาท โดยมีการนำบริษัทนิติบุคคลที่จำเลยที่ 1-3 มีอำนาจกระทำการแทน มาใช้ในการโอนและรับโอนเงิน
โดย น.ส.เพชรรัตน์ จำเลยที่ 4 เลขานุการของนายรัชฎา จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่จัดหาบัญชีธนาคารพาณิชย์ และบัญชีซื้อขายของบุคคลอื่น เพื่อให้จำเลยที่ 1 กับพวกนำเงินที่ได้จากการกระทำผิดไปใช้ซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยมีนายปภพ จำเลยที่ 5 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีธนาคารของ บจก.โกลเด้นฯ ที่รับโอนเงินจากการกระทำผิดไปเข้าบัญชี บจก.แกรนด์ คอมพิวเตอร์ฯ แล้วนำมาชำระหนี้ค่าซื้อหุ้นแปลงสภาพ บมจ.กฤษดามหานคร
ขณะที่นายธีรโชติ จำเลยที่ 6 พนักงานขับรถประจำตัวนายวิชัย ทำหน้าที่เปิดบัญชีธนาคารพาณิชย์เพื่อให้นายวิชัยโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด แล้วทำหน้าที่นำเช็คของธนาคารที่นายวิชัยสั่งจ่ายไปเบิกถอนเป็นเงินสด ตามคำสั่งนายวิชัย ขณะที่เมื่อ บจก.อาร์เคฯ และ บจก.โกลเด้นฯ ได้รับการอนุมัติสินเชื่อจาก ธนาคารกรุงไทยแล้ว ไม่ได้นำไปปรับโครงสร้างหนี้และจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติม ตามเหตุผลการขอสินเชื่อ
แต่นายบัญชา อดีตกรรมการบริษัททั้งสอง กลับร่วมกับพวกนำเงินนั้นไปออกเช็ค แล้วฝากเข้าบัญชีบุคคลต่างๆ ก่อนจะเบิกถอนเงินสดไปซื้อขายหุ้นและที่ดิน โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งหกกับพวก และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ยื่นขอกู้ไว้ นอกจากนี้ระหว่างนั้นพวกจำเลยยังร่วมกันออกเช็คในนามบริษัทนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าบัญชีธนาคารของพวกจำเลยอีกหลายครั้ง
ซึ่งการกระทำของนายธีรโชติ กับพวกดังกล่าว เป็นการโอน รับโอนหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือเพื่อซุกซ่อน ปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง ในความผิดมูลฐาน หรือกระทำการเพื่อปกปิด อำพรางการได้มา การโอนซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด อันเป็นการสมคบกันฟอกเงิน รวมทั้งสิ้น 141 กรรม
โดยอัยการโจทก์ได้ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิด และนับโทษนายวิชัย นายรัชฎา และ นายบัญชา จำเลยที่ 1-3 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 12 ปี ในคดีทุจริตปล่อยสินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทย กับกฤษดามหานครด้วย
ด้านศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งหกกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน ม.5, 9 และ 60 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม ตามมาตรา 91 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 กระทำความผิด 133 กรรม รวมโทษจำคุกเป็นเวลา 860 ปี
ส่วนจำเลยที่ 2 ทำผิด 28 กรรม รวมจำคุก 118 ปี จำเลยที่ 3 ทำผิด 52 กรรม รวมจำคุก 416 ปี จำเลยที่ 4 จำคุก 38 ปี จำเลยที่ 5 ทำผิด 25 กรรม รวมจำคุก 235 ปี และจำเลยที่ 6 ทำผิด 39 กรรม รวมจำคุก 262 ปี อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายเมื่อรวมโทษจำคุกแล้ว ให้ลงโทษจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี พิพากษาจำคุกจำเลยทั้งหก คนละ 20 ปี
ทั้งนี้ แม้โจทก์ไม่ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์ แต่เมื่อเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดจากการทุจริตปล่อยสินเชื่อธนาคารกรุงไทย ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์ แต่เมื่อทรัพย์ถูกโอนย้ายไปแล้ว ซึ่งยากต่อการติดตามคืน จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 8,868 ล้านบาทเศษ ภายใน 30 วัน หากผิดนัดชำระให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันผิดนัดชำระ และให้บังคับเอาทรัพย์สินของจำเลยได้ไม่เกินจำนวนที่แต่ละคนค้างชำระ
4. ศาลอาญา พิพากษาจำคุกมือแฮกเว็บศาลรัฐธรรมนูญ 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา และให้ชดใช้ค่าเสียหาย 8.7 หมื่น!
เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายวชิระ สุภเถียร อายุ 34 ปี ชาว จ.อุบลราชธานี จบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งเคยชนะเลิศการประกวดเขียนเว็บไซต์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในความผิดฐานเข้าถึงมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน, ทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ และกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวน จนไม่สามารถทำงานตามปกติได้
จากกรณีแฮกเกอร์เปลี่ยนหน้าเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพลงของ Death Grips ทั้งยังเปลี่ยนชื่อเว็บไซต์เป็น Kangaroo Court แต่ต่อมาภายหลัง ได้กู้กลับคืนมาใช้งานตามปกติ
ทั้งนี้ อัยการโจทก์ฟ้องว่า การกระทำของจำเลย ทำให้ระบบเสียหาย แก้ไขเปลี่ยนแปลง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลอาญาพิเคราะห์เเล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาจำคุก 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา
ด้านนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความของจำเลย เผยว่า ค่าเสียหายในส่วนแพ่ง สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเรียกค่าเสียหายมา 10,288,972 บาท แบ่งเป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับชื่อเสียง 10,000,000 บาท ประเด็นสำคัญ คือ ศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายเกี่ยวกับชื่อเสียงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 เพราะการเรียกร้องค่าเสียหายเกี่ยวกับชื่อเสียงตามมาตรานี้ ต้องเกี่ยวเนื่องกับคำฟ้องในคดีอาญา
แต่คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาเกี่ยวกับการทำให้เสียหาย แก้ไขเปลี่ยนแปลง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมฯ ไม่ได้ฟ้องความผิดเกี่ยวกับชื่อเสียง ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเสื่อมเสียชื่อเสียง สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเกี่ยวกับชื่อเสียง ตามมาตรา 44/1 เพราะเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนแพ่งที่ไม่สอดคล้องกับมูลความผิดทางอาญา ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องคดีอาญา
ในส่วนความเสียหายทางเเพ่ง ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 87,227 บาท ส่วนค่าเสียหายเกี่ยวกับชื่อเสียง 10,000,000 บาท ศาลอาญายกคำร้อง
5. "เสี่ยยศ" พ่อ "เสี่ยบี" มอบตัวแล้ว หลังถูกออกหมายจับ ยันไม่ใช่เจ้าของผับ MOUNTAIN B เจ้าของตัวจริงคือลูกชาย!
เมื่อวันที่ 16 ส.ค. นายสมยศ ปั้นประสงค์ หรือ “เสี่ยยศ” อายุ 55 ปี บิดาของนายพงศ์ศิริ ปั้นประสงค์ หรือเสี่ยบี เจ้าของผับ MOUNTAIN B ที่ถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ โดยนายสมยศเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพัทยา ในความผิด 2 ข้อหา ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและอันตรายสาหัส และร่วมกันตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้เดินทางพร้อมด้วยนายจัดรกฤษ์ จินดารัตน์ ทนายความส่วนตัว เข้ามอบตัวต่อ พ.ต.อ.เอกภพ อินทวิวัฒน์ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี รักษาราชการแทน ผกก.สภ.พลูตาหลวง ณ สภ.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แล้ว หลังเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า เสี่ยยศคือเจ้าของผับตัวจริง จากหลักฐานเส้นทางการเงินและหลักฐานพยานบุคคล โดยเสี่ยยศให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและพร้อมสู้คดี
ทั้งนี้ เสี่ยยศ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ครั้งแรกที่รู้ว่าถูกออกหมายจับรู้สึกตกใจมาก เพราะทั้งชีวิตไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ส่วนเรื่องคดีต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ และว่า ตนเองก็รักลูกเช่นกัน หลังถูกกระแสโจมตีอย่างหนักเรื่องการให้บุตรชายรับหน้าทางคดีแทน พร้อมยืนยัน ยินดีจะเยียวยาเหยื่อเพลิงไหม้ MOUNTAIN B
ด้านนายอนุชา วงศ์ศรีรัตน์ ทนายความของเสี่ยบี ลูกชายเสี่ยยศ กล่าวหลังเสี่ยยศเดินทางเข้ามอบตัวต่อตำรวจว่า หลังรู้ว่าถูกออกหมายจับ เสี่ยยศไม่เคยคิดหลบหนี เพราะกำลังหาเงินช่วยลูกชายและสุดท้ายได้ตัดสินใจเข้ามอบตัว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และพร้อมที่จะให้การตามความเป็นจริงทุกประการ “ยืนยันว่าที่ผ่านมา ลูกชายและลูกสะใภ้ของเสี่ยยศ เป็นผู้ดูแลผับ โดยใช้เงินที่ทั้งคู่ร่วมทำมาหากินและเก็บหอมรอมริบกันมา และยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นเงินของเสี่ยยศแต่อย่างใด"
เย็นวันเดียวกัน (16 ส.ค.) นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ได้พาญาติผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุไฟไหม้ผับ MOUNTAIN B เดินทางมาที่ สภ.พลูตาหลวง เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการประกันตัวเสี่ยยศในชั้นพนักงานสอบสวนและชั้นศาล
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำตัวเสี่ยยศไปค้นที่บ้านพักตามหมายค้น จากนั้นได้นำตัวกลับมาควบคุมยังห้องขัง ของ สภ.สัตหีบ เพื่อที่วันรุ่งขึ้น (17 ส.ค.) จะนำตัวไปขอศาลพัทยาฝากขัง
ด้าน พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ กิจจาหาญ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี กล่าวว่า หลังกลุ่มผู้เสียหายมาขอยื่นคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนและชั้นศาล ทางพนักงานสอบสวนจะได้แนบหนังสือการคัดค้านประกันตัว ไปในสำนวนการสอบสวน ส่งให้ศาลจังหวัดพัทยาพิจารณาต่อไป
วันต่อมา (17 ส.ค.) หลังพนักงานสอบสวนนำตัวเสี่ยยศขอศาลพัทยาฝากขังแล้ว ผู้ต้องหาได้ขอประกันตัว ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเสี่ยยศ โดยตีราคาประกัน 1,000,000 บาท พร้อมทั้งให้ติดกำไล EM ภายใต้เงื่อนไข 1.ห้ามยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุร้ายประการอื่น 2.ให้ผู้ต้องหามารายงานตัวเมื่อครบฝากขังครั้งที่ 2 ครั้งที่ 4 และครั้งที่ 7
ขณะที่ญาติของผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ MOUNTAIN B ที่เดินทางมาร่วมคัดค้านการประกันตัวในชั้นศาล พร้อมทนายรณรงค์ แก้วเพชร ต่างรู้สึกผิดหวังไปตามๆ กัน
สำหรับยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ผับ MOUNTAIN B ล่าสุดอยู่ที่ 20 รายแล้ว โดยรายที่ 20 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 ส.ค. คือ นายปพน (ธรรณธร) หรือแอ๊ต บวรสุวรรณ อายุ 50 ปี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว ซึ่งได้สิ้นใจอย่างสงบที่โรงพยาบาลชลบุรี หลังเกิดอาการติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง