xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 7-13 ส.ค.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.สภาล่ม! กม.เลือกตั้งหาร 500 ส่อแท้ง "ชวน" นัดใหม่วันสุดท้าย 15 ส.ค. ด้าน "บิ๊กตู่" ยันจะหารเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา!

สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายฝ่ายจับตาการประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 10 ส.ค. เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ในวาระ 2 ที่ กมธ.พิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ประชุมรัฐสภาได้มีมติเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมของ กมธ.เสียงข้างน้อย ให้กลับมาใช้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วยการหาร 500 แทนหาร 100

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 10 ส.ค. ได้เกิดปัญหาองค์ประชุมไม่ครบ ทำให้สภาล่ม ไม่สามารถพิจารณาและลงมติร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ได้ โดยระหว่างการประชุม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ประกาศว่า พรรค พท.ไม่ขอร่วมเป็นองค์ประชุม ไม่ร่วมสังฆกรรม เพราะการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยพรรค พท.จะขอออกจากห้องประชุม หากมีการลงมติ

ทั้งนี้ มีกระแสข่าวก่อนหน้าจะมีการประชุมในวันดังกล่าวว่า พรรค พท.จะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพื่อให้สภาล่ม ซึ่งจะทำให้การพิจารณาและลงมติร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อกลับไปใช้สูตรหาร 500 พิจารณาไม่ทัน 180 วัน ที่จะครบกำหนดวันสุดท้ายในวันที่ 15 ส.ค.นี้ และจะส่งผลให้ร่าง พ.ร.ป.ดังกล่าวเป็นอันตกไป ทำให้กลับไปใช้สูตรหาร 100 ตามเดิม

ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่การประชุมเมื่อวันที่ 10 ส.ค.จะเริ่มขึ้น นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้แจ้งที่ประชุมว่า มีสมาชิกลาพิเศษ 32 คน ลาเพราะติดเชื้อโควิด 4 คน และลาที่ไม่ได้เจ็บป่วย 28 คน รวม 64 คน

ขณะเดียวกัน มีกระแสข่าวว่า มีแกนนำพรรค พปชร.โทรศัพท์กำชับ ส.ส.ของพรรคให้ออกจากห้องประชุม เพื่อไม่ต้องพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งแกนนำพรรค พปชร.ต่างปฏิเสธว่า ไม่มีกรณีดังกล่าว ขณะที่ ส.ส.พรรค พท. เมื่อถึงช่วงที่ต้องแสดงตนเป็นองค์ประชุม ก็ได้เดินออกจากห้องประชุม ตามคำประกาศที่จะไม่อยู่ร่วมเป็นองค์ประชุม ซึ่งสุดท้าย ทำให้เกิดปัญหาสภาล่ม ไม่สามารถพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อใช้สูตรหาร 500 ได้

ด้านนายสมชาย แสวงการ ส.ว.ในฐานะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ยอมรับว่า หากวันที่ 10 ส.ค. ไม่สามารถพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวได้แล้วเสร็จในวาระ 3 จะทำให้ไม่มีเวลาที่รัฐสภาจะนัดประชุมได้อีก และว่า กรอบเวลา 180 วันนั้น มีข้อถกเถียงว่า จะนับวันสุดท้ายวันที่ 15 ส.ค.หรือไม่ ซึ่งส่วนตัวมองว่า 180 วัน จะครบกำหนดที่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 14 ส.ค. ดังนั้นหากมีข้อเรียกร้องให้นัดประชุมวันที่ 15 ส.ค. จะถือว่าเกินเวลา อีกทั้งในวันดังกล่าว วุฒิสภาก็มีการประชุมด้วย

มีรายงานว่า ขณะที่มีการประชุมร่วมรัฐสภากระทั่งเกิดปัญหาสภาล่ม อีกด้านหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก่อนจะมีการพูดคุยนอกรอบกับ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร. และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

เมื่อประชุมเสร็จ ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกรณีที่สภาล่ม และกระแสข่าวการจับมือกันระหว่างพรรค พปชร.และพรรค พท. เพื่อกลับไปใช้สูตรหาร 100 โดย พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า “ใครจับ เอาชื่อมาดูสิใครจับ มีคนอื่นอยู่ด้วยหรือเปล่า ก็แล้วแต่เขา” เมื่อถามย้ำว่า นายกฯ มีความเห็นอย่างไร หากย้อนกลับไปใช้สูตรหาร 100 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น จะหาร 100 หาร 500 หาร 1,000 หาร 10,000 ผมไม่มีปัญหา”

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ที่นายกฯ บอกว่า หารอะไรก็ไม่มีปัญหา หมายความว่ารอบหน้าจะลงเลือกตั้งเองใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า “เลือกเมื่อไหร่ล่ะ” ผู้สื่อข่าวตอบว่า ปีหน้า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็รอปีหน้า”

ด้านนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ซึ่งได้ทำหน้าที่ประธานการประชุมร่วมรัฐสภาในบางช่วงที่จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ได้ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวรับใบสั่งจากใครเพื่อเอื้อให้สภาล่มหรือไม่ โดยยืนยันว่า การนับองค์ประชุมเป็นไปตามที่สมาชิกเสนอ ส่วนที่ตนขอพักประชุม 2 นาที เนื่องจากนั่งประชุมเกือบ 4 ชม.ไม่ทราบต้องนั่งประชุมอีกนานเท่าไร จึงหาโอกาสเข้าห้องน้ำ แต่มีบางสื่อกล่าวหาว่า พักประชุมเพื่อไปรับคำสั่งหรือโทรศัพท์หาผู้ใด จากนั้นนายพรเพชรได้ควักพระออกจากเสื้อด้านใน พนมมือแล้วกล่าวว่า “ผมขอสาบานต่อหน้าพระพุทธรูปบูชาของผมและพระสยามเทวาธิราชที่ประดิษฐานประจำสภาฯ แห่งนี้ว่า ไปห้องน้ำเพื่อปัสสาวะอย่างเดียวเท่านั้น และรีบกลับมาทันที หากทำตามที่ถูกกล่าวหา ขอให้ความวิบัติจงมีกับผมตลอดไป”

นายพรเพชร กล่าวอีกว่า “ไม่ถือสาคนที่ลงข่าวให้ผมเสียหาย ไม่ติดใจ ใครที่ว่าผม ไม่ต้องมาขอโทษ แต่ท่านที่รู้ข้อเท็จจริงและยังใส่ความบิดเบือนว่าผมทำสิ่งไม่ถูกต้อง พระสยามเทวาธิราชของอาคารที่ดินผืนนี้จะตอบสนองความทุกข์ยากแก่ผู้พูดไม่จริงบนแผ่นดินของรัฐสภา ผมจะไม่ฟ้องร้องสื่อและไม่เคยฟ้องร้องใคร”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายอิสระ เสรีวัฒนาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะทำงานประธานรัฐสภาได้แถลงว่า ถ้าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ส.ค. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 132 กำหนดให้กลับไปใช้ร่างของ ครม.ที่เสนอสูตรหาร 100 นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จึงกำหนดให้ประชุมร่วมรัฐสภาอีกครั้งในวันที่ 15 ส.ค.นี้ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่า รัฐสภาภายใต้การนำของประธานรัฐสภาได้พยายามอย่างยิ่งที่จะพิจารณากฎหมายให้แล้วเสร็จ หากองค์ประชุมไม่ครบ ผู้ที่มาเข้าร่วมประชุมหรือไม่เข้าร่วมประชุมจำเป็นต้องตอบคำถามสังคมและรับผิดชอบผลการกระทำนั้น แต่ในฐานะประธานรัฐสภา รัฐสภาทำอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากทำให้เต็มที่อย่างที่สุด ในฐานะผู้พิจารณากฎหมาย ตัวแทนประชาชน และฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ

2."ในหลวง" ทรงรับ "ครูบาบุญชุ่ม" เป็นผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์ หลังอาพาธมีอาการแปลกๆ หลังปฏิบัติธรรมกรรมฐานปิดวาจา 3 ปีในถ้ำฯ!


จากกรณีที่ "ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร” พระสงฆ์นักปฏิบัติธรรมและนักพัฒนา เกจิดังแห่งล้านนาและไทใหญ่ ได้ออกจากถ้ำหลวง เมืองแก๊ด รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ตรงข้ามกับ อ.ฝาง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติธรรมกรรมฐานปิดวาจา 3 ปี 3 เดือน 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. 2562 โดยครูบาบุญชุ่มได้ออกแสดงธรรมโปรดญาติโยมตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งประชาชนชาวพม่าต่างหลั่งไหลไปรอฟังธรรมอย่างเนืองแน่น

แต่ต่อมา โซเชียลมีเดียได้แชร์คลิปครูบาบุญชุ่มมีอาการแปลกๆ เช่น วิ่งออกจากอาสนะไปกราบไหว้สามเณรน้อย, นั่งแลบลิ้นระหว่างแสดงธรรม ทำให้บรรดาลูกศิษย์อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าท่านมีอาการอาพาธหรือไม่ เนื่องจากอยู่ในถ้ำนานถึง 3 ปี ก่อนออกมาเจอโลกภายนอก ทำให้ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง

กระทั่งเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก "จาย จาย" ได้ออกมาโพสต์ข้อความชี้แจงถึงลักษณะท่าทางของครูบาบุญชุ่ม ที่แปลกไปว่า "อันนี้คือการแสดงธรรมที่เป็นรูปร่างให้กับมนุษย์โลก เตือนสติชาวโลก ที่จะพบเจอในวันข้างหน้านี้อีกไม่ช้านาน ไทใหญ่เรียกว่า "แนฮ้างผางตารา" หรือแสดงธรรมที่เป็นรูปร่างให้เห็นด้วยตา หรือปริศนาธรรม หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ

"แต่พวกนักเลงคีย์บอร์ดที่ไม่รู้เรื่อง เอาไปลงเพจ ลง tiktok ต้องการให้คนมาวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ดี เพื่อต้องการให้เพจตัวเอง tiktok ตัวเอง มียอดไลก์ยอดติดตามเท่านั้น ผลกรรมที่ก่อเขาต้องได้รับแน่นอน ท่านฝากบอกลูกๆ ทุกคนว่าปล่อยเขาไป ห้ามไปยุ่งกับพวกเขา เขาจะพูดจะดูถูกยังไงก็ปล่อยเขาไป มันเป็นเส้นทางกรรมของเขา คนดีต้องมีสติ ท่านบอกไว้ครับ..."


วันเดียวกัน (10 ส.ค.) ยูทูบช่อง "watthakhanun" หรือพระครูวิลาศกาญจนธรรม หลวงพ่อเล็ก เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จังหวัดกาญจนบุรี ได้กล่าวถึงครูบาบุญชุ่มผ่านรายการยูทูบเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนว่า "เรื่องดรามาในวงการสงฆ์ระยะนี้ ท่านทั้งหลายบางคนก็อาจจะได้ข่าวแล้ว ก็คือเรื่องที่ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร ออกจากกรรมฐาน 3 ปี 3 เดือน 3 วัน แล้วมีอาการแปลกๆ ซึ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกตก็จะเห็นว่า ท่านไม่ค่อยจะปกติ ตรงนี้กระผม/อาตมภาพมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่า เกิดจากอาการมาลาเรียขึ้นสมองของครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร กำเริบ เหตุที่มั่นใจขนาดนั้นก็เพราะว่า เชื้อมาลาเรียตัวที่ครูบาบุญชุ่มได้รับกับตัวที่กระผม/อาตมภาพได้รับก็คือตัวเดียวกัน ก็แปลว่า เป็นเชื้อดื้อยาเหมือนกัน ถ้าหากว่าพักผ่อนไม่พอเมื่อไรก็อาละวาดเมื่อนั้น แล้วจะทั้งขึ้นสมองและลงกระเพาะสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

"สมัยที่ท่านเป็นใหม่ๆ อาตมภาพก็เคยบุกไปหาที่โรงพยาบาลเพื่อนำยาไปถวายครูบาบุญชุ่ม ต้องฝ่าด่านลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก เพราะเขากลัวว่าอาตมภาพจะไปรบกวนครูบาอาจารย์ของเขา คราวนี้ในเมื่อท่านเป็นมาลาเรีย อาการที่แสดงออก ก็คือขาดสติเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าพระภิกษุสามเณรของเราศึกษาในอนาปัตติวาร คือการที่พระภิกษุละเมิดศีลเพราะอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะอาการเพ้อคลั่งด้วยเป็นบ้า พระพุทธเจ้าท่านยกให้ว่าไม่ต้องอาบัติ อย่าว่าแต่อาการที่ครูบาบุญชุ่มแสดงออก ไม่ได้หนักหนาถึงขนาดละเมิดศีล แต่เป็นการแสดงท่าแปลกๆ ที่คนไม่เคยเห็นเท่านั้น..."


ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 ส.ค. เพจ "พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว" ได้โพสต์ภาพ พระครูบาบุญชุ่ม ขณะเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระเมตตาคุณ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ทรงรับ "ครูบาบุญชุ่ม" เป็นภิกษุอาพาธในพระบรมราชานุเคราะห์

โดยทางเพจรายงานว่า "พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงมีพระราชศรัทธาอย่างยิ่งยวดในพระพุทธศาสนา ทรงสืบสานพระราชปณิธาน "ธรรมราชินี" และทรงห่วงใยพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในการนี้ ทรงมีพระเมตตาคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมทรงรับครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร อรัญวาสีภิกขุ วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำลังอาพาธอยู่นั้น ไว้เป็นภิกษุอาพาธในพระบรมราชานุเคราะห์

"ข้าพระพุทธเจ้า มูลนิธิดอยเวียงแก้ว ในนามของ ศิษยานุศิษย์ พุทธศาสนิกชน และประชาชนทุกหมู่เหล่า ขอน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาคุณ อย่างหาที่สุดมิได้ และน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

"ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงโปรดประทานพรให้ครูบาบุญชุ่ม มีสุขภาพร่างกาย จิตใจสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของเหล่าพุทธศาสนิกชน และเป็นกำลังหลักของพระพุทธศาสนาตลอดไป จึงประกาศมาเพื่อทราบ"

3. "ทักษิณ" ชนะคดี ไม่ต้องเสียภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป 1.7 หมื่นล้าน เหตุสรรพากรออกหมายเรียกประเมินภาษีกับ "โอ๊ค-เอม" ไม่ใช่ "ทักษิณ" และ "ทักษิณ" ยังเป็นเจ้าของหุ้นอยู่!



เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลภาษีอากรกลางได้อ่านคำพิพากษาคดีแพ่งที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร จำเลยที่ 1 นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ จำเลยที่ 2 นายประภาส สนั่นศิลป์ จำเลยที่ 3 นายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ จำเลยที่ 4 กรณีประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายหุ้น บ.ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 17,000 ล้านบาท โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ถือเอาการออกหมายเรียกนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาว ในฐานะตัวแทนเชิด เป็นการออกหมายเรียกโจทก์ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากรในฐานะตัวการ เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง

แต่ปรากฏว่า เจ้าพนักงานประเมินมิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับนิติกรรมที่ทำขึ้นไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธ์ในหุ้นของบริษัทชินคอร์ป แต่อย่างใด โดยยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทดังกล่าวอยู่ โจทก์จึงมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร มีผลทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยยืนตามการประเมิน ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน แต่เจ้าพนักงานประเมินและจำเลยที่ 2-4 กระทำไปตามอำนาจหน้าที่จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว

พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

สำหรับคดีนี้ มีรายงานว่า หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายทักษิณ คดีร่ำรวยผิดปกติ ขอให้ริบทรัพย์สิน 76,000,000,000 บาท พร้อมดอกผลที่ได้มาจากการขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ตกเป็นของแผ่นดิน

องค์คณะฯ พิจารณาแล้วพิพากษาว่า นายทักษิณใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ บมจ.ชินคอร์ป ฯ ที่ครอบครัวถือหุ้น ทำให้มีทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติ จึงให้ยึดทรัพย์สินในชื่อ นายทักษิณและครอบครัว ที่ได้จากการขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปฯ จำนวน 46,000,000,000 บาทเศษ พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน

ต่อมาช่วงปี 2549-2552 กรมสรรพากรได้ประเมินภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ทำนองว่า เป็นตัวแทนเชิดของนายทักษิณ จึงต้องเก็บภาษีจากคนทั้งสอง นำมาสู่การฟ้องร้องคดีนี้

4. "ผบช.ภ.1" รอด! คกก.ตรวจสอบข้อเท็จจริงคดี "แตงโม" ชี้ ไม่ผิดวินัย ส่วนอีก 3 ตร. ผิดวินัยแต่ไม่ร้ายแรง!



เมื่อวันที่ 9 ส.ค. พล.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองจเรตำรวจแห่งชาติ (สบ 9) ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แจ้งผลการร้องเรียนไปยังนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ (ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม) ที่ร้องเรียนเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2565 ร้องขอให้ตั้งกรรมการสอบวินัย พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภาค 1, พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1, พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี และ พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี

และร้องขอให้ย้ายไปประจำศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ (แตงโม) อดีตนักแสดงชื่อดัง ที่สร้างความเสียหายให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการสั่งการให้ถูกต้อง เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่กระทำการรวบรวมพยาน และหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับความผิด เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นถึงความผิด และนำข้อมูลเท็จหรือพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเข้าสู่สำนวนการสืบสวนสอบสวน และไม่ทำคดีชันสูตรการตาย, ไม่ตรวจ สารเสพติด นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือ แซน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 และ 131/3 และไม่อายัดเรือของกลางตั้งแต่แรก

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว มีความเห็น ดังนี้ 1.พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ผู้ถูกร้องเรียนที่ 1 ในชั้นนี้ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่สมควรกล่าวหาว่า พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ผู้ถูกร้องเรียนที่ 1 มีมูลความผิดวินัย

2.พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ผู้ถูกร้องเรียนที่ 2 มีมูลความผิดวินัย ในฐานะผู้บังคับบัญชาไม่กำกับ ดูแล ตรวจสอบรายละเอียดเนื้อหา ในการ จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ทั้งก่อนและหลังการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ก่อนนำออกเผยแพร่ ให้มีความเหมาะสมและเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความตั้งใจ อุตสาหะ เพื่อให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการ เอาใจใส่ ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของทาง ราชการ และประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 78(9)

3.พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี ผู้ถูกร้องเรียนที่ 3 มีมูลความผิดวินัย ในฐานะผู้บังคับบัญชาไม่กำกับ ดูแล ตรวจสอบรายละเอียดเนื้อหา ในการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ทั้งก่อนและหลังการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ก่อนนำออกเผยแพร่ ให้มีความเหมาะสมและเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความตั้งใจ อุตสาหะ เพื่อให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการ เอาใจใส่ ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของทางราชการ และประมาท เลินเล่อในหน้าที่ราชการ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 78(9)

4.พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิตผกก.สภ.เมืองนนทบุรีผู้ถูกร้องเรียนที่ 4 กรณีในฐานะของ ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนของ สภ.เมืองนนทบุรี มีหน้าที่รับผิดชอบเก็บรักษาเรือของกลาง ตามระเบียบตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 15 ของกลางและของส่วนตัวผู้ต้องหา ซึ่งไม่ได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบ และคำสั่งที่กำหนด อันเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความตั้งใจ อุตสาหะ เพื่อให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ ราชการ เอาใจใส่ ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของทางราชการ และประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ ตาม ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 78(9)

ส่วนประเด็นอื่นๆ ในชั้นนี้ ยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่สมควรกล่าวหาว่า พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ผู้ถูกร้องเรียนที่ 1, พล.ต.ต.วสันต์ ผู้ถูกร้องเรียนที่ 2, พล.ต.ต.ไพศาล ผู้ถูกร้องเรียนที่ 3 และ พ.ต.อ.จาตุรนต์ ผู้ถูกร้องเรียนที่ 4 มีมูลความผิดวินัย ด้วยเหตุผลความจำเป็นทางคดี และพยานหลักฐานต่างๆ ที่ผู้ถูกร้องเรียนกล่าวอ้างนั้น รับฟังได้

ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้เสนอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาสั่งการต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

5. "ครูแดน" ขอบคุณไทย-เมียนมาช่วยให้ได้กลับไทย หลังถูกหลอกไปเป็นนักโทษว้าแดงแทนคนอื่น ก่อนยัดข้อหายาเสพติด ลั่นถ้าตนโกหก เอาไปยิงได้เลย!



เมื่อวันที่ 9 ส.ค. พ.อ.สุทธิ์เขตต์ ศรีนิลทิน ผบ.ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง ในฐานะประธานคณะกรรมการชายแดนไทย-เมียนมา ระดับท้องถิ่น (ทีบีซี) พ.ต.อ.เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผกก.ตม.จ.เชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับตัวนายระม้าย โมริพันธ์ หรือ "แดนนี่" หรือ "ครูแดน" อายุ 40 ปี ชาว อ.ภูพาน จ.สกลนคร ผู้กำกับละครและครูสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับดารานักแสดง จากเจ้าหน้าที่ทหารเมียนมาร์ผ่านจุดผ่านแดนถาวร สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้นำตัวครูแดนไปตรวจร่างกายและสอบปากคำภายในค่ายเม็งรายมหาราช อ.เมืองเชียงราย ก่อนพาครูแดนไปยังที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงราย เพื่อทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ เนื่องจากเอกสารเดิมสูญหาย จากนั้นพาไปสอบปากคำต่อที่ ภ.จว.เชียงราย ตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยมีฝ่ายตำรวจและสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.เชียงราย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย

ด้านนางคำ โมริพันธ์ มารดาของครูแดนได้ไปรอพบลูกชายที่ ภ.จว.เชียงราย ซึ่งเมื่อครูแดนได้เห็นหน้าแม่ ก็ได้ก้มลงกราบและโผเข้ากอดแม่ ก่อนที่ทั้งคู่จะร้องไห้ เพราะไม่เจอหน้ากันมานานกว่าครึ่งปีแล้ว ท่ามกลางความตื้นตันใจของผู้ที่พบเห็น

ขณะที่ครูแดนกล่าวเพียงสั้นๆ และถูกกันไม่ให้ระบุถึงการเดินทางไปยังเขตปกครองพิเศษที่ 2 (สหรัฐว้า) หรือว้าแดง ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาว่า ขอขอบคุณทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ ทั้งผู้ใหญ่ในฝ่ายไทย และในฝั่งประเทศเมียนมาที่ช่วยเหลือ ซึ่งตนก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ว้าและเมียนมาก่อนกลับไทยด้วย

นางคำกล่าวว่า ดีใจมากที่ได้เห็นลูกชายมีชีวิตกลับมาได้ ซึ่งเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะเขาต้องลำบากมานานค่อนปีแล้ว ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ช่วยเหลือให้ลูกตนกลับมาได้ ทั้ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผช.ผบ.ตร.ที่ให้การช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง

นางคำ เผยด้วยว่า หลังจากวันนี้ตนจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจะไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ ที่เคยขอให้ช่วยลูกชายตน ส่วนตัวลูกนั้นคงต้องปล่อยให้ตัวเขาตัดสินใจ แม้ว่าเขาจะชอบด้านการแสดงและภาพยนตร์มาก แต่เมื่อได้กลับมาเหมือนเกิดใหม่ ก็อยากให้คิดดีและมีชีวิตที่ดีต่อไป

ทั้งนี้ เรื่องราวของ “ครูแดน” ปรากฏเป็นข่าวตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา หลังนางคำได้เข้ายื่นหนังสือขอความช่วยเหลือต่อหลายหน่วยงานว่า ลูกชายถูกหลอกจนถูกคุมขังในประเทศเมียนมา นอกจากนี้ยังมีโพสต์ที่เผยแพร่ในโซเชียลฯ อ้างเป็นครูแดน ระบุข้อความว่า ถูกคนหลอกจนโดนคุมขัง ถูกล่ามโซ่และใช้แรงงานอย่างหนักอยู่ที่เมืองโต๋น ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษที่ 2 (สหรัฐว้า) ตรงข้าม อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ต้นปี 2565 ต่อมามีผู้ไลน์มายังญาติของครูแดนเรียกค่าไถ่แลกกับการปล่อยตัวครูแดนเป็นเงินถึง 24 ล้านบาท

กระทั่งหน่วยงานต่างๆ ของไทย ได้ประสานไปยังรัฐบาลเมียนมาและสหรัฐว้า จนสามารถพาตัวครูแดนกลับประเทศได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ช่วงที่เจ้าหน้าที่ทหารเมียนมาที่ จ.ท่าขี้เหล็ก สอบปากคำครูแดนก่อนส่งกลับไทยนั้น มีการระบุว่า ครูแดนเดินทางเข้าไปในเขตว้าเองโดยไม่ได้ถูกลักพาตัวไป

ด้าน พ.อ.สุทธิ์เขตต์ ศรีนิลทิน ผบ.ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง และประธานคณะกรรมการชายแดนไทย-เมียนมา ระดับท้องถิ่น (ทีบีซี) กล่าวว่า หลังจากได้รับตัวครูแดนมายังฝั่งไทย ก็ได้พาไปสอบปากคำเบื้องต้น เพื่อตรวจสอบข้อมูลด้านความมั่นคง ซึ่งทราบว่า ครูแดนสมัครใจเดินทางเข้าไปยังประเทศเมียนมาเอง โดยลักลอบไปทางช่องทางธรรมชาติ และไม่ได้ถูกจับตัวหรือถูกลักพาตัวไป อย่างไรก็ตาม รายละเอียดที่ชัดเจนนั้นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะได้สอบสวนอย่างละเอียดต่อไป

ทั้งนี้ ครูแดนกล่าวในเวลาต่อมา ถึงการเดินทางเข้าประเทศเมียนมาว่า เดินทางจากท่าอากาศยาน จ.ขอนแก่น ไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ แล้วจึงเดินทางไปยังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ก่อนจะมีคนมารับพาไปที่หมู่บ้านผาฮี้ ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จากนั้นมีคนขี่รถจักรยานยนต์ไปรับ แล้วพานั่งซ้อนท้ายผ่านไร่กาแฟจนถึงฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ส่วนการที่ตนถูกหลอกไปคุมขังในเขตปกครองของว้านั้น มีกระบวนการตั้งอยู่ในฝั่งไทยแล้ว โดยมีเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกับตนแนะนำให้ตนเดินทางไป จ.ท่าขี้เหล็ก เพื่อไปเที่ยว เมื่อไปถึง จ.ท่าขี้เหล็ก ได้รู้จักกับคนชื่อ “ชัย” ซึ่งก็มีการพากันไปกินเที่ยวตามปกติ แต่พอขอเดินทางกลับก็ไม่ให้กลับ จึงใช้ชีวิตกันตามปกติเหมือนเป็นพี่น้องกัน

ครูแดนกล่าวต่อว่า ช่วงที่อยู่ในเขตปกครองของว้า ถือว่าเป็นนักโทษของเขา เขาปล่อยให้หากินตามอัตภาพโดยมีข้าวให้ 3 มื้อ แต่ทำอาหารกินเอง ครูแดนยืนยันด้วยว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดแต่อย่างใด ซึ่งตนบอกกับเจ้าหน้าที่ไทยไปแล้วว่าถูกหลอกให้ไปถูกคุมขังจริงๆ ...หากตนโกหก ให้นำตนไปยิงได้เลย

ครูแดนกล่าวอีกว่า ข้อหายาเสพติดที่ทำให้ตนได้รับขณะอยู่ในเขตปกครองของว้า เกิดจากการที่ตนถูกยัดข้อหา โดยหลอกตนไปแทนที่คนที่ต้องคดีนี้อยู่แล้ว ลักษณะเป็นตัวตายตัวแทน จากนั้นใช้เป็นข้ออ้างในการพาตนไปยังเขตปกครองของว้า โดยช่วงแรกตั้งข้อหาหลบหนีเข้าเมือง ต่อมาได้เพิ่มเป็นข้อหาเสพยาเสพติด คนที่ทำกับตนนั้นตนเชื่อว่า เขาทำกรรมใดจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน

มีรายงานว่า เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ยังไม่ดำเนินคดีใดๆ กับครูแดน แต่ได้แจ้งข้อกล่าวหาไว้ที่โรงพักแม่สายว่า ลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อ


กำลังโหลดความคิดเห็น