สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ประกาศ "สุดยอดสตาร์ทอัพไทยแลนด์ลีก 2565" ระดับมหาวิทยาลัย จาก 276 ทีมทั่วประเทศ พร้อมเปิดพื้นที่โชว์กึ๋นนวัตกรรมเด็กไทย แสดง 100 สุดยอดไอเดียเจ๋งที่พร้อมต่อยอดเป็นธุรกิจในงาน DEMO Day
วันนี้ (5 ส.ค.) ณ อาคาร KX - Knowledge Exchange For Innovation (KMUTT) ชั้น 7 ภายในงานประกาศ "สุดยอดสตาร์ทอัพไทยแลนด์ลีก 2565" ระดับมหาวิทยาลัย นายปริวรรต วงษ์สำราญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า
"โครงการสตาร์ทอัพไทยแลนด์ลีก (Startup Thailand League) จัดขึ้นอย่าง ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 เป็นการร่วมมือกันระหว่าง NIA กับ 48 มหาวิทยาลัยเครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมแก่นิสิตนักศึกษาสู่การเป็นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ โดยในปีนี้ประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลักได้แก่
1. การอบรม Coaching Camp ภายใต้ระบบพี่เลี้ยง (mentor) เพื่อสร้างความเข้าใจในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมของสตาร์ทอัพ ช่วยพัฒนาแนวคิด ไอเดีย แผนธุรกิจให้แก่นิสิตนักศึกษา ก่อนลงสู่สนามการนำเสนอผลงานจริงแก่คณะกรรมการ
2. กิจกรรม Regional Pitching Startup Thailand League การประกวดแข่งขันไอเดียแผนงานธุรกิจสตาร์ทอัพของนิสิต นักศึกษาระดับภูมิภาค ซึ่งทีมที่ผ่านการอนุมัติแผนงานทางธุรกิจจะได้รับเงินสนับสนุนจาก NA จำนวน 25,000 บาท เพื่อพัฒนาเป็นผลงานต้นแบบ (Prototype) และนำมาจัดแสดงในงาน DEMO Day
3. กิจกรรมแสดงผลงาน DEMO Day เพื่อแสดงผลงานต้นแบบของนักศึกษาที่ได้รับการอนุมัติจากกิจกรรม Regional Pitching Startup Thailand League"
Startup Thailand League เป็นโปรแกรมบ่มเพาะและเร่งสร้างเมล็ดพันธุ์เถ้าแก่น้อย เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ในภาคธุรกิจ หรือเป็นพนักงานที่มีคุณภาพของบริษัทเอกชน ซึ่งตลอด 6 ปีของการดำเนินกิจกรรมมีนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 70,000 คน จาก 48 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชน ทั้งนี้ สามารถต่อยอดจัดตั้งเป็นบริษัทและปัจจุบันยังดำเนินธุรกิจอยู่มากกว่า 50 บริษัท ก่อให้เกิดรายได้รวมต่อปีมากกว่า 500 ล้านบาท (เฉลี่ย 10 ล้านบาทต่อปีต่อบริษัท) นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดการกระจายตัวของสตาร์ทอัพไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เกิดการกระจายรายได้ออกสู่ภูมิภาค รวมถึงเกิดการจ้างงานและสร้างความมั่นคงให้ชุมชนได้มากขึ้นอีกด้วย
และในปีนี้ จาก 276 ไอเดียธุรกิจของนักศึกษาทั่วประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันในระดับภูมิภาค มีเพียง 17 ทีมที่ได้ผ่านเข้าการแข่งขันรอบสุดท้ายของ Startup Thailand League 2022 ระดับประเทศ ในวันนี้ทั้ง 17 ทีมจะต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเองต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากนักลงทุน และบริษัทสตาร์ทอัพในหลากหลายสาขาและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่สนับสนุนสตาร์ทอัพ ซึ่งผู้ชนะเลิศอันดับ 1-3 จะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท, 30,000 บาท และ 20,000 บาท ตามลำดับ และรางวัลพิเศษ ที่บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด จะสนับสนุน HUAWEI CLOUD CREDIT แก่นิสิตนักศึกษาที่ชนะเลิศระดับประเทศ ทั้ง 17 ทีม รวมมูลค่า 18,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.3 ล้านบาท"
นายปริวรรตกล่าวเพิ่มเติมว่า "งาน DEMO Day ที่จัดขึ้นในวันนี้เป็นกิจกรรมแสดงผลงานหรือผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ได้รับการคัดเลือก จำนวน 100 ผลงาน เพื่อสร้างโอกาสสำคัญในการนำเสนอแนวคิดและแสดงผลงานต่อกลุ่มนักลงทุน ภาคเอกชนและผู้สนใจธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยตลอดการดำเนินโครงการมีผลิตภัณฑ์หรือบริการของนิสิตนักศึกษา ที่นำมาจัดแสดงในงาน DEMO Day ถูกนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจจำนวนไม่น้อย ถือเป็นการสร้างฐานรากสตาร์ทอัพให้แก่ประเทศไทยได้เป็นอย่างดี"
ในปีนี้นิสิตนักศึกษาให้ความสนใจในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมใน 3 กลุ่มเทคโนโลยี คือ 1) ด้านเกษตรและอาหาร (AgTech & FoodTech) ซึ่งเทคโนโลยีด้านนี้ได้รับความสนใจพัฒนาเป็นธุรกิจนวัตกรรมมากขึ้นกว่าปีก่อน ด้วยวิกฤตอาหารกำลังเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก, 2) ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (MedTech/Health Tech) ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เทคโนโลยีกลุ่มนี้ยังได้รับความสนใจต่อเนื่องจากปีที่แล้วและพัฒนาสร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรมที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพและด้านการแพทย์ และ 3) ด้านไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) ที่พัฒนาธุรกิจ ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปของคนในยุค Next Normal นี้สะท้อนให้เห็นว่านิสิตนักศึกษาสามารถใช้วิกฤตเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานในการเริ่มต้นธุรกิจได้
"NIA ในฐานะผู้จัดงานสตาร์ทอัพไทยแลนด์ลีกรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ของนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ ตลอด 6 ปีของการจัดงานเป็นที่ประจักษ์แล้วว่านิสิตนักศึกษาไทยมีความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก NIA พร้อมให้การสนับสนุนทุกความคิดสร้างสรค์ของเด็กไทยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสังคม และส่งคนรุ่นใหม่หันมาสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นระบบมากขึ้นเพื่อสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้" นายปริวรรตทิ้งท้าย