xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 24-30 ก.ค.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.สังคมแห่ชื่นชม "อากงจุน" เศรษฐีใจบุญ เจ้าของพัดลมฮาตาริ บริจาคเงินให้มูลนิธิรามาธิบดี 900 ล้าน!

สัปดาห์ที่ผ่านมา โลกโซเชียลได้พากันชื่นชมและแชร์เรื่องราวของ “อากงจุน” หรือ “จุน วนวิทย์” วัย 85 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัท ฮาตาริ อิเลคทริค จำกัด เจ้าของพัดลม “ฮาตาริ (Hatari)” และครอบครัว ที่ได้บริจาคเงินให้กับมูลนิธิรามาธิบดี จำนวนถึง 900 ล้านบาท

โดยบริจาคเพื่อสมทบทุนโครงการปรับปรุงอาคารโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดีศาลายา 160 ล้านบาท โครงการศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา 300 ล้านบาท และโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี 440 ล้านบาท โดยมี ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี รศ. ดร.พูลสุข เจนพานิชย์ วิสุทธิพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี และ ผศ. นพ.ภาวิทย์ เพียรวิจิตร รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร เป็นตัวแทนรับมอบเงินบริจาค เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา

สำหรับมูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2512 โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางระดมทุนจากผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์ และนำไปจัดสรร เพื่อสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาทางด้านการแพทย์ ช่วยต่อลมหายใจผู้ป่วยให้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพทุกระดับชั้น

ทั้งนี้ กระแสโซเชียลมีเดียได้มีการแชร์ข้อความจากทวิตเตอร์ @pichai_online ที่โพสต์ภาพเช็คธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) สาขาถนนประชาอุทิศ ชื่อบัญชี นายจุน วนวิทย์ ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาตาริ อิเลคทริค จำกัด สั่งจ่ายมูลนิธิรามาธิบดี จำนวนเงิน 900 ล้านบาท ลงวันที่ 29 ก.ค. 2565 ระบุว่า "การบริจาคที่ยิ่งใหญ่ คุณจุน วนวิทย์ เจ้าของ พัดลม Hatari คนนี้ใจบุญจริง ขออนุโมทนาครับ" โดยมีชาวเน็ตแห่แชร์และชื่นชมจำนวนมาก ทั้งในทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และสื่อมวลชนสำนักต่างๆ พากันนำเสนอข่าว

ความใจบุญของอากงจุน ทำให้สังคมเริ่มอยากรู้ประวัติชีวิตของอากง จนได้ทราบว่า อากงจุน เกิดเมื่อ 7 พ.ค. 2480 ที่กรุงเทพมหานคร ในวัยเด็กไม่ได้เรียนหนังสือในระบบโรงเรียน ทำให้ไม่มีคุณวุฒิทางการศึกษา แต่ได้ศึกษาภาษาไทยด้วยตนเอง และศึกษาภาษาจีนจากครูที่สอนพิเศษตามบ้าน

อากงจุนทำงานตั้งแต่อายุ 12 ปี เริ่มจากการเป็นลูกจ้างกวาดพื้นร้านขายข้าวสารที่ถนนสี่พระยา จากนั้นได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นลำดับ ตั้งแต่การเป็นช่างทำทอง, ขับรถโดยสารรับจ้าง, ลูกจ้างร้านทำป้ายพลาสติก, ลูกจ้างโรงกลึง, ช่างทำแม่พิมพ์สำหรับฉีดพลาสติก

ต่อมา ในวัย 28 ปี อากงจุนสามารถทำโครงพัดลมพลาสติกขึ้นได้ ทั้งที่ยุคนั้นโครงกรอบพัดลมล้วนทำด้วยโลหะอลูมิเนียม ก่อนที่จะเสนอขายชิ้นงานให้โรงงานผลิตพัดลมจนกลายเป็นการเปลี่ยนยุคเป็นพัดลมโครงพลาสติกเป็นต้นมา และต่อมาได้ไปเรียนรู้การพันมอเตอร์ที่ไต้หวัน แล้วจึงมาผลิตพัดลมที่ใช้ชิ้นส่วนพลาสติกออกจำหน่ายเป็นของตัวเอง โดยตอนแรกใช้ยี่ห้อ K และยี่ห้อ TORY กระทั่งอายุ 52 ปี (ปี 2532) จึงผลิตพัดลมฮาตาริจำหน่ายเป็นครั้งแรก ก่อนที่กิจการจะก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และขยายกิจการจากพัดลมเป็นเครื่องฟอกอากาศ และเครื่องซักผ้าขนาดเล็ก

ปัจจุบันบริษัทในเครือวนวิทย์กรุ๊ป มีพนักงานกว่า 2,000 คน ส่งผลิตภัณฑ์วางขายทั้งไทยและต่างประเทศ มีผลประกอบการปีละ 4,000 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาดพัดลมในประเทศถึง 80% จนสามารถลดการนำเข้าพัดลมจากต่างประเทศได้เกือบทั้งหมด

แม้อากงจุนจะไม่มีวุฒิการศึกษาในวัยเด็ก แต่ในปี 2555 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้มีมติเอกฉันท์ให้อากงจุนได้รับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป เพราะสิ่งที่ได้ทำมากว่า 50 ปี เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติโดยรวม

ที่ผ่านมา อากงจุนได้ตอบแทนสังคม ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสโดยไม่แสดงตัว เช่น การบริจาคเงินให้โรงพยาบาลต่าง ๆ สร้างศูนย์วิปัสสนาและมอบเงินอุดหนุนให้ยุวพุทธิกสมาคม สร้างสะพานลอยข้ามถนน บริจาคเงินให้โรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกระดับมูลค่าร่วมร้อยล้านบาท และปัจจุบันก็ยังทำอยู่เสมอ จนส่งผลให้อากงจุนได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นสายสะพายปฐมดิเรกคุณาภรณ์อีกด้วย

มีรายงานว่า ในปี 2559 นิตยสารฟอร์บส์ ประเทศไทย ได้จัดอันดับให้อากงจุนรั้งตำแหน่งเศรษฐีไทย อันดับ 49 ด้วยทรัพย์สินราว 1.481 หมื่นล้านบาท

2.“กรุงศรีวิไล” กราบเท้า “บิ๊กป้อม” ขอโทษโหวตคว่ำ “บิ๊กป๊อก” วอนบิ๊กป้อมคุม มท. แทน ด้าน “บิ๊กตู่” ยันยังไม่คิดปรับ ครม.!


สถานการณ์การเมืองหลังเสร็จศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอีก 10 รัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย จะได้รับเสียงไว้วางใจให้ทำงานต่อไป แต่มีประเด็นที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ คือกรณีที่ 6 ส.ส.สมุทรปราการของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร) โหวตคว่ำ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นรองหัวหน้าและผู้อำนวยการพรรค พปชร.ด้วย

โดยเมื่อวันที่ 25 ก.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พปชร. ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และ ผอ.กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการแก้ปัญหาน้ำแล้ง และป้องกันน้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและบางปะกง จ.สมุทรปราการ

ปรากฏว่า ทันทีที่เดินทางถึงเทศบางตำบลบางเมือง ได้มีตัวแทนหน่วยราชการท้องถิ่น รวมทั้ง ส.ส.สมุทรปราการของพรรค พปชร.มาต้อนรับ แต่ที่น่าสังเกตคือ นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.เขต 5 ได้ก้มลงกราบเท้า พล.อ.ประวิตร ที่เพิ่งลงจากรถยนต์ ทำให้ พล.อ.ประวิตร พูดว่า “ลุกขึ้นๆ เดี๋ยวลุกไม่ขึ้น ก็แก่พอกัน” จากนั้นได้ทักทายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และ ส.ส.สมุทรปราการที่มารอต้อนรับ มีรายงานว่า ก่อนเข้ารับฟังรายงาน พล.อ.ประวิตร ได้ปิดห้องเคลียร์ใจกับ 6 ส.ส.สมุทรปราการนานประมาณ 10 นาที

ทั้งนี้ หลังการเคลียร์ใจ พล.อ.ประวิตร ไม่เผยรายละเอียด โดยบอกว่า ให้ไปถามเขาดูเอง อย่างไรก็ตาม ระหว่างลงพื้นที่ตรวจราชการ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า “รัฐบาล รัฐมนตรีทุกคน โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ มี ส.ส.พรรค พปชร.ร่วมมือร่วมใจกับรัฐบาลในการทำงานทุกอย่าง และขอขอบคุณประชาชนที่เลือกพรรค พปชร.ให้มี ส.ส.ถึง 6 คน ถึงแม้จะได้ ส.ส.มาก แต่ยังไม่ได้รัฐมนตรี ไม่ต้องห่วงครับ ยังไงก็ต้องได้ เพราะว่าอยู่มานาน ทำงานให้รัฐบาลดีแล้ว ก็ต้องได้รับการพิจารณา ปรับ ครม.เมื่อไหร่ก็ต้องได้เป็น”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ติดใจหรือไม่กับการโหวต พล.อ.ประวิตร ส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า “ก็ต้องแล้วแต่ที่เขาโหวตไป” เมื่อถามว่า ไม่โกรธใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “เป็นเรื่อยน้อยเนื้อต่ำใจเขา ไม่รู้จะทำอย่างไร” เมื่อถามย้ำว่า ได้เคลียร์ใจกันแล้วหรือไม่ และได้ขอโทษแล้วหรือยัง พล.อ.ประวิตร พยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “เขาขอโทษ” ถามต่อว่า ให้อภัยใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ผมก็ต้องเอาเข้ากรรมการบริหารพรรค”

เมื่อถามว่า จะต้องตั้งคณะกรรมการสอบหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่ต้องสอบ เพราะมันทำไปแล้ว” เมื่อถามย้ำว่า จะมีบทลงโทษอะไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็มีอยู่แล้ว”

ด้านนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.สมุรปราการ พรรค พปชร. ให้สัมภาษณ์หลังปิดห้องเคลียร์ใจกับ พล.อ.ประวิตร ถึงกรณีโหวตสวน พล.อ.อนุพงษ์ และนายสุชาติว่า “ได้ไปกราบที่เท้าของ พล.อ.ประวิตร และบอกว่า ได้ทำตามหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย”

เมื่อถามว่า การกราบเท้าหมายถึงการขอโทษใช่หรือไม่ นายกรุงศรีวิไล พยักหน้าพร้อมบอกว่า “ขอโทษ” เมื่อถามว่า ถือว่าเป็นการเคลียร์ใจกันหรือไม่หลังจากปิดห้องคุยกันแล้ว นายกรุงศรีวิไล กล่าวว่า “ก็ดี ไม่มีใครจะมาว่าอะไรผมเลย” ถามต่อว่า หลังจากนี้จะเป็นประเด็นปัญหาและสนิมเกิดแต่เนื้อในตนหรือไม่ นายกรุงศรีวิไล กล่าวว่า “ผมคิดว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง และความจริงคือ มท.1 ไม่ได้ดูแลอะไรเราเลย ชัดๆ คือเรื่องของงบประมาณ”

ทั้งนี้ นายกรุงศรีวิไล กล่าวว่า การแสดงออกของกลุ่ม ส.ส.สมุทรปราการ เพื่อต้องการให้ พล.อ.ประวิตร ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแทน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

ด้านนายต่อศักดิ์ อัศวเหม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพปชร. กล่าวว่า สิ่งที่ทำในสภาด้วยการโหวตไม่ไว้วางใจ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของการเป็นตัวแทนประชาชน จ.สมุทรปราการ เราต้องการให้มีงบประมาณลงมาให้ประชาชนได้มีที่ทำกิน มีคุณภาพชีวิตที่ดี การแสดงออกที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่ฝ่าฝืน ส่วนการพิจารณาการกระทำที่เกิดขึ้น แล้วแต่พรรค พปชร.

นายต่อศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่โหวตคว่ำนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานด้วยว่า เพราะปัญหาการทำการเมืองท้องถิ่นทับซ้อนพื้นที่กัน และยืนยันว่า ส.ส.สมุทรปราการก้าวหน้า ทำงานครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัด นายสุชาติมีพื้นที่ทางการเมืองของตัวเองที่ จ.ชลบุรี ซึ่งก็มีปัญหาหนัก ให้ไปดูแลพื้นที่ตัวเอง

ทั้งนี้ หลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 ก.ค. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ถามว่า ต้องคุยกับ พล.อ.ประวิตร หรือไม่ ที่มีข่าวจะปรับ ครม.ให้ไปนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแทน เพื่อเตรียมพร้อมเลือกตั้งใหม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “ไม่มีปัญหา... ถ้าจะมีการปรับอะไรอยู่ที่นายกฯ และไม่ต้องกลัว ไม่ว่าจะปรับอย่างไร 3 ป.ไม่มีแตก ไม่มียึดติดกับเรื่องที่จะต้องแตกหรืออะไร 3 ป.อยู่กันมาค่อนชีวิตแล้ว 50 กว่าปีที่อยู่กันมาก็รู้ดี รองนายกฯ เป็นทั้งเจ้านายเก่า เป็นทั้งพี่เลี้ยงที่สอนผมมา เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหา ถ้านายกฯ จะปรับอย่างไร ก็ปรับได้เต็มที่เลย ผมก็ไม่มีอะไร แต่ไม่แตกกันแน่นอน”

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังประชุม ครม. กรณีถูกถามเรื่องการปรับ ครม.ว่า ยังไม่ได้คิด เมื่อถามว่า ได้คุยกับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ แล้วหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ระหว่างเดินออกจากตึกบัญชาการ เพื่อไปยังห้องทำงาน ตึกไทยคู่ฟ้า ฝนได้ตกโปรยปราย พล.อ.ประยุทธ์ ได้เอานิ้วชี้ไปบนท้องฟ้าพร้อมกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ฝนตกดูแลตัวเองกันด้วยนะ ก่อนกล่าวอีกว่า เบาๆ กันบ้างนะ บ้านเมืองจะได้เดินหน้าต่อไป

3. "ทักษิณ" สั่งเสียครอบครัวในวันเกิด 73 ปี ถ้าตาย ไม่ต้องเผา เก็บร่างไว้ให้ลูกหลานเห็นความอมตะของชีวิต-การต่อสู้!



เมื่อวันที่ 26 ก.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ และจำเลยหนีคำพิพากษาจำคุก 5 ปีคดีจำนำข้าว ได้โพสต์เฟซบุ๊กเนื่องในวันคล้ายวันเกิดอายุ 73 ปี ของนายทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย และจำเลยหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี คดีซื้อที่รัชดาฯ ว่า “สุขสันต์วันเกิดค่ะพี่ วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพี่ น้องขอให้พี่ของน้องมีความสุข มีสุขภาพแข็งแรง มีพลังกาย พลังใจ ในการคิดช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทยของเราต่อไป ...น้องอยากบอกกับพี่ว่าน้องภูมิใจที่ได้เกิดเป็นน้องสาวของพี่ค่ะ”

ขณะที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ได้โพสต์คลิปวิดิโอ “Long distance call” โดยเป็นภาพครอบครัวชินวัตร พร้อมบทสัมภาษณ์นายทักษิณ ที่ให้บอกเล่าเรื่องราวของนายทักษิณที่ใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัว ระหว่างอยู่ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยนายทักษิณ ระบุว่า หลายคนทราบเรื่องของตนตั้งแต่เด็ก หลานคอยถามทำไมไม่กลับบ้านไปด้วย เด็กวัยนี้ฉลาดจำได้ทั้งหมด ตนถือว่าความสุขอยู่ที่บ้าน ทำให้กระชุ่มกระชวยมีกำลังในการต่อสู้

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า มีแผลในใจบ้างหรือไม่ที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นายทักษิณ ตอบว่า ชีวิตที่ผ่านมา ความโง่มาก่อนความฉลาด ผู้ดำเนินรายการถามว่า ตอนที่รู้สึกว่าตัวเองโง่คือตอนไหน นายทักษิณ กล่าวว่า ตนอาจจะโง่เรื่องคน เพราะเป็นคนบ้านนอก ชีวิตง่ายๆ พอมาอยู่ กทม. ชีวิตก้าวกระโดด ผ่านสังคม กทม.น้อยไป สังคมของอีลีทน้อยไป เราไม่อยู่ในสังคมอีลีท แม้ฐานะเราจะเป็นอีลีท แทนที่จะเข้าสังคมอีลีท แต่ไปเข้าการเมือง เลยกลายเป็นคนซื่อบื้อคนหนึ่ง เหมือนเราไม่รู้วิธีอยู่ในป่าแล้วถูกปล่อยเข้าไป บางอย่างใน yes มี no อยู่ ซึ่งเราไม่เข้าใจ เพราะเราคิดว่าทุกคนจะเหมือนเรา แต่ชีวิตของคนอีลีทเขาซับซ้อน เป็นสิ่งที่ตนต้องเรียนรู้ แต่ไม่คิดเรียนรู้แล้ว แก่แล้ว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนไม่ได้เฮิร์ท แต่เสียดายตัวเองที่น่าจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองมากกว่านี้ ตนไม่เคยกลัวตาย ถูกลอบสังหารมา 4 รอบ แต่รู้สึกเฉยๆ เป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ยอมรับมันไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ตนรู้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ ในครอบครัวรู้ เราไม่อยากให้เขาไปเจอคนที่ไม่คิดดีกับเรา เจอแล้วจะได้ระวังตัว

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า อีก 20-30 ปี แคร์หรือไม่ที่วิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้าแล้วอาจไม่ทันเห็น นายทักษิณ กล่าวว่า แน่นอน ระหว่างที่เราอยู่ ไม่รู้พระเจ้าจะเอาตัวเราไปเมื่อไร แต่ระหว่างที่อยู่ ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนที่เรารักและรักเรา สำหรับคนที่ไม่รักเราทำให้รักเรายาก แต่คนที่อยู่ตรงกลางก็อยากให้เขาเข้าใจ ทุกวันนี้ตนไม่ได้มีอะไรเลย เป็นคนที่อยู่เมืองนอกกลับประเทศก็ไม่ได้ แต่มีคนที่รัก เวลารักลูกก็ไม่อยากให้เขาลำบากเหมือนตน ตอนสร้างตัวเองทุกอย่างบีบคั้นโดยเฉพาะเรื่องการเงิน แต่ตนเป็นคนขอกำลังใจกับครอบครัวมาตลอด อย่างอยู่เมืองนอกต้องโทร.กลับบ้านทุกวันโทร.หาลูก โทร.หาคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ นานๆ ก็ต้องคุยกับหลาน กลัวหลานลืม

“การเมืองมันเป็น Zero Sum Game ถ้าเราสุขเขาจะทุกข์ ถ้าเราทุกข์เขาจะสุข ทำไมไปทุกข์เพื่อให้เขาสุข เราต้องสุขเพื่อให้เขาทุกข์ ถ้าเจอหน้าสัมภาษณ์ผมทีไร ดูผมไม่ทุกข์ 16 ปี แล้วนะ ไม่ทุกข์ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป คนที่รักเราจะได้มีความสุขไปด้วย”

ผู้ดำเนินรายการถามว่า เราอธิบายตัวเอง อธิบายครอบครัว อธิบายการเมืองหมดแล้ว เวลายืนมองกระจกกำลังเห็นใคร นายทักษิณ กล่าวว่า เห็นคุณหญิงพจมาน ตนสงสารคุณหญิงพจมาก ตนตัดสินใจกลับเมืองไทย เพราะว่าคุณหญิงพจมานรับภาระแทนตนไว้เยอะ สงสาร

เมื่อถามว่า มันจะถึงวันเปลี่ยนความรู้สึกสงสารออกจากใจได้หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า เมื่อตนกลับไปแล้ว ได้อยู่กับครอบครัวแล้ว มันก็จบทุกอย่าง วันนั้นเมื่อตนกลับไปอยู่กับครอบครัว ก็ต้องทำตัวให้แข็งแรงเพื่อชดเชยเวลาที่หายไป ใช้เทคโนโลยีช่วยเพื่อให้ตัวเองไม่บกพร่อง

เมื่อถามว่า ไม่ได้คาดหวังว่าหลานต้องต่อสู้ไปเป็นผู้นำประเทศ นายทักษิณ ตอบว่า ไม่ เขาคิดเองเป็น เพียงแต่เราต้องการให้เราอยู่กับเขา รักและห่วงใยเขา มีกำลังใจเหมือนมีตาอยู่ด้วยตลอด “ผมเองสั่งครอบครัว ตายไม่เผา ให้เก็บไว้ ให้เก็บร่างไว้ไม่ให้เผา นี่คือ สิ่งที่ผมต้องการให้การต่อสู้ของผม ให้ชีวิตผมเป็นอมตะของครอบครัวของลูกหลาน”

4. ศาลปกครอง ชี้ คดีป่าแหว่ง สร้างบ้านพักตุลาการบนดอยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เหตุไม่รุกป่าสงวน-อุทยานฯ ดำเนินการตามขั้นตอน!



เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ศาลปกครองเชียงใหม่ ได้มีคำพิพากษาในคดีที่นายสุวิทย์ รุ่งวิสัย ซึ่งอ้างเป็นผู้มีหน้าที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยื่นฟ้องกรมธนารักษ์ ขอให้ศาลฯ เพิกถอนและให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและปรับปรุงพื้นที่ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขที่ ชม.1723 (บางส่วน) ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เนื้อที่ 147 ไร่ 3 งาน 30 ตารางวา ที่กรมธนารักษ์อนุญาตให้สำนักงานศาลยุติธรรมก่อสร้างอาคารที่ทำการศาล บ้านพักตุลาการ และข้าราชการศาลอุทธรณ์ภาค 5 หรือที่รู้จักในคดี “ป่าแหว่ง” ให้กลับมามีสภาพดังเดิม

โดยศาลฯ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พื้นที่ราชพัสดุแปลงพิพาททั้งแปลงอยู่นอกแนวเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยสุเทพ และนอกแนวเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย อำนาจอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุแปลงพิพาทเป็นอำนาจของกรมธนารักษ์ ซึ่งขั้นตอนในการพิจารณาอนุญาตให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้พื้นที่แปลงพิพาท เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ที่ราชพัสดุแปลงพิพาท แม้มีสภาพเป็นป่าที่ลาดเชิงเขา บางส่วนเป็นที่สูงชัน อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคเหนือ (ลุ่มน้ำปิง-วัง) แต่เมื่อพื้นดังกล่าวมิได้มีพื้นที่ส่วนหนึ่งส่วนใดทับซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่อุทยานแห่งชาติ พื้นที่ราชพัสดุแปลงพิพาท จึงไม่อยู่ในบังคับ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504

อีกทั้งพื้นที่ราชพัสดุแปลงพิพาทอยู่ในพื้นที่ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 2 ชั้น 3 และชั้น 4 สำนักงานศาลยุติธรรมจึงได้รับยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ฉบับดังกล่าว และไม่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียก่อนเริ่มโครงการ ตามข้อ 14(1) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548

ดังนั้น การพิจารณาอนุญาตให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้ที่ราชพัสดุแปลงพิพาท จึงเป็นไปตามขั้นตอน อันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ข้ออ้างที่ว่า การพิจารณาอนุญาตของกรมธนารักษ์เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 67 วรรคสอง ที่ใช้บังคับในขณะนั้น จึงไม่อาจรับฟังได้ และยังฟังไม่ได้ว่า การที่กรมธนารักษ์อนุญาตให้สำนักงานศาลยุติธรรมก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บ้านพักตุลาการและบ้านพักข้าราชการศาลอุทธรณ์ภาค 5 เป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อสำนักงานศาลยุติธรรมได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ที่ราชพัสดุแปลงพิพาทเพื่อก่อสร้างอาคารดังกล่าว ก็ชอบที่จะดำเนินการในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้การก่อสร้างอาคารดังกล่าวสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ข้ออ้างที่ว่า การก่อสร้างอาคารดังกล่าวเป็นเหตุให้มีการโค่นต้นไม้ ทำลายป่า ทำให้เกิดเป็นพื้นที่ป่าแหว่ง อันเป็นการทำลายระบบนิเวศของพื้นที่ป่าไม้ที่สวยงามตามธรรมชาติ และมีผลกระทบต่อลำห้วยแม่ชะเยือง จึงไม่อาจรับฟังได้ และการที่กรมธนารักษ์อนุญาตให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้พื้นที่ที่ราชพัสดุแปลงพิพาท จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิของนายสุวิทย์ผู้ฟ้องคดี

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโครงการบ้านพักข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พื้นที่ราชพัสดุ 147 ไร่ ริมดอยสุเทพ สำนักงานศาลยุติธรรมได้มีการส่งมอบพื้นที่คืนให้กับกรมธนารักษ์แล้ว

5. ไทยพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายที่ 2 เป็นหนุ่มใหญ่ชาว กทม. มีประวัติเพศสัมพันธ์กับชายต่างชาติ!



เมื่อวันที่ 28 ก.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ได้รับรายงานจากอธิบดีกรมควบคุมโรคว่า ทางกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ตรวจทางห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ยืนยันผู้ป่วยฝีดาษลิงรายที่ 2 จากโรงพยาบาลวชิรพยาบาล กรุงเทพฯ โดยผู้ป่วยรายที่ 2 นี้ เป็นชายไทย อายุ 47 ปี มีประวัติมีเพศสัมพันธ์กับชาวต่างชาติเพศชาย มีอาการสงสัยป่วยเมื่อวันที่ 12 ก.ค. จากนั้นอีก 2 วัน เริ่มมีไข้ ปวดตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต และ 1 สัปดาห์ต่อมา มีผื่นที่อวัยวะเพศ ลำตัว หน้า แขน ขา จึงมาตรวจที่ รพ. ขณะนี้รับไว้ใน รพ. และติดตามผู้สัมผัสมาตรวจและเฝ้าสังเกตอาการต่อให้ครบ 21 วัน ซึ่งไม่ได้เชื่อมโยงกับผู้ป่วยรายแรก ซึ่งเป็นชาวไนจีเรีย

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เผยเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยรายที่ 2 มีประวัติอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งทางสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง โดยกรมควบคุมโรค ได้เข้าไปสอบสวนโรคแล้วพบว่า มีผู้สัมผัสร่วมบ้าน 10 ราย (ภายหลังเพิ่มเป็น 16 ราย ณ วันที่ 29 ก.ค.) ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจหาเชื้อ และให้สังเกตอาการ 21 วัน อย่างไรก็ตาม ทีมสอบสวนโรคกำลังเร่งหาผู้สัมผัสรายอื่นๆ เพิ่มเติม หากประชาชนสงสัยว่า ตนเองมีอาการป่วยเข้าได้กับโรคฝีดาษลิง สามารถติดต่อสถานพยาบาลเพื่อรับการตรวจหาเชื้อได้

นพ.โอกาส กล่าวด้วยว่า การรักษาพยาบาลคนไทยที่ป่วยโรคฝีดาษลิง ใช้รักษาตามสิทธิได้ฟรีอยู่แล้ว แม้ยังไม่ใช่โรคติดต่ออันตราย ส่วนชาวต่างชาติต้องใช้ประกันสุขภาพส่วนตัว แต่ค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก เนื่องจากบุคลากรไม่ต้องใช้ระบบป้องกันโรคเหมือนโควิด-19 เช่น ชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) แล้วโรคหายได้เอง ใช้ยาตามอาการ ค่าใช้จ่ายจึงไม่สูงมาก

วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นพ.เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แถลงถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงว่า ยืนยันผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 18,000 คน ในอย่างน้อย 78 ประเทศ และเสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ในทวีปแอฟริกา จากจำนวนผู้ป่วยสะสมทั้งหมด มี 10% ต้องเข้ารับการรักษาตัวใน รพ. และ 98% ของผู้ติดเชื้อยืนยัน เป็นกลุ่มชายรักชาย นพ.เทดรอส จึงขอความร่วมมือจากกลุ่มคนเหล่านี้ ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต อย่างไรก็ดี ประชาชนในภาคส่วนอื่นของสังคม ไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มคนเหล่านี้เช่นกัน

ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทย ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังทรงๆ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศเรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร โดยระบุว่า เนื่องจากโรคโควิด-19 ได้กลับมาระบาดรุนแรงมากขึ้นทั่วโลกรวมทั้งไทย จึงยังคงมีความจำเป็นต้องดำรงมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 แบบบูรณาการเพื่อควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวต่อไปอีกระหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-30 ก.ย.2565


กำลังโหลดความคิดเห็น