รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เผยข้อมูลทรัพย์สินผู้กำกับโจ้ มือคลุมถุงดำสนั่นวงการสีกากีเป็นที่แรก พบยื่นภาษี 7 ปี มีรายได้รวมแค่ 2 ล้าน แต่พบมีเงินฝาก 3 บัญชี เดินบัญชีกว่า 1,200 ล้าน แถมมีบ้านหรู รถหรู รวมทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท ทั้งที่รับราชการตำรวจมาแค่ 17 ปี คาดไม่ใช่แค่จับรถเถื่อน แต่ยังรวมถึงยาเสพติด ค้าของเถื่อน แรงงานเถื่อน พนันออนไลน์ เจ้าตัวคนเดียวทำไม่ได้แน่นอน
วันนี้ (15 ก.ค.) รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ (สนธิทอล์ก) ออกอากาศผ่านแอปพลิเคชัน Shondhi App เฟซบุ๊ก "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และยูทูบ Sondhi Talk ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ นักโทษในคดีร่วมกันฆ่านายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ หรือมาวิน ผู้ต้องหาคดียาเสพติด ด้วยการร่วมกับลูกน้องซ้อมและใช้ถุงดำคลุมศีรษะจนขาดอากาศหายใจ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2564 ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษาประหารชีวิต แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ตนได้ข่าวมาว่าผู้กำกับโจ้ซึ่งอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรมผิดหวังต่อคำพิพากษาประหารชีวิต แล้วลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตมาก กลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยาก อาจจะคิดว่าตัวเองอาจจะมีโอกาสหลุดพ้นออกไปใช้เงินที่ทำการทุจริตและเก็บสะสมเอาไว้หลายต่อหลายปีสักที
นายสนธิกล่าวว่า ผู้กำกับโจ้รับราชการตำรวจมา 17 ปี แต่สิบปีหลังรวยเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท ทรัพย์สินและที่มาของความร่ำรวยผิดปกติอย่างมากของผู้กำกับโจ้ ก่อนหน้านั้นมีการสันนิษฐานว่าประมาณ 500-600 ล้านบาท ซึ่งน่าจะมาจากการยึด การนำจับรถหรูนำเข้าจากต่างประเทศ มากกว่า 400 คัน ที่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรมีส่วนรู้เห็นด้วย แต่ย้อนหลังกลับมา ผู้กำกับโจ้อายุ 42 ปี เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 57 รับราชการครั้งแรกเมื่อปี 2547 ยศ ร้อยตำรวจตรี ต่อมาปี 2548 ไปเป็นรองสารวัตร สถานีตำรวจภูธรโคกเคียน จ.นราธิวาส, ปี 2549 ได้รับตำแหน่งรองสารวัตร กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 1 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด, 16 พ.ค. 2559 ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ ณ กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 4 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
ตนตั้งข้อสังเกตว่า ตอนที่อยู่กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 1 ยาวนานถึง 10 ปี และอยู่ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดยาวนานกว่า 13 ปี ระหว่างนั้นมีโอกาสทำคดีสำคัญ เช่น คดี พ.ต.ท.ธนกฤต นิตสพันธ์ สารวัตรสอบสวน สถานีทางหลวง 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ร่วมกับภรรยาค้ายาเสพติดข้ามชาติ และสืบสวนจับกุมแก๊งค้ายาเสพติดเครือข่ายข้ามชาติอีกหลายคดี เช่น จับกุมเครือข่าย นายไซซะนะ แก้วพิมพา มาเฟียค้ายาเสพติดข้ามชาติชาวลาว ที่โยงกับ “เบนซ์ เรซซิ่ง” นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช อดีตสามีของดาราสาวแพท ณปภา ตันตระกูล, 13 ธ.ค. 2562 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการสืบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก อีกปีเดียวต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์
ผู้กำกับโจ้ยื่นภาษี 7 ปี รายได้รวม 2,960,000 บาท แต่ว่าบัญชีเงินฝากผู้กำกับโจ้ มีเงินฝากรวม 1,243 ล้านบาท ในชื่อผู้กำกับโจ้ ได้มีการตรวจสอบการเสียภาษีของผู้กำกับโจ้ ทั้งหมดนี้มีรายได้รวม 2,960,000 บาท พอไปดูทรัพย์สินของผู้กำกับโจ้ ค้นพบว่ามีเงินฝากธนาคาร 3 บัญชี มีชื่อผู้กำกับโจ้เป็นเจ้าของบัญชี และเป็นผู้มีอำนาจในการถอนเงิน รวมแล้ว 1,243,813,772.48 บาท ได้แก่ บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาตลิ่งชัน ประเภทสะสมทรัพย์ ชื่อบัญชี นายธิติสรรค์ อุทธนผล เป็นเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี 2554-2564 บัญชีนี้ทำรายการฝาก 258 รายการ รวมเป็นเงิน 1,197,694,152.48 บาท
แสดงว่า 10 ปีนั้นคือ 10 ปีของการที่ทำงานอยู่ในกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด อนุมานได้เลยว่าเงินที่เอามาฝากนั้นคือเงินที่ไปรีดไถพ่อค้ายาเสพติด ฝากตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2554 ถึง 23 เม.ย. 2564 มีเงินฝากถึง 1,197 ล้านบาท มีบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาหลักสี่ ชื่อบัญชีผู้กำกับโจ้ มี 8 รายการ จำนวน 11,542,450 บาท บัญชีที่สาม ธนาคารกสิกรไทย สาขาราชวัตร ชื่อบัญชีผู้กำกับโจ้เช่นเดียวกัน ปี 2554-2557 ช่วงนั้นยังอยู่กับกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ทำรายการฝากจำนวน 18 รายการ รวมเป็นเงิน 34,577,170 บาท
เมื่อไปดูรายละเอียดการฝากเงิน พบว่ารายละเอียดระบุชัดเจนว่าเป็นการฝากเงินครั้งละหลักหลายล้านบาท เดือนละหลายครั้ง บางครั้งเป็นการฝากหลายสิบล้านบาทในวันเดียวก็มี ยกตัวอย่าง วันที่ 5 ก.พ. 2557 มีฝากเงิน 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งจำนวน 21,999,800 บาท ครั้งที่สอง 1,999,750 บาท รวมเป็นเงินฝากวันเดียว 23,999,550 บาท ส่วนวันที่ 20 มิ.ย. 2557 ฝากเงิน 1 ครั้ง 15 ล้านบาท, 20 พ.ย. 2557 ฝากเงิน 3 ครั้ง ครั้งละ 10 ล้านบาท วันเดียวเป็นเงิน 30 ล้านบาท, 8 ธ.ค. 2557 มีการฝากเงิน 1 ครั้ง จำนวน 30,999,900 บาท, 17 เม.ย. 2558 มีการฝากเงิน 2 ครั้ง แบ่งเป็นครั้งที่หนึ่ง 17,902,500 บาท ครั้งที่สอง 12,540,000 บาท รวมเป็นเงินฝากวันเดียว 30,442,500 บาท
บ้านและที่อยู่อาศัยของผู้กำกับโจ้ พบว่าเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 79/898 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอื่น บนที่ดิน 4 แปลง รวม 5 ไร่ ในตำบลบางชัน อำเภอคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ผู้กำกับโจ้ติดต่อซื้อจากผู้ขายเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2557 ถึงวันที่ 23 ธ.ค. 2558 มูลค่ารวม 54,150,000 บาท เงินอันนี้ที่ซื้อที่ดิน ถอนออกมาจากบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาตลิ่งชัน ในชื่อผู้กำกับโจ้มาซื้อ ส่วนรถยนต์ พบว่าผู้กำกับโจ้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองรถยนต์จำนวน 15 คัน แต่คิดเป็นเงินเพียง 6,190,000 บาทเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมูลค่าต้องมากกว่านั้นหลายเท่า พิจารณาจากรถแล้วเป็นรถยี่ห้อหรูหลายคัน ไม่ว่าจะเป็น เบนซ์ อาวดี้ ปอร์เช่
ข้อมูลเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กินี หมายเลขทะเบียน จก 5 กรุงเทพมหานคร เช่าซื้อกับบริษัท ราชธานีลิสซิ่ง ชำระค่าเช่าซื้ออัตรางวดละ 534,334 บาทต่อเดือน เป็นจำนวน 60 งวด ชำระค่าซื้อครบถ้วนเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2556 เป็นจำนวนเงิน 32,060,040 บาท ส่วนต่างจากราคาจำหน่ายจริงราว 14 ล้านบาท แสดงว่าน่าจะมีเงินดาวน์รถอีกประมาณ 15-20 ล้านบาท ซึ่งรถคันนี้มูลค่าราคา 40-50 ล้านบาท นอกจากนั้นก็เป็นหนี้สินเช่าซื้อรถยนต์ ทั้งหมดนี้ที่เอามาพูดมีหลักฐานทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้เลย ข้อมูลเงินสด ทรัพย์สินของผู้กำกับโจ้ที่เอามาเล่าให้ฟัง มูลค่าจริงตามท้องตลาด ไม่ใช่ตามที่ทางการประเมินซึ่งต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือบ้านและที่ดิน ทั้งหมดแล้วมูลค่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 1,400-1,500 ล้านบาท
นายสนธิกล่าวว่า ผู้กำกับโจ้เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ว่าการจับทุจริตในประเทศไทย หากมีการบูรณาการด้านข้อมูลข่าวสาร เอาบิ๊กดาต้า (Big Data) ที่หน่วยงานต่างๆ มาปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ประพฤติมิชอบ ก็จะง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ ไม่ว่าจะเป็นการยื่นภาษี การเสียภาษีกับกรมสรรพากร ของเจ้าตัวกับคู่สมรส การจดทะเบียนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ การแสดงบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินต่อ ป.ป.ช. ข้อมูลการฝากเงิน ถอนเงิน เงินโอนเข้า-ออกจากบัญชี ซึ่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สามารถขอจากธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งได้อยู่แล้ว
"นี่คือตำรวจหนุ่มนายหนึ่ง รับราชการมาแค่ 17 ปี ถูกจับตอนอายุ 41 ปี แต่มีเงินมากมายถึง 1,500 ล้านบาทในชื่อเขาเอง ไม่ใช่เอาในชื่อคนอื่น ไม่นับทรัพย์สินที่ซุกซ่อน หรือฝากไว้กับนอมินีอีกไม่รู้กี่คน อีกกี่ร้อยล้านบาท ผมดูแล้วขบวนการแบบนี้ จำนวนเงินที่เข้าแบบนี้ ระยะเวลาที่เงินเข้าแบบนี้ คงไม่น่าจะเอี่ยวกับขบวนการยึดนำจับประมูลรถยนต์เถื่อนเท่านั้น ผมอนุมานได้ว่าต้องเกี่ยวกับขบวนการทำผิดกฎหมายอย่างอื่น เช่น ยาเสพติด ค้าของเถื่อน ค้าแรงงานเถื่อน การพนันออนไลน์ แน่นอนว่าแค่ผู้กำกับโจ้คนเดียวมิอาจทำได้แน่นอน น่าจะมีขบวนการใหญ่ ที่มีผลประโยชน์มหาศาลอยู่เบื้องหลัง เผลอๆ เงินที่ผู้กำกับโจ้ฝากเอาไว้ นั่นอาจจะเป็นเงินก่อนที่จะนำมาแบ่งให้กับหลายๆ คนที่อยู่เบื้องหลัง แล้วก็เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น นี่คือความจริงของระบบข้าราชการไทย ของตำรวจไทยบางนาย เชื่อว่าทางทหารก็ต้องมี นี่คือประเทศไทยไง" นายสนธิกล่าว
นายสนธิกล่าวอีกว่า อย่าคิดว่าตนมีอคติกับใคร ตนมีอคติกับระบบที่เลวทรามต่ำช้า อคติกับคนที่อยู่ในวงการแล้วมีอำนาจ แล้วใช้อำนาจในการฉ้อราษฎร์บังหลวง กรณีนี้ไม่ใช่ฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่รีดไถคนที่้อยู่ในวงการยาเสพติด ตนเชื่อว่าเงินทั้งก้อนมาจากขบวนการค้าแรงงานเถื่อน ขบวนการยาเสพติดแน่นอนที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วเงินมันจะเข้าเยอะขนาดนั้นได้ยังไง 1,500 ล้านบาท รวมทรัพย์สินที่ซ่อนไว้ แล้วยังซ่อนอีกเยอะที่ยังไม่รู้ นี่คือปรากฏในชื่อของเขาใน 3 ธนาคาร ตนเชื่อว่ามีนอมินีที่ถือเงินแทนผู้กำกับโจ้อีกเยอะเลยงานนี้ ผู้ชมคิดยังไง ตนไม่ได้คิดยังไง มีแต่ความเศร้า เศร้าจริงๆ โคตรทุเรศฉิบหายเลยงานนี้ ดูแล้วเป็นไปได้ยังไง รับราชการตำรวจมา 17 ปี มีเงินฝากบวกทรัพย์สินแล้วเกือบ 2,000 ล้านบาท แล้วเงินฝากเป็นชื่อตัวเอง 3 บัญชี แสดงว่าผู้กำกับโจ้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องถูกจับได้ เงินที่ใช้น่าจะเป็นการใช้ซื้อตำแหน่ง ยัดปากผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เผอิญถุงดำทำให้คนตาย ถ้าคนที่ถูกถุงดำคลุมอยู่ หรือไม่ได้คลุมถุงดำแล้วเขาไม่ตาย ป่านนี้ผู้กำกับโจ้อาจจะได้ขึ้นเป็นรองผู้การฯ ไปแล้ว เพราะยัดเงินหนักเหลือเกิน แล้วก็ทำกรรมชั่วต่อไปอีกนานแสนนาน รู้จักคน รู้จักหน้า ไม่รู้จักใจ