หลายคนคงยังไม่ทราบว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ปรับปรุงรูปแบบการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 โดยยกเลิกการรักษาแบบกักตัวที่บ้าน (Home Isolation หรือ HI) และฮอสพิเทล (Hospitel) ไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อรองรับการเป็นโรคประจำถิ่น ทำให้ในปัจจุบันแนวทางการรักษาโควิด-19 เหลือเพียงแค่รักษาตามแนวทาง "เจอ แจก จบ" ของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. เป็นต้นมา สปสช.ได้มีการปรับระบบการจ่ายชดเชยค่าบริการเกี่ยวกับโรคโควิด-19 โดยเปลี่ยนแปลงที่มาของงบประมาณที่จ่ายสำหรับโรคนี้ จากเดิมที่จัดสรรมาจาก พ.ร.ก.เงินกู้ เป็นใช้เงินจากงบประมาณประจำของ สปสช.ที่ยังเหลืออยู่ แต่จะไม่กระทบการให้บริการประชาชน
โดยแนะนำให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไปรับการรักษาตามระบบที่ตนมีสิทธิ หากเป็นผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท นอกจากจะเข้ารับบริการที่หน่วยบริการประจำของตนแล้ว ยังเข้ารักษาที่หน่วยบริการปฐมภูมิทุกแห่งตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ รวมถึงเข้ารับบริการในหน่วยบริการที่อยู่ในเครือข่ายระบบบัตรทอง ซึ่งก็คือโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง ส่วนโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่นอกระบบ ควรเข้ารับบริการในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินเป็นหลัก
การกลับมาใช้งบปกติสำหรับโรคโควิด-19 จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการให้บริการในบางรายการ เช่น การยกเลิกการจ่ายค่าตรวจคัดกรองโควิด-19 แก่โรงพยาบาลเอกชนที่อยู่นอกระบบ จะเรียกเก็บเงินจาก สปสช.ได้ในกรณีการให้บริการฉุกเฉิน ซึ่งส่วนใหญ่คืออาการเชื้อลงปอด
ส่วนโรงพยาบาลในระบบ ยังคงให้บริการเหมือนเดิม ถ้ามีอาการสงสัยหรือเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงตามหลักเกณฑ์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ต้องการตรวจ ATK หรือตรวจแล้วติดเชื้อโควิด-19 ต้องไปรับการรักษา สปสช.ยังคงตามจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ แก่หน่วยบริการ
"ถ้าไม่มีอาการ เราแนะนำให้ประชาชนรักษาตามระบบ ใครใช้ประกันสังคมก็ใช้สิทธิตามระบบประกันสังคม ถ้าสิทธิบัตรทอง โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งอยู่ในระบบบัตรทองทั้งหมด รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนอีกบางส่วน สามารถเข้าไปรับบริการได้ตามระบบ ซึ่งจะมีสถานบริการใกล้บ้านที่ผู้ใช้สิทธิลงทะเบียนไว้อยู่แล้ว
หรือถ้าไม่รู้ว่าไปที่ไหนได้บ้างก็สามารถโทร.มาที่สายด่วน 1330 หรือถ้าบ้านอยู่ที่หนึ่งแล้วมาทำงานอีกที่ ก็ไปใช้บริการในพื้นที่นั้นได้ตามนโยบายยกระดับบัตรทองซึ่งสามารถไปรับบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้" นพ.จเด็จกล่าว
สิทธิบัตรทอง
กรณีมีอาการเข้าข่ายติดโควิด-19 ตรวจ ATK ได้ฟรี ต้องเป็นกลุ่มที่มีอาการตามหลักเกณฑ์เท่านั้น โดยขอรับ ATK ผ่านแอปฯ เป๋าตังเพื่อตรวจเอง หรือตรวจที่หน่วยบริการประจำหรือหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ ด้วย ATK Professional Use
กรณีตรวจ ATK ขึ้น 1 ขีด ไม่ติดโควิด-19 (กรณีอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงให้กักตัว 5 วัน และสังเกตอาการ 5 วัน)
กรณีตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีด ติดเชื้อโควิด-19 ให้รักษาตามแนวทาง "เจอ แจก จบ" ของกระทรวงสาธารณสุข ให้ไปที่หน่วยบริการประจำหรือหน่วยบริการปฐมภูมิ ตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่
หรือ โทร.ประสานร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ "รับยา-แนะนำการใช้ยา" (รับเฉพาะผู้ป่วยสิทธิบัตรทองเท่านั้น) โดยให้กักตัว 7 วัน และสังเกตอาการ 3 วัน
กรณีเป็นกลุ่มเสี่ยง กลุ่ม 608 คือ ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน และหญิงมีครรภ์ หรือมีอาการรุนแรง รับการรักษาตามดุลพินิจแพทย์ ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นรักษาแบบผู้ป่วยใน หรือแพทย์สั่งให้รักษาที่บ้าน Home ward
กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต สีแดง อาการ ได้แก่ หอบเหนื่อยหนักมาก พูดไม่เป็นประโยค แน่นหน้าอก หายใจเจ็บหน้าอก ปอดอักเสบรุนแรง อ่อนเพลีย ตอบสนองช้า ไม่รู้สึกตัว มีภาวะช็อก/โคม่า ซึมลง ไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส ค่าออกซิเจนต่ำกว่า 94 ใช้สิทธิ UCEP เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ เข้ารักษาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ส่วนบริการสายด่วน สปสช. 1330 หากติดเชื้อโควิด-19 ไม่จำเป็นต้อง โทร.แจ้งสายด่วน สปสช. 1330 แต่สามารถโทร.สอบถามขั้นตอนได้ หรือหากมีอาการแย่ลง ต้องการประสานหาเตียงเข้ารักษาในโรงพยาบาล โทร. 1330 ได้
ตรวจสอบร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการเจอ แจก จบ ได้ที่ https://www.nhso.go.th/downloads/197
สิทธิประกันสังคม มาตรา 33 และมาตรา 39
กรณีมีอาการเข้าข่ายหรือตามดุลพินิจของแพทย์ ติดเชื้อโควิด-19 ตรวจ ATK ได้ ณ สถานพยาบาลประกันสังคมและสถานพยาบาลที่ร่วมให้บริการทั่วประเทศ
ตรวจ ATK ขึ้น 1 ขีด ไม่ติดโควิด-19
ตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีด ติดเชื้อโควิด-19 รักษาตามแนวทาง "เจอ แจก จบ" ผู้ประกันตนที่มีอาการป่วยไม่รุนแรง รักษาแบบ OP-self isolation "เจอ แจก จบ" ณ สถานพยาบาลประกันสังคมและสถานพยาบาลที่ร่วมให้บริการของรัฐและเอกชนทุกแห่ง/คลินิกและร้านยาที่ขึ้นทะเบียนต่อ สปสช.ทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
กรณีที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน ผู้ประกันตนเข้ารักษาตามดุลพินิจของแพทย์ ณ สถานพยาบาลประกันสังคมและสถานพยาบาลที่ร่วมให้บริการของรัฐและเอกชนทุกแห่งทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต สีเหลือง-สีแดง อาการ ได้แก่ หอบเหนื่อยหนักมาก พูดไม่เป็นประโยค แน่นหน้าอก หายใจเจ็บหน้าอก ปอดอักเสบรุนแรง อ่อนเพลีย ตอบสนองช้า ไม่รู้สึกตัว มีภาวะช็อก/โคม่า ซึมลง ไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส ค่าออกซิเจนต่ำกว่า 94 หากเข้าเกณฑ์คัดแยกผู้ป่วย สีเหลือง-สีแดง ใช้สิทธิ UCEP Plus ณ สถานพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ www.sso.go.th
สิทธิข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
สามารถเข้ารับการรักษากับสถานพยาบาลของรัฐ (โรงพยาบาลของรัฐ) ทุกแห่ง หรือกรณีหน่วยงานใดมีสิทธิรักษาในโรงพยาบาลเอกชนได้ก็รักษาตามสิทธิที่องค์กรกำหนด
ก่อนหน้านี้ กรมบัญชีกลางกำหนดไว้ว่า ในกรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวติดเชื้อโควิด-19 และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลของรัฐหรือคลินิก สามารถเบิกค่าตรวจยืนยันการติดเชื้อได้ดังนี้
- การตรวจแบบ RT-PCR ประเภท 2 ยีน เบิกได้ไม่เกิน 900 บาท ประเภท 3 ยีนขึ้นไป เบิกได้ไม่เกิน 1,100 บาท
- การตรวจด้วย Antigen Test หรือ ATK เบิกได้ไม่เกิน 250 บาท หรือ 350 บาท (ขึ้นอยู่กับประเภทของเทคนิคในการตรวจ)
ค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล กำหนดไว้ดังนี้
- ผู้ป่วยอาการเล็กน้อยหรือกลุ่มสีเขียว เบิกได้ไม่เกิน 300 บาท/วัน
- ผู้ป่วยอาการปานกลางหรือกลุ่มสีเหลือง เบิกได้ไม่เกิน 550 บาท/ชุด
- ผู้ป่วยอาการรุนแรงหรือกลุ่มสีแดง เบิกได้ไม่เกิน 550 บาท/ชุด และไม่เกิน 20 ชุด/วัน
ค่าห้องพักสำหรับควบคุมหรือดูแลรักษา กำหนดไว้ดังนี้
- ผู้ป่วยสีเขียว เบิกได้ไม่เกิน 1,000 บาท/วัน
- ผู้ป่วยสีเหลือง กรณีใช้ Oxygen Canula เบิกได้ไม่เกิน 1,500 บาท/วัน กรณีใช้ Oxygen High Flow เบิกได้ไม่เกิน 3,000 บาท/วัน
- ผู้ป่วยสีแดง กรณีใส่เครื่องช่วยหายใจ เบิกได้ไม่เกิน 7,500 บาท/วัน
กรณีรักษาตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation หรือสถานที่กักตัวที่ชุมชนจัดไว้ หรือ Community Isolation หรือสถานที่อื่นๆ
- ค่าบริการของสถานพยาบาลและการดูแลผู้ป่วย เบิกได้ 1,000 บาท/วัน และไม่เกิน 10 วัน
- ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ในการติดตามอาการ รวมถึงค่ายา ค่าเอกซเรย์ ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ และค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ เบิกได้ไม่เกิน 2,000 บาท/คน
กรณีรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน สามารถเบิกได้ ตามกรณีดังนี้
- ผู้ป่วยสีเขียว สามารถเข้ารับการรักษาได้เฉพาะโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการกับ สปสช. โดยอัตราการเบิกจ่ายจะเท่ากับโรงพยาบาลของรัฐ
- ผู้ป่วยสีเหลือง และผู้ป่วยสีแดง สามารถเข้ารับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลเอกชนทุกแห่งทั่วประเทศ โดยอัตราการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ฯ ของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP Plus)
หากผู้ป่วยมีประกันภัย ให้ใช้สิทธิของประกันภัยเบิกจ่ายก่อน ส่วนที่เกินจึงจะนำมาเบิกตามสิทธิต่อไป
การเบิกค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลจะเป็นผู้เบิกแทนผู้มีสิทธิในระบบจ่ายตรงเท่านั้น
ชมคลิปเพิ่มเติม