1..ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ ให้ประหารชีวิต "บรรยิน" และมืออุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา ไม่เห็นด้วยศาลชั้นต้นลดโทษ เหตุเจตนาฆ่า-สารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน!
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีอุ้มฆ่านายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชาย น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้พิพากษาอาวุโส ศาลอาญากรุงเทพใต้ อดีตเจ้าของสำนวนโอนหุ้นนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง หรือเสี่ยชูวงษ์ ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 และ น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ เป็นโจทก์เเละโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 56 ปี อดีต ส.ส.นครสวรรค์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายมานัส ทับทิม อายุ 67 ปี, นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 48 ปี, นายชาติชาย เมณฑ์กูล อายุ 31 ปี, นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี และ ด.ต.ธงชัย หรือ ส.จ.อ๊อด วจีสัจจะ อายุ 63 ปี เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิด 9 ข้อหา
ประกอบด้วย ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 289, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปถึงแก่ความตาย มาตรา 309, 313, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มาตรา 310, ฐานร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป มาตรา 139, 140
ฐานเป็นซ่องโจร โดยสมคบกันเพื่อกระทำผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต มาตรา 210, ฐานร่วมกันพยายามข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใดโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มาตรา 213, ฐานร่วมกันซ่อนเร้น ทำลายศพเพื่อปิดบังการตายและสาเหตุการตาย มาตรา 199, ฐานร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นเพื่ออำพรางคดี
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2563 ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ผู้อื่นจนถึงแก่ความตายฯ ลงโทษประหารชีวิต, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 289(4) (7) ลงโทษประหารชีวิต, ฐานแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานฯ จำคุก 1 ปี สวมเครื่องแบบเจ้าพนักงานฯ จำคุก 1 ปี, ซ่อนเร้นทำลายศพฯ จำคุก 4 ปี แต่จำเลยที่ 1 ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 ทุกข้อหา คงจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้นตลอดชีวิตสถานเดียว
ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานสนับสนุนให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 4-6 มีความผิดฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายฯ(เรียกค่าไถ่) ลงโทษประหารชีวิต แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต โดยจำเลยที่ 1 ให้นับโทษต่อจากคดีโอนหุ้น จำคุก 8 ปี ของศาลอาญากรุงเทพใต้
ส่วนจำเลยที่ 3 กระทำผิดฆ่าโดยไตร่ตรอง (คนลงมือ) พิพากษาประหารชีวิต เเละกักขังหน่วงเหนี่ยวให้ผู้อื่นถึงเเก่ความตาย พิพากษาประหารชีวิต แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต
ต่อมา โจทก์และโจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์ว่า ไม่มีเหตุบรรเทาโทษ ขอให้ศาลไม่ลดโทษ
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่มีการเตรียมอุปกรณ์ การเผาทําลายศพในสถานที่ที่ยากแก่การรู้เห็นของบุคคลอื่นไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะมีการลักพาตัวผู้ตาย บ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า จําเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อปกปิดการกระทําความผิดอื่นหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทําไว้ ตั้งแต่ต้น เมื่อจําเลยที่ 1 ลักพาตัวผู้ตาย เพื่อจะให้ผู้ตายต่อรองให้โจทก์ร่วมพิพากษายกฟ้อง ถือได้ว่าจําเลยที่ 1 ลงมือกระทําโดยลักพาผู้ตายโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อจะเรียกค่าไถ่ ซึ่งครบองค์ประกอบความผิดแล้ว
ส่วนปัญหาว่ามีเหตุสมควรลดโทษให้จําเลยทั้งหกหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จําเลยที่ 1 กับพวกมีพฤติการณ์สมคบ และร่วมกันวางแผนเพื่อกระทําผิดมาอย่างดีและมีการแบ่งหน้าที่กันทําอย่างเป็นขั้นตอน การที่จําเลยที่ 1 อ้างว่า มีเหตุจูงใจมาจากจําเลยที่ 1 กับพวกไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดีของโจทก์ร่วม ซึ่งเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน จําเลยที่ 1 เคยรับราชการตํารวจในตําแหน่ง พ.ต.ท. เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเคยดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประกอบกับมีทนายความช่วยแก้ต่างให้ ย่อมทราบถึงขั้นตอนและวิธีพิจารณาความว่ายังสามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์และฎีกาคําพิพากษาต่อไปได้ การที่จําเลยที่ 1 กับพวกใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายบังคับข่มขู่ผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดี เพื่อให้เจ้าพนักงานปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ และร่วมกระทําผิดในที่สาธารณะอย่างอุกอาจ โดยไม่ยําเกรงต่อกฎหมาย จึงถือว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่เป็นภัยต่อสังคมโดยรวมอย่างร้ายแรง และส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างและเพื่อป้องปรามไม่ให้มีการ กระทําผิดลักษณะนี้อีก จึงไม่สมควรลดโทษให้แก่จําเลย
นอกจากนี้ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คํารับสารภาพของจําเลยที่จะถือเป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาศาลจึงจะพิจารณาลดโทษให้ แต่การรับสารภาพของจำเลย ไม่ใช่เพราะสำนึกในความผิด แต่สารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐานของโจทก์ที่มีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพเหตุการณ์ตั้งแต่จําเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันสะกดรอยติดตามความเคลื่อนไหวของโจทก์ร่วมกับผู้ตาย กระทั่งมีการนําตัวผู้ตายขึ้นรถและหลบหนีไปที่บริเวณที่เตรียมอุปกรณ์รอไว้เผาร่างผู้ตาย คํารับสารภาพของจำเลยจึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันจะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 อันจะพึงลดโทษให้ได้ ที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้แก่จําเลยทั้งหกนั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีความผิดตามมาตรา 140 วรรคแรก ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคแรก เป็นเพียงการพยายามกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80
จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) มาตรา 314 ประกอบ มาตรา 86 แต่จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรค 2313 (3) วรรคท้ายประกอบมาตรา 86,87 วรรคสอง เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานสนับสนุนเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคสอง 313 (2) วรรคท้าย ประกอบมาตรา 86, 87 วรรคสอง เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานสนับสนุนเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
พิพากษาไม่ลดโทษให้จำเลยทั้ง 6 ในความผิดฐานแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการเป็นเจ้าพนักงาน สวมเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิ ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือถูกกักขังถึงแก่ความตาย ฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือถูกกักขังถึงแก่ความตาย ฐานร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรศพเสร็จสิ้น ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือถูกกักขังถึงแก่ความตาย
เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 และที่ 3 แล้วไม่อาจนำโทษกระทงอื่นมารวมหรือนับต่อจากโทษคดีอื่นหรือเพิ่มโทษได้อีก ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(3) นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
2."บิ๊กตู่" ยัน เครื่องบินรบเมียนมาล้ำน่านฟ้าไทย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เหตุไม่เจตนาและขอโทษแล้ว!
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. เวลา 11.000 น.เศษ มีรายงานว่า ขณะที่สถานการณ์การสู้รบภายในประเทศเมียนมาบริเวณชายแดนตรงข้ามบ้านวาเล่ย์ใต้ ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก กำลังดำเนินไปอย่างหนัก ปรากฏว่า ทหารเมียนมาได้ส่งเครื่องบินรบมิก-29 บินล้ำเข้ามาในเขตไทยจำนวน 1 ลำ โดยลึกเข้ามาบริเวณบ้านวาเล่ย์ใต้ และบ้านวาเล่ย์เหนือประมาณ 4-5 กิโลเมตร เพื่ออ้อมไปยิงกระสุนใส่ที่มั่นของฝ่ายต่อต้านในฝั่งเมียนมา
ทั้งนี้ การบินล้ำน่านฟ้าไทย ส่งผลให้ราษฎรในหมู่บ้านวาเล่ย์ทั้ง 2 หมู่บ้าน แตกตื่นด้วยความกลัว รีบหลบเข้าหลุมหลบภัย ขณะที่ทางโรงเรียนบ้านวาเล่ย์ใต้ ได้ประกาศฉุกเฉินให้ผู้ปกครองไปรับบุตรหลานกลับบ้าน พร้อมประกาศหยุดเรียนทันที เนื่องจากเครื่องบินรบทหารเมียนมาล้ำแดนเข้ามาผ่านอาคารเรียนของโรงเรียนด้วย ขณะที่โรงเรียนบ้านวาเล่ย์เหนือ ได้กดออดให้สัญญาณนักเรียนหนีเข้าไปยังอาคารหลุมหลบภัยของโรงเรียน โดยมีชาวบ้านไปร่วมหลบด้วย
มีรายงานด้วยว่า ทหารเมียนมาส่งเครื่องบินรบล้ำมาในเขตไทย โดยใช้เวลาปฏิบัติการประมาณ 15 นาที ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยในพื้นที่ได้แต่ยืนมอง โดยไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ขณะที่เครื่องบินรบของกองทัพเมียนมาบินผ่านหมู่บ้านวาเล่ย์เหนือ มีการยิงปืนกลอากาศสาดลงมา ทำให้กระสุนส่วนหนึ่งตกบริเวณไร่ปาล์มบ้านเลขที่ 193 หมู่ 3 และรถกระบะของนายสายัณห์ วงศ์ใจ บ้านเลขที่ 346 หมู่ 9 ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก ที่จอดอยู่ในสวน มีร่องรอยถูกยิงหลายจุด เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และผู้นำหมู่บ้าน ได้เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
วันเดียวกัน พล.อ.ต.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ แถลงกรณีเครื่องบินรบเมียนมารุกน่านฟ้าไทยว่า เวลา 11.16 น. หน่วยงานของกองทัพอากาศได้รายงานการตรวจพบอากาศยานไม่ทราบฝ่าย บินล้ำแดนบริเวณ อ.พบพระ จ.ตาก โจมตีกองกำลังชนกลุ่มน้อยบริเวณแนวชายแดนและบินล้ำแดนเข้ามายังพื้นที่ประเทศไทย ก่อนเป้าหมายจะจางหายไปจากระบบเรดาร์เฝ้าตรวจการณ์ของกองทัพอากาศในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ ยังตรวจพบเครื่องเฮลิคอปเตอร์ ปฏิบัติภารกิจอยู่ห่างจากแนวชายแดนบริเวณดังกล่าว ระยะทางประมาณ 5 ไมล์ทะเล แต่มิได้ล้ำแดนมายังพื้นที่ประเทศไทยแต่อย่างใด
กองทัพอากาศ จึงได้มีคำสั่งให้เครื่องบินขับไล่แบบที่ 19 หรือ F-16 จำนวน 2 เครื่อง ขึ้นบินลาดตระเวนรบทางอากาศทันที บริเวณแนวชายแดน อ.พบพระ จ.ตาก และได้สั่งการผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารอากาศ ประจำสถานเอกอัครทูต ณ ย่างกุ้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อแจ้งเตือนและหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต
"กองทัพอากาศจะติดตามความเคลื่อนไหวสถานการณ์ดังกล่าวต่อไปอย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังเหตุการณ์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงพื้นที่ตามเขตแนวชายแดน ตลอด 24 ชั่วโมง ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า กองทัพอากาศจะมุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจการป้องภัยทางอากาศอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อพิทักษ์รักษาอธิปไตยและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยเป็นสำคัญ"
วันต่อมา (1 ก.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีเครื่องบินรบเมียนมาบินล้ำน่านฟ้าไทย ที่ อ.พบพระ จ.ตาก ว่า ได้มีการประสานไปยังเมียนมาแล้ว ซึ่งเขายอมรับแล้วว่ารุกล้ำ พร้อมมีการขอโทษมาแล้ว และระบุว่า ไม่ได้ตั้งใจจะมีปัญหา แต่เขาต้องตีวงเลี้ยวจึงล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทยเล็กน้อย ขณะที่เครื่องบินของเราก็ได้ทำการขึ้นบินเพื่อผลักดัน ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามมาตรฐาน
“วันนี้ทูตทหารเองก็ได้มีการพูดคุยกันแล้ว เขาก็ขอโทษมา และตัวผมเองก็คุยกันแล้ว นี่เป็นเรื่องที่มองดูอาจเป็นเรื่องใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำให้เรื่องใหญ่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกหรือไม่ ซึ่งวันนี้เราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมีอะไรก็พูดคุยหารือกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือเรามีสมรรถนะพอเพียงที่จะป้องกันอธิปไตยของเราไว้ได้ แต่วันหน้าก็ต้องดูว่าเรามีความเข้มแข็งทันสมัยเพียงพอหรือไม่ในอนาคต ฝากเอาไว้ด้วยแล้วกัน และย้ำว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต”
3. ศูนย์จีโนมคาด ปลาย ส.ค. "โอมิครอน BA.4/BA.5" ครองพื้นที่ในไทย "หมอประสิทธิ์" แนะ ปชช.ฉีดวัคซีนเข็ม 4 เหตุ BA.4/BA.5 ลงปอดมากกว่า BA.2 !
สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในไทย แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่จะยังไม่เพิ่มขึ้นมาก แต่สิ่งหนึ่งที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจคือ การระบาดของสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.4/BA.5 ที่พบมากในยุโรป ซึ่งในไทยก็เริ่มพบมากขึ้นแล้วเช่นกัน
โดยเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี เผยว่า จากข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวและอัปโหลดแชร์ไว้บน GISAID สัดส่วนโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่ระบาดในไทยช่วง 18 วันที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 7-24 มิ.ย. พบเป็น BA.2 จำนวน 23 ราย คิดเป็น 28.4% BA.4 จำนวน 11 ราย คิดเป็น 13.6% และ BA.5 จำนวน 18 ราย คิดเป็น 22.2% BA.2.12.1 จำนวน 8 ราย คิดเป็น 9.9% และอื่นๆ จำนวน 21 ราย คิดเป็น 25.9% เปรียบเทียบก่อนหน้านี้เห็นชัดว่า BA.4 และ BA.5 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นแต่ไม่ชันมาก สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกที่ BA.4 และ BA.5 เพิ่มมากขึ้นจนอาจจะครองพื้นที่ เนื่องจากทุกประเทศผ่อนคลายมาตรการ จึงเป็นแนวโน้มทั่วโลกที่สายพันธุ์ย่อยใหม่ๆ จะเข้ามาครองพื้นที่
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าวด้วยว่า "สำหรับประเทศไทยเชื่อว่า ประมาณปลาย ส.ค.หรือต้น ก.ย. BA.4 และ BA.5 ก็คงครองพื้นที่เช่นกัน ส่วนกรณีการติดเชื้อของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เท่าที่ประเมินจากอาการและยังฉีดวัคซีนเข็ม 6 ไปแล้ว ทั้งเป็นการติดเชื้อจากฝรั่งเศสที่มีการแพร่ระบาดของ BA.4 BA.5 เป็นอันดับต้นๆ รองจากโปรตุเกส ก็คงติดเชื้อสายพันธุ์ BA.4 หรือ BA.5 เช่นกัน"
ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยว่า วันที่ 4 ก.ค.จะแถลงสถานการณ์สายพันธุ์ที่ระบาดในไทยขณะนี้ ซึ่งกรมวิทย์ฯ มีการตรวจสายพันธุ์และวิเคราะห์เป็นรายสัปดาห์เพื่อพิจารณาถึงความเร็วในการแพร่ระบาดว่ามากน้อยแค่ไหน ส่วนความรุนแรงของเชื้อ ต้องใช้ระยะเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยขณะนี้ได้ประสานกับ รพ.ต่างๆ ส่งเชื้อผู้ป่วยอาการรุนแรงนำมาถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
ขณะที่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวก่อนหน้านี้ (26 มิ.ย.) ว่า BA.4 BA.5 แบ่งตัวเร็วกว่า BA.2 แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ารุนแรงมากกว่า เพราะยังไม่มีหลักฐานการป่วยจนเข้านอนใน รพ.หรือมีอาการรุนแรงถึงเสียชีวิตที่ชัดเจนเพียงพอ ถือเป็นสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าติดตาม
ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ข้อมูลการศึกษาของ BA.4 BA.5 มีแนวโน้มว่าอาจจะเกาะเซลล์ปอดได้มากกว่า BA.2 แต่ยังไม่ต้องไปเทียบกับเดลต้า เพราะไม่มีหลักการว่าจะรุนแรงมากกว่า คำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขที่ศึกษาข้อประชากรกว่า 5 แสนคน พบว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ป้องกันติดเชื้อได้ร้อยละ 25 แต่ถ้าฉีด 4 เข็ม จะป้องกันเพิ่มสูงถึงร้อยละ 70-75 “สำหรับผมแนะนำให้ฉีด 4 เข็มในกลุ่มคนทั่วไป และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าก็เป็นเข็มที่ 5 ได้เลย ซึ่งหลายคนได้รับแล้ว”
ศ.นพ.ประสิทธิ์ ยังฝากถึงประชาชนทั่วไปด้วยว่า ต้องกระชับตัวเอง เพราะบังคับนักท่องเที่ยวได้ยาก ดังนั้น ต้องป้องกันตนเองด้วยมาตรการเดิมคือ สวมหน้ากากอนามัย/ผ้า เว้นระยะห่าง และล้างมือ เพราะเรายังมีเด็กต่ำกว่า 5 ขวบที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ติดเชื้อโควิด หลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ โดยเดินทางพร้อมด้วยผู้บริหาร สธ. กระทรวงการต่างประเทศ ฯลฯ เพื่อไปร่วมประชุมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 19-21 มิ.ย. และประชุมที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 21-24 มิ.ย.ที่ผ่านมาแล้ว ยังมีอีก 1 รัฐมนตรีที่ติดโควิดหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศเช่นกัน คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งนำคณะของกระทรวงพาณิชย์เดินทางไปประชุมที่ยุโรป ระหว่างวันที่ 18-23 มิ.ย.ที่ผ่านมา
4. ก.ล.ต. ฟัน Bitkub ปรับ 24 ล้าน ฐานสร้างวอลุ่มเทียมสินทรัพย์ดิจิทัล ห้ามซื้อขาย 6 เดือน ห้ามเป็นบอร์ด 1 ปี!
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พบเหตุสงสัยว่า อาจมีการสร้างปริมาณเทียมในศูนย์ซื้อขาย Bitkub ของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (บริษัท บิทคับ) จึงได้ตรวจสอบ โดยพบการกระทำเข้าข่ายเป็นความผิดของบุคคล 3 ราย ได้แก่ 1.บริษัท บิทคับ 2.นายอนุรักษ์ เชื้อชัย ร่วมกันส่งคำสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลในศูนย์ซื้อขาย Bitkub และ 3.นายสกลกรย์ สระกวี ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้มีอำนาจจัดการของบริษัทบิทคับ สั่งการ หรือกระทำการ หรือไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ เป็นเหตุให้บริษัท บิทคับกระทำความผิดดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท บิทคับ โดยนายสกลกรย์ ได้ทำสัญญากับนายอนุรักษ์ให้นายอนุรักษ์ทำหน้าที่ดูแลสภาพคล่อง ในศูนย์ซื้อขาย Bitkub และได้ให้นายอนุรักษ์ยืมเงินเพื่อใช้ในการทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบว่า ในเดือน ก.พ.2562 นายอนุรักษ์ได้ส่งคำสั่งจับคู่ซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี จำนวน 4 เหรียญ ได้แก่ Bitcoin (BTC) Bitcoin Cash (BCH) Ethereum (ETH) และ Ripple (XRP) โดยเป็นการจับคู่ซื้อขายกันเองในบัญชีซื้อขายเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีของตนเองในศูนย์ซื้อขาย Bitkub ซึ่งการจับคู่ซื้อขายกันเองในแต่ละเหรียญดังกล่าว มีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 84-99 ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดของนายอนุรักษ์ และตั้งแต่ร้อยละ 57-99 ของปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาด โดยบริษัท บิทคับและนายสกลกรย์รับทราบถึงการจับคู่ซื้อขายกันเองในบัญชีซื้อขายของนายอนุรักษ์ แต่ไม่ได้มีการทักท้วงการส่งคำสั่งซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีของนายอนุรักษ์ดังกล่าว
การกระทำของบริษัท บิทคับ และนายอนุรักษ์เป็นความผิดฐานส่งคำสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล ตามมาตรา 46 (1) ประกอบมาตรา 48 (2) (3) แห่ง พ.ร.ก.ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 70 ของพระราชกำหนดฉบับเดียวกัน เป็นความผิด 4 กระทง (นับตามจำนวนเหรียญ)
ส่วนการกระทำของนายสกลกรย์เป็นความผิดในฐานะเป็นบุคคลที่รับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัท บิทคับ สั่งการ หรือกระทำการหรือไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ เป็นเหตุให้บริษัทบิทคับกระทำความผิด มีความผิด 4 กระทง (นับตามจำนวนเหรียญ)
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 3 ราย ได้แก่
1.ให้บริษัท บิทคับ ชำระค่าปรับทางแพ่งขั้นสูงสุดตามกฎหมายและชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 8,053,764 บาท
2.ให้นายอนุรักษ์ ชำระค่าปรับทางแพ่งขั้นสูงสุดตามกฎหมายและชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 8,053,764 บาท กำหนดมาตรการห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเวลา 6 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน
3.ให้นายสกลกรย์ ชำระค่าปรับทางแพ่งขั้นสูงสุดตามกฎหมายและชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 8,053,764 บาท และให้นายสกลกรย์ร่วมรับผิดในมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ดำเนินการกับบริษัท บิทคับ อย่างลูกหนี้ร่วม ตามมาตรา 99 แห่ง พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ประกอบมาตรา 317/11 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ที่แก้ไขเพิ่มฉบับที่ 5 พ.ศ. 2559 นอกจากนี้ ค.ม.พ. ได้กำหนดมาตรการห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเวลา 6 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน
สำหรับการกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล และการกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าว จะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด
หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษดังกล่าาว ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด
ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งที่ได้รับจากการกระทำความผิด เป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง
5. ปิดตำนาน 43 ปี! "JSL" ประกาศปิดตัวบางส่วน ตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้ หลังสู้มา 8 ปี ทนขาดทุนไม่ไหว!
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. สังคมออนไลน์ได้มีการส่งต่อข้อความว่า มีบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิง เตรียมปิดกิจการในเร็วๆ นี้ กระทั่งในเวลาต่อมา บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงเรื่องการยุติการดำเนินงานบางส่วนของบริษัทฯ โดยระบุว่า "บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด ได้ดำเนินงานด้านการผลิตสื่อสำหรับโทรทัศน์ การสร้างบุคลากรสำหรับวงการบันเทิงทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง การรับจ้างสร้างสรรค์และผลิตงานสำหรับภาครัฐและเอกชน ติดต่อมาเป็นระยะเวลา 43 ปี
ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่ออย่างมาก ทั้งการเกิดขึ้นของสถานีโทรทัศน์จำนวนมาก ทั้งผลกระทบจาก DIGITAL DISRUPTION และการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ได้รับผลกระทบอย่างมาก
แม้ตลอดมาบริษัทฯ จะพยายามปรับตัวในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้สามารถยืนหยัดในอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงได้ต่อไป เพื่อที่จะได้สร้างผลงานที่ดีมีคุณภาพให้แก่ผู้ชมของเรา แต่ก็ยังไม่บรรลุผลตามที่ตั้งเป้าหมายได้ บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด จึงเห็นสมควรที่จะยุติการดำเนินงานบางส่วนลง นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป
บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ได้แก่ สถานีโทรทัศน์ บริษัทเอเยนซีโฆษณา ลูกค้า ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนเพื่อนในวงการสื่อมวลชน และผู้ชมที่รัก ที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ มาโดยตลอด รวมทั้งขอขอบคุณเพื่อนพนักงานทุกท่านที่ได้ร่วมแรงร่วมใจทำงานกันมาอย่างยาวนานด้วยดีตลอดมา และหวังว่าในวันข้างหน้าเราจะได้มีโอกาสกลับมาสร้างสรรค์งาน ในรูปแบบใหม่ๆ ให้แก่สังคมและผู้ชมของเราอีกครั้ง รวมทั้งเรายังมั่นใจว่า คนของ เจ เอส แอล มีพลังและอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะสร้างสรรค์งานให้แก่วงการ และประเทศชาติต่อไป"
สำหรับบริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จํากัด (ชื่อเดิม บริษัท เจ เอส แอล จำกัด ) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2522 โดยเริ่มต้นจากการผลิตรายการโทรทัศน์ให้แก่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) จากนั้นบริษัทได้ขยายการดำเนินงานไปสู่การผลิตรายการละครโทรทัศน์ให้แก่สถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ และซีรีส์สำหรับสถานีโทรทัศน์ชั้นนำ ถือเป็น 1 ใน 5 บริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งเป็นอีเวนต์ออแกไนเซอร์ชั้นนํา
คำว่า JSL มาจากชื่อของผู้ก่อตั้งบริษัท 3 คน ได้แก่ J คือ หน่อย-จำนรรค์ อัษฎามงคล (ศิริตัน), S คือ สมพล สังขะเวส และ L คือ ต้น-ลาวัลย์ ชูพินิจ (กันชาติ) เริ่มแรกใช้บ้านพักบริเวณสนามเป้า ถนนพหลโยธิน ต่อมาย้ายมาที่ซอยอินทามระ 6 ถนนสุทธิสารวินิจฉัย และหมู่บ้านราชาวิลล่า ซอยลาดพร้าว 67 ก่อนที่จะมีสตูดิโอเป็นของตัวเอง ในซอยลาดพร้าว 107 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โดยในช่วงแรกดำเนินงานด้านการผลิตรายการโทรทัศน์เป็นหลัก
รายการแรก คือรายการนัดบอด ทาง ททบ.5 เมื่อปี 2522 รายการอื่นๆ ได้แก่ รายการพลิกล็อก, รายการจันทร์กะพริบ ทางช่อง 7 สี, รายการยุทธการขยับเหงือก ทาง ททบ.5, รายการเจาะใจ ฯลฯ
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 152 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 228,231,816.81 บาท ผลประกอบการย้อนหลังพบว่า ปี 2562 มีรายได้รวม 444,451,857.00 บาท รายจ่ายรวม 456,902,686.00 บาท ขาดทุนสุทธิ 24,847,149.00 บาท ปี 2563 มีรายได้รวม 354,716,412.74 บาท รายจ่ายรวม 361,072,225.30 บาท ขาดทุนสุทธิ 22,344,893.41 บาท ปี 2564 มีรายได้รวม 198,226,244.76 บาท รายจ่ายรวม 236,558,230.49 บาท ขาดทุนสุทธิ 57,144,664.01 บาท