ฝ่ายกฎหมาย บริษัทโฮปเวลล์ เผยเตรียมฟ้องอาญาภาครัฐ ไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ย้ำแค่ต้องการเงินที่ลงทุนไปคืน ไม่ใช่ค่าโง่อย่างที่พูดกัน แต่ยิ่งประวิงเวลาเกิดดอกเบี้ยเป็นภาระภาษีของประชาชน
วันที่ 27 มิ.ย. 2565 นายสุภัทร ติระชูศักดิ์ ฝ่ายกฎหมาย บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมสนทนาในรายการ "คนเคาะข่าว" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง "นิวส์วัน" ในหัวข้อ "โฮปเวลล์สุดทน เตรียมฟ้องอาญา รัฐบาลส่อเบี้ยวหนี้"
นายสุภัทร กล่าวถึงกรณีถูกรัฐกล่าวหาว่าเป็นบริษัทเถื่อน ว่า มันเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2562 หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ภาครัฐชำระหนี้ 1,1800 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ก็เริ่มมีการกล่าวหาย้อนกลับไปในอดีตปี 2533 ว่าในการจัดตั้งบริษัทโฮปเวลล์เป็นการจัดตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่มีการได้รับสัมปทาน ลงนามสัญญากัน มีการปฏิบัติตามสัญญากันมาเรื่อย ๆ เท่ากับว่าภาครัฐยอมรับมาโดยตลอดว่ามีตัวตนเป็นนิติบุคคล แต่เมื่อแพ้คดีขึ้นมาก็เลยกล่าวหากัน
สาระสำคัญคำพิพากษาคือ ให้คู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่ายคือบริษัท โฮปเวลล์ กับ กระทรวงคมนาคม และ รฟท. คืนสู่สถานะเดิม ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. คืนเงินค่าตอบแทนให้กับบริษัท โฮปเวลล์ฯ จำนวน 2,850 ล้านบาท รวมทั้งคืนเงินที่บริษัทฯ ได้จ่ายไปแล้วบางส่วน จำนวน 9,000 ล้านบาท รวมทั้งให้คืนหนังสือค้ำประกันสัญญา และคืนค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน จำนวน 38,749,800 บาท ให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ฯ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
ต่อมามีการให้รื้อฟื้นคดี กระทั่งเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2565 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ให้รับคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ที่ กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับบริษัทโฮปเวลล์
โดยศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การนับระยะเวลาหรืออายุความในการยื่นข้อเรียกร้องของบริษัทโฮปเวลล์ฯ ต่ออนุญาโตตุลาการในคดีนี้ ตามมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่บริษัท โฮปเวลล์ฯ รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี คือ ตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. 2541 ซึ่งเป็นวันที่หนังสือบอกเลิกสัญญาของกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ส่งไปถึงบริษัท โฮปเวลล์ฯ จำกัด มิใช่นับตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2544 อันเป็นวันที่ศาลปกครองเปิดทำการ จึงเป็นเหตุแห่งการรับเรื่องดังกล่าวพิจารณาเป็นคดีใหม่
แม้ผลของคำสั่งของศาลดังกล่าวจะทำให้บริษัทยังคงดำเนินการทวงคืนเงินตามคำชี้ขาดของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ แต่ยังมีผลผูกพันทางกฎหมายเช่นเดิม
นอกจากนี้บริษัทโฮปเวลล์ กำลังศึกษาแนวทางติดตามเอาทรัพย์สินคืนตามกระบวนการอันชอบด้วยกฎหมาย และเตรียมที่จะฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ในเรื่องการกระทำผิดจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายสุภัทร กล่าวอีกว่า เงินที่ภาครัฐต้องจ่ายให้โฮปเวลล์ คือเงินที่โฮปเวลล์ลงทุนไปทั้งหมด รัฐบาลไม่เคยลงทุน ไม่เคยนำเงินภาษีมาลงทุนกับโครงการโฮปเวลล์ การที่บอกว่าปกป้องผลประโยชน์ของประเทศจึงเป็นเรื่องประวิงเวลามากกว่าเพื่อไม่จ่ายชำระหนี้ แต่ประวิงเวลาไปดอกเบี้ยมันเดินซึ่งเป็นภาระภาษีของประชาชน โฮปเวลล์อยากได้ความเป็นธรรม ต้องการได้เงินที่ลงทุนไป ไม่ใช่ค่าโง่แต่อย่างใด