เพจ "กฎหมายแรงงาน" ได้ออกมาโพสต์ให้ข้อมูลเรื่อง "ลางาน" ตอบปมดรามา "อย่าหัดให้พ่อแม่อ่อนแอ" ยืนยันการลากิจพาพ่อแม่ไปหาหมอทำได้ เพราะถือเป็นกิจอันจำเป็น
จากกรณีเกิดประเด็นดรามาเรื่องราวของพนักงานรายหนึ่งที่ลางานแต่หัวหน้ากลับบอกมาว่า "หากจำเป็นต้องลาจริงๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่ต้องหัดแก้ไขปัญหาดูก่อน ให้ใครพาพ่อแม่ไปแทนได้ไหม หรือหากพ่อแม่ไปเองได้ก็อย่าหัดให้พ่อแม่เป็นคนอ่อนแอ หรือจำเป็นต้องลาทั้งวันไหม คิดเองตามความเหมาะสม" ทำให้หลายคนคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์หัวหน้ารายนี้เป็นจำนวนมาก
ต่อมา เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. เพจ "กฎหมายแรงงาน" ได้ออกมาโพสต์ให้ข้อมูลเรื่อง "ลางาน" โดยระบุว่า "ดรามาเดือด! ลางานพาพ่อแม่ไปหาหมอ เจอหัวหน้าตอบกลับ "อย่าหัดให้พ่อแม่เป็นคนอ่อนแอ"
ต้องเข้าใจว่ากฎหมายให้สิทธิมาตรา 34 ที่ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็นได้ปีละไม่น้อยกว่า 3 วันทำงาน โดยได้รับค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่เมื่อลูกจ้างขอใช้สิทธิ นายจ้างหรือหัวหน้างานก็ควรพิจารณาไปตามสิทธิของเขาโดยพิจารณาว่าเป็น "กิจธุระอันจำเป็น" หรือไม่
กรณีนี้ลูกจ้างอ้างการพาพ่อแม่ไปหาหมอก็น่าจะถือว่าจำเป็นและต้องดำเนินการด้วยตนเอง ซึ่งการลากิจสามารถลาเพื่อไปทำกิจธุระอันจำเป็นของครอบครัวก็ได้ เช่น การไปร่วมงานสมรสหรืองานบวชของบุตร หรืองานศพของบุคคลในครอบครัว หรือจะลาเพื่อไปทำกิจการของตัวเอง เช่น ทำบัตร ทำใบขับขี่ จดทะเบียนสมรส เป็นต้น
การทำหน้าที่พาพ่อแม่ หรือพาบุตรไปพบแพทย์ พาไปฉีดวัคซีนย่อมถือเป็นกิจอันจำเป็น เพราะการดูแลผู้บุพการี หรือบุตรกฎหมายได้กำหนดให้เป็นพันธะทางศีลธรรม (Moral Obligation) ที่ต้องทำ
ส่วนที่ว่า "อย่าหัดให้พ่อแม่อ่อนแอ" น่าจะมีการศึกษาเรื่องนี้ไม่ถ่องแท้ เพราะคนแก่ไม่ต้องหัดเขาก็อ่อนแอ แต่จะอ่อนแอมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการสะสมและล้างผลาญสุขภาพ ซึ่ง TDRI ได้ศึกษาเอาไว้ดูท้ายโพสต์
โดยสรุปเรื่องนี้ การลาพาพ่อแม่ไปพบแพทย์ถือเป็นกิจอันจำเป็นตามกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นไปตามนโยบายภาครัฐที่เรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
ข้อสังเกต
สิ่งที่นายจ้าง หรือหัวหน้างานพึงระลึกอยู่เสมอว่ามาตรา 34 ให้ลาได้ปีละ 3 วันทำงาน หากลูกจ้างใช้สิทธิลาหมดแล้วสิทธิของลูกจ้างก็หมดไป ดังนั้น นโยบายการลากิจจึงไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดหรือตึงมาก
ส่วนลูกจ้างเมื่อลากิจหมด แต่หากมีกิจธุระอันจำเป็นก็อาจใช้สิทธิวันหยุดพักผ่อนประจำปี ซึ่งกฎหมายให้สิทธิได้ 6 วันต่อปี โดยได้รับค่าจ้าง"
คลิก>>อ่านโพสต์ต้นฉบับ