ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ โพสต์ข้อความเผยผลการศึกษา 7 ข้อ ประสิทธิภาพกับสูตรวิธีการฉีดวัคซีนชนิดต่างๆ ในเด็กอายุ 5-11 ขวบ ชี้สำหรับเด็กวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็มก็ไม่เพียงพอ ต้องมีการกระตุ้นเข็ม 3
วันนี้ (13 มิ.ย.) เฟซบุ๊ก "Yong Poovorawan" หรือ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความเผยผลการศึกษาการให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กอายุ 5-11 ขวบ
โดยระบุข้อความว่า "ผลการศึกษาของศูนย์ฯ ในการให้วัคซีนในเด็กอายุ 5 ถึง 11 ขวบในวิธีการให้ด้วยวัคซีนชนิดต่างๆ ได้ผลสรุปได้ดังนี้
1. การให้วัคซีนเริ่มต้นด้วย วัคซีนซิโนแวค ตามด้วย ไฟเซอร์ เข็ม 2 ที่ 1 เดือน ได้ผลไม่ด้อยกว่าการให้วัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ห่างกัน 2 เดือน ภูมิต้านทานจำเพาะต่อหนามแหลม ที่เป็น immunoglobulin G จะสูงกว่า แต่ภูมิต้านทานรวม (globulin ที่รวม IgG IgA IgM) ในกลุ่มไฟเซอร์จะสูงกว่า
2. ระยะเวลาห่างของสูตรไขว้จะเป็น 4 สัปดาห์ การให้วัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็มจะห่างกัน 8 สัปดาห์ โดยหลักการแล้วยิ่งห่าง ภูมิจะสูงขึ้นกว่า การใช้สูตรไขว้ระยะห่างเป็นเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ได้ผลเร็วกว่าการให้ไฟเซอร์ห่างกัน 2 เดือน
3. เด็กตอบสนองภูมิต้านทานได้ดีกว่าผู้ใหญ่อย่างชัดเจน
4. การให้วัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มในเด็ก 5 ถึง 11 ขวบ (ซิโนแวค หรือซิโนฟาร์ม) แล้วตามด้วยไฟเซอร์ ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป กระตุ้นภูมิต้านทานได้สูงมาก เช่นเดียวกับการศึกษาในผู้ใหญ่ที่ผ่านมาสามารถป้องกันสายพันธุ์ omicron ได้ดี
5. การให้วัคซีนซิโนแวค 2 เข็มก่อน จะได้ภูมิสูงกว่าการให้วัคซีนซิโนฟาร์ม 2 เข็มก่อน เช่นเดียวกับการศึกษาในผู้ใหญ่ที่ผ่านมา
6. ข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา การให้วัคซีน 2 เข็ม ระดับภูมิต้านทานไม่เพียงพอ จำเป็นต้องให้ถึง 3 เข็ม ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิดใด ในเด็กก็เช่นเดียวกัน ไฟเซอร์ 2 เข็มก็ไม่เพียงพอ ต่อไปก็จะต้องมีการกระตุ้นเข็ม 3
7. การให้วัคซีนเชื้อตายก่อน เป็นการหลีกเลี่ยงลดจำนวนการให้วัคซีน mRNA ให้น้อยลง อาการข้างเคียงของ mRNA จะเกิดขึ้นในเข็มที่ 2 และ 3 มากกว่าเข็มแรก
การศึกษานี้รอให้สมบูรณ์ รวมทั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เพิ่มขึ้น เหมือนกับที่เราทำในการศึกษาผู้ใหญ่ และจะได้เผยแพร่ในวารสารนานาชาติเป็นที่ยอมรับมาแล้วต่อไป"
คลิก>>อ่านโพสต์ต้นฉบับ