เขาคือผู้ที่ได้รับการยกย่องและกล่าวขานว่าเป็น ‘หมอต้นไม้’ คนแรกๆ ของเมืองเชียงใหม่และประเทศไทย
ขณะที่ย้อนวัยไปเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา ‘เขา’ คนนี้ ก็เรียนด้านการเกษตร เมื่อเป็นอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัย การสอนของเขาก็ยังเชื่อมโยงได้กับสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์ของเมือง ซึ่งล้วนมีต้นไม้มาเกี่ยวข้อง ‘ความรัก’ในต้นไม้ ของเขา จึงเป็นสิ่งที่ฝังแน่นมายาวนานในระดับจิตสำนึกและจิตวิญญาณก็ว่าได้
ย้อนเวลาไปอีกครั้ง กิจกรรม หรือการทำค่ายของเขา ที่พานักศึกษาลงพื้นที่สำรวจเศษซากหลังภัยพิบัติครั้งใหญ่จากคลื่นยักษ์สึนามิ ได้สร้าง ‘ภาพจำ’ ที่เขาและศิษย์ในครานั้นมิอาจลืมเลือน
เมื่อได้เห็นด้วยตาตนเองว่า ในพื้นที่ซึ่งมากด้วย ‘ปราการต้นไม้’ ล้วนรอดพ้นจากวิบัติภัยมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
และแน่นอน ความรักที่เขามีต่อต้นไม้ย่อมเพิ่มพูน
กระทั่งโชคชะตานำพาให้เขาได้มีโอกาสพบเจอและได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ของการดูแลรักษา เยียวยาต้นไม้และคุณสมบัติของการเป็นหมอต้นไม้ จากหมอต้นไม้และทีมวิจัยชาวญี่ปุ่น ที่ลงพื้นที่สำรวจต้นไม้ในเมืองเชียงใหม่เมื่อราว 15 ปีก่อน ซึ่งนับเป็นการเปิดโลกกว้างทางวิชาการให้แก่เขาก็ว่าได้
และโลกกว้างใบนั้น ยิ่งเปิดกว้างมากขึ้น เมื่อเขาได้รับโอกาสไปเรียนรู้ประสบการณ์และทำความเข้าใจวิชาชีพของหมอต้นไม้ที่ญี่ปุ่นนานนับเดือน ถึง 2 ครั้ง
สิ่งที่เขาได้รับถ่ายทอดและปลูกฝังจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพจากอาจารย์หมอต้นไม้ชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นคนเดียวกับที่มาศึกษาวิจัยต้นไม้ที่เชียงใหม่ ประสบการณ์ที่ญี่ปุ่นทำให้เขาประทับใจในหลายแง่มุม ไม่ว่าการร่วมแรงร่วมใจกันของคนในชุมชน คนในเมือง ที่ร่วมกันดูแลรักษาต้นไม้ ชนิดที่ใช้คำว่า “ประคบประหงม” ต้นไม้อย่างดี อีกทั้งยังมีหมอต้นไม้ที่เป็นผู้หญิงอีกด้วย จึงกล่าวได้ว่า เพศและวัย ล้วนไม่ใช่อุปสรรคในการเป็นหมอต้นไม้ ขอเพียงแค่ลำดับแรกสุด คุณมีหัวใจที่ ‘รักต้นไม้’ เมื่อนั้น วิชาชีพและองค์ความรู้นี้ย่อมเปิดกว้างแก่ผู้ที่สนใจใฝ่รู้
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังไม่ลืมที่อาจารย์หมอต้นไม้ชาวญี่ปุ่นสอนไว้ว่า การดูแลต้นไม้ มิอาจทำได้เพียงลำพัง แต่ต้องมีความร่วมมือและภาคีเครือข่าย งานจึงจะสำเร็จลงได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจ
เขานำแนวคิดนั้น ไปใช้กับงานในหลากหลายแขนง
ทั้งเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูระบบราก และสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ต้นยางนา ที่ถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน โดยทำงานร่วมกับเครือข่ายในเชียงใหม่ เช่น เครือข่าย ‘เชียงใหม่ เขียว สวย หอม’ ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการอนุรักษ์ต้นไม้ ซึ่งข้อมูลที่บันทึกไว้ในปัจจุบัน ถนนสายนี้มีต้นยางนา 1,000 กว่าต้น ตัวเขา คณะทำงาน รวมทั้งภาคีเครือข่าย ยังเน้นเรื่องความรู้เชิงลึกในการดูแลต้นยางนา โดยเฉพาะ ‘รากเหง้าของปัญหา’ เพราะต้นไม้ที่ทรุดโทรมนั้น ปัญหาอยู่ที่ ‘ระบบราก’
ดังนั้น นอกจากการสร้างความร่วมมือกับองค์กร เครือข่ายแล้ว ยังสร้าง ‘อาสาสมัครพิทักษ์ยางนา’ เป็นที่แรกของประเทศไทย เพราะไม่มีถนนสายไหน ที่มีต้นยางเยอะแบบถนนสายนี้อีกแล้ว
นอกจากนั้น ยังมีการก่อตั้งเป็น ‘สมาคมยางนา-ขี้เหล็กสยาม’ ขึ้น โดยปีนี้ นับเป็นปีที่ 4 แล้ว วัตถุประสงค์เพื่อสร้างองค์ความรู้และทำงานเชื่อมโยงกับทั้งเมืองในทุกภาคส่วน โดยมีเขาคนนี้ เป็นนายกสมาคมฯ คนแรก
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดหลักสูตรเรียนรู้การเป็นหมอต้นไม้หรือรุกขกร ในระดับอุดมศึกษาในหลายสถาบันชั้นนำของประเทศ ร่วมกับคณาจารย์ นักวิชาการ และปูชนียบุคคลที่มีอุดมการณ์เดียวกัน รวมทั้งเขาเองยังคงทำหน้าที่ให้ความรู้อย่างต่อเนื่องในเวทีต่างๆ ควบคู่ไปกับการสอนและการดูแล ฟื้นฟู เยียวยารักษาต้นไม้
เขาคือ ‘ผศ.บรรจง สมบูรณ์ชัย’ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และนายก‘สมาคมยางนา-ขี้เหล็กสยาม’ ให้สัมภาษณ์พิเศษ ‘ผู้จัดการออนไลน์’
ถึงแรงบันดาลใจ ความเป็นมาเป็นไป และรายละเอียดในทุกประเด็นข้างต้นที่กล่าวมา
ซึ่งล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความรักที่ชายคนนี้ มีต่อต้นไม้และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
ทั้งบอกกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า เขาจะเกษียณในอีก 1 ปี ข้างหน้า และเมื่อนั้น เขาจะเป็นหมอต้นไม้อย่างเต็มตัว ให้เวลากับงานดูแลต้นไม้ได้อย่างเต็มที่
ภาพจำประทับใจ แนวปราการต้นไม้ป้องภัยสึนามิ
เมื่อขอให้ช่วยเล่าความเป็นมา ที่มา แรงบันดาลใจที่ทำให้มาเป็นหมอต้นไม้
ผศ.บรรจง ตอบว่า “ต้องเท้าความว่าผมเรียนทางด้านสายเกษตรมา ด้านวิทยาลัยเกษตร และโดยพื้นฐาน บ้านเมืองเราก็เป็นเกษตรกร แล้วเมื่อมาเรียนปริญญาตรี ผมก็เรียนมาทางสายออกแบบสิ่งแวดล้อม คือเรียนเทคโนโลยีภูมิทัศน์ ก็ไม่พ้นเรื่องธรรมชาติ พืชพันธุ์ ต้นไม้ กระทั่งมาทำเรื่องกิจกรรมก็ทำด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตรงนี้ก็เป็นแรงผลักดันว่าเราให้คุณค่ากับสิ่งรอบตัวเรานะ โดยเฉพาะต้นไม้ พืชพันธุ์ต่างๆ เมื่อได้มาทำงาน กลับมาทำงานที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ผมก็มาทำเป็น workshop ซึ่งเกี่ยวโยงไปกับเรื่องที่เราสนใจในสายวิชาชีพเรา ทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับทางด้านนี้ และเรานำนักศึกษาไปทำกิจกรรมด้วย” ผศ.บรรจง ระบุและกล่าวเพิ่มเติมว่า
ในช่วงที่ทำกิจกรรมครั้งนั้น เป็นช่วงที่มีสึนามิเข้ามาที่ภาคใต้ จึงนำนักศึกษาลงไปและได้พบเห็นภาพบางอย่างที่สะท้อนถึงการให้คุณค่าต่อต้นไม้ เนื่องจากชาวบ้านหรือพื้นที่ทางภาคใต้ ในช่วงที่ลงไปหลังเกิดสึนามินั้น พบว่า พื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด คือพื้นที่ที่มีป่า มีต้นไม้ มีต้นโกงกาง มีไม้ป่าชายเลน มีต้นสน ต้นมะพร้าว หรือต้นไม้ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้
“ผมก็เลยรู้สึกว่า นี่จริงๆ แล้ว เราให้คุณค่าหรือให้ความสำคัญกับต้นไม้ เมื่อตอนเกิดเหตุ ซึ่งเห็นได้ชัดมาก ว่าพื้นที่เหล่านั้นไม่เสียหายเลย เพราะว่ามีแนวปราการ มีต้นไม้เหล่านี้ป้องกัน เกาะนั้น จึงเป็นภาพที่เรานึกถึง เป็น ‘ภาพจำ’ ว่ามันเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน ได้จริงๆ แล้วเมื่อได้มาสอน ได้มาทำงาน ก็เริ่มทำวิจัย ทำให้ได้เจอหมอต้นไม้ที่ญี่ปุ่นนี่แหละครับ ก็เป็นแรงผลักดัน ตั้งแต่นั้นมา เหมือนเราหลุดไปอยู่ในโลกของทั้งต้นไม้ คน ชุมชน รวมทั้งบทบาทที่จะต้องไปช่วยกันขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการปลูกและการดูแลต้นไม้น่ะครับ คร่าวๆ ประมาณนี้ครับ” ผศ.บรรจง ระบุ
ความเชื่อมโยงเกี่ยวพันของภูมิสถาปัตยกรรม และสิ่งแวดล้อม
ถามว่า วิชาชีพการเป็นอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิชาชีพนี้ ส่งผลดี หรือว่า ช่วยสนับสนุน การเป็นหมอต้นไม้ในแง่มุมไหนได้บ้าง
ผศ.บรรจง กล่าวว่า “ส่งผลโดยตรงเลยนะครับ โดยเฉพาะสาขาอาชีพที่สอนอยู่ คือ เทคโนโลยีภูมิทัศน์ แต่ก็มีสาขาข้างเคียงด้วยคือ ภูมิสถาปัตยกรรม เพราะว่าสองหลักสูตร หรือสองสาขานี้จะเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของการออกแบบการจัดการพื้นที่ โดยคำนึงถึงปัจจัยการออกแบบทางสิ่งแวดล้อม ทางธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ พืชพันธุ์ต่างๆ
ได้เรียนรู้ปัจจัยเหล่านี้ ที่ส่งผลต่อการจัดการภูมิประเทศเรา ซึ่งเราไม่ได้มองแค่เรื่องของการจัดสวน ปลูกต้นไม้ หรือเรื่องของความสวยงามอย่างเดียว แต่ต้องมองถึงการรักษาความสมดุลของธรรมชาติ การเรียนรู้ระบบนิเวศ วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของสังคมกับสิ่งแวดล้อม และอาจรวมไปถึงเรื่องของการนำนวัตรกรรมเข้ามาใช้บ้างเพื่อจะทำให้เป็นการปกป้องต้นไม้ เนื่องจากการเรียนสถาปัตย์ เรามักจะนึกถึงตึกรามบ้านช่อง อาคาร พูดถึงเรื่องผังเมือง อะไรต่างๆ แต่ภูมิสถาปัตย์จะเกี่ยวข้องล้วนๆ กับสภาพภายนอกอาคาร เกี่ยวข้องตรงๆ เลยนะครับ
ต้องเข้าใจเรื่องดิน ภูมิประเทศเป็นยังไง ต้องเข้าใจตั้งแต่ภูเขาจนถึงทะเล ต้นไม้ในแต่ละพื้นที่ เมื่อเราเอาต้นไม้ไปจัด ต้องดูภูมิประเทศ ภูมิทัศน์ หรือ Landscape แต่ละพื้นที่มันต่างกันหมดเลย” ผศ.บรรจงบอกเล่าได้อย่างเห็นภาพของความสำคัญ ความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับหัวใจสำคัญของภูมิทัศน์ หรือภูมิสถาปัตยกรรม
แรงดลใจจากหมอต้นไม้ชาวญี่ปุ่น
ถามถึงเรื่องของหมอต้นไม้ชาวญี่ปุ่นและนักวิชาการชาวญี่ปุ่น ที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญ อยากให้เล่าให้ฟังว่าประสบการณ์ครั้งนั้น ส่งผลต่อทัศนคติใดบ้าง และเป็นเหตุผลที่ทำให้อยากเป็นหมอต้นไม้เลยหรือไม่
ผศ.บรรจงถ่ายทอดเหตุการณ์ครั้งนั้นให้ฟังว่า “ครั้งแรก เรามาดูต้นยางนากับต้นจามจุรี อาจารย์จากญี่ปุ่น คือ ดร.ฮามาโน่ นั้น ท่านเป็นอาสาสมัครอาวุโส เป็น Volunteer มาจากมหาวิทยาลัยเกษตรที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ท่านมาอยู่ หนึ่งเดือน แต่ทีมของท่านมาอยู่เป็นปีเลยนะครับ
ตอนที่ลงพื้นที่ ท่านก็มีความสนใจเรื่องพื้นที่สีเขียวของเมือง โดยเฉพาะต้นไม้ที่อยู่สองข้างทาง อาจารย์ท่านเน้นเลย ผมก็พานักศึกษาในวิชาเรียนโยงไปกับงานที่เรารับผิดชอบ คือเรื่องการดูแลรักษาภูมิทัศน์เมืองและภูมิทัศน์ในพื้นที่ และดูที่ถนนสองสาย
คือ ถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน ที่มีต้นยางนาอยู่ 1,000 กว่าต้น และถนนสายเชียงใหม่-สันกำแพง ซึ่งมีต้นจามจุรีอยู่ 200 กว่าต้น พื้นที่เหล่านี้จึงเป็นจุดกำเนิดของการเริ่มกิจกรรมที่จะทำ workshop คืออาจารย์ฮามาโน่มา ท่านมาเก็บข้อมูล ท่านก็บอกว่าเมืองเชียงใหม่ เป็นเมืองที่น่าอยู่ ร่มรื่นดี ต้นไม้เยอะ บ้านเราอยู่ใกล้ภูเขา เชียงใหม่เราเคยใช้ชื่อ ‘วนานคร’ คือเมืองแห่งป่า เพราะเราเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ ต้นน้ำปิงก็อยู่เชียงใหม่ เมืองก็อยู่ใกล้ๆ ดอยสุเทพ มีอุทยานสุเทพปุย พื้นที่ป่าเราเยอะ เมื่อเราลงพื้นที่ อาจารย์ฮามาโน่ก็มาสำรวจ สิ่งที่เจอจากต้นไม้ข้างทาง ซึ่งมีทั้งต้นไม้ที่มีคนปลูกและต้นไม้ธรรมชาติด้วย แต่ส่วนใหญ่ พื้นที่ซึ่งออกมานอกเมืองหน่อย สองข้างทางก็มีคนปลูกต้นไม้มาเป็นร้อยปีแล้วล่ะครับ ถนนทั้งสองสายเลย แต่ปลูกแล้วกลับมีคนเข้าใจเรื่องสุขภาพต้นไม้น้อยมาก
อาจารย์ฮามาโน่ก็เลยบอกว่า ‘ต้นไม้บ้านคุณมันป่วยรู้ไหม สุขภาพไม่ดี’
อาจารย์ฮามาโน่ก็เริ่มทำให้เราเห็นตัวอย่าง เราก็พานักศึกษา ชุมชน ลงไปเรียนรู้กับอาจารย์ฮามาโน่ ทั้งทางเทคนิคและความรู้ต่างๆ ที่อาจารย์ฮามาโน่ถ่ายทอดมา
เช่น ‘สิ่งที่ประเทศญี่ปุ่นเขารักษาต้นไม้ ดูแลต้นไม้ จริงๆ แล้วเขามีหมอนะ มีหมอต้นไม้ทั้งประเทศเลย’ แล้วอาจารย์ฮามาโน่ก็เป็นคนที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับหมอต้นไม้ที่ญี่ปุ่น นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น แล้วอาจารย์ก็ทิ้งโจทย์ไว้ให้พวกเรา ว่าจะปล่อยไปอย่างนี้ก็น่าเสียดายนะ อยากให้ศึกษาวิจัย มองให้เห็นปัญหา หาความร่วมมือ และสร้างอาสาสมัคร แล้วก็พัฒนาชุดความรู้ขึ้นมา เพราะต้นไม้ประเทศญี่ปุ่น มีความหลากหลายสู้เมืองไทยไม่ได้หรอก เพราะเขาเป็นเมืองหนาว เป็นเกาะ มีหิมะ แต่ของเราอยู่สบายทั้งสามฤดู เพราะเป็นเขตร้อนชื้น มีฝนเยอะ ซึ่งบริบทพื้นที่ต่างกัน ตรงนี้ ก็เป็นเรื่องราวว่าเวลาต้นไม้ป่วย เราจะไม่ดูแค่ปริมาณแล้วนะ แต่เราต้องดูที่คุณภาพ คือดูที่เรื่องสุขภาพของต้นไม้”
ผศ.บรรจง บอกเล่าถึงแรงบันดาลใจและองค์ความรู้ที่ ดร.ฮามาโน่ หมอต้นไม้ชาวญี่ปุ่นได้มอบให้ไว้
ถามว่า การเข้ามาของอาจารย์ฮามาโน่ และทีมงานจากญี่ปุ่นนั้น เข้ามาในปีไหน แล้วเหตุใดพวกเขาจึงเข้ามาทำงานร่วมกับ ผศ.บรรจงได้
ผศ.บรรจงตอบว่า อาจารย์ฮามาโน่มาปี ค.ศ.2007 ถึงวันนี้ ก็เป็นระยะเวลาประมาณ 15 ปีผ่านมาแล้ว ซึ่งเมื่อครั้งที่อาจารย์ฮามาโน่และทีมงานเข้ามาดูพื้นที่เชียงใหม่ ก็เพราะเนื่องจากเป็นความร่วมมือของจังหวัดเชียงใหม่ กับประเทศญี่ปุ่นในครั้งนั้น ก็จะมีอาสาสมัครจาก องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency - JICA) หรือองค์กร JICA เป็นความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น “ซึ่งในไทยเขาเลือกเมืองเชียงใหม่ แล้วทางด้านภูมิสถาปัตย์และภูมิทัศน์ ก็มีที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่มีการเรียนการสอนในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น จึงเกี่ยวข้องกับผม เพราะผมดูแลทางด้านนี้อยู่ มีคลาสเรียน มีชั้นเรียน ที่เกี่ยวกับด้านนี้ แล้วเราก็สนใจกิจกรรมด้านนี้อยู่แล้ว เราไปทำค่าย ไปออกค่าย ไปศึกษาเรื่องพันธุ์ไม้ต่างๆ ดังนั้น ก็เลยได้มีโอกาสเป็นทั้งผู้ประสานงานร่วมกับทาง JICA ด้วย” ผศ.บรรจง ระบุ
ก้าวสู่การเป็น ‘หมอต้นไม้’ เต็มตัว
ถามว่า ทุกวันนี้ หลายคนเรียกอาจารย์บรรจงว่าเป็น ‘คุณหมอต้นไม้คนแรกของเมืองไทย’ และเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน อยากทราบว่า การได้เรียนรู้จากหมอต้นไม้ของทีมอาจารย์ฮามาโน่ เมื่อ 15 ปีก่อน ครั้งนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณกลายเป็นหมอต้นไม้อย่างเต็มตัวเลยหรือไม่
ผศ.บรรจงตอบว่า “ต้องบอกก่อนว่าผมตั้งใจมากเลยนะครับ ถ้ามีโอกาสเราอยากไปเรียนญี่ปุ่น คือก่อนหน้านี้ ในชีวิตผมไม่เคยไปญี่ปุ่นเลยครับ ก่อนเจออาจารย์ฮามาโน่นะครับ ผมไม่เคยไปญี่ปุ่นเลย กระทั่งเจออาจารย์ฮามาโน่ ผมจึงได้ไปญี่ปุ่นถึงสองครั้ง เพื่อไปศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม เหมือนการไปทำงาน และหาประสบการณ์ด้วย
ทำให้เราได้รู้สึกว่า เราไม่เคยรู้เลยนะว่า การดูแลต้นไม้ เขาทำกันถึงขนาดนี้เลย สิ่งที่อาจารย์ฮามาโน่นำมาถ่ายทอดให้เรา ทุกอย่างเป็นเรื่องแปลกใหม่ เหมือนเราได้เจอสิ่งที่มันน่าตื่นเต้นมากๆ ในครั้งนั้น
พูดง่ายๆว่า เมื่ออาจารย์ฮามาโน่ พูดถึง ‘การศัลยกรรมต้นไม้’ ผมก็เริ่มงงแล้ว ( หัวเราะ ) งง ว่า เอ๊ะ! เราเพียงแค่เคยเห็นคนไปศัลยกรรมเสริมดั้งจมูก หรือเอาเนื้อตรงโน้น ตรงนี้มาโปะตรงนี้ ตรงนั้น แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีการ ‘ศัลยกรรมต้นไม้’ ได้ด้วยเหรอ
นี่แหละครับ มีหลายๆ เรื่องที่น่าเรียนรู้มาก แต่ครั้งนั้นก็เสียดายเพราะเรามีเวลาแค่เดือนเดียว แต่ก็ได้ประสบการณ์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราได้เห็นงานของหมอต้นไม้ที่ญี่ปุ่น ซึ่งคนที่เป็นหมอต้นไม้ที่เก่งมากๆ เป็นผู้หญิงด้วย เราก็ ทึ่ง โอ้โฮ! ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือมีอายุเท่าไหร่ ก็สามารถเป็นหมอต้นไม้ได้ ถ้าคุณมีความชอบต้นไม้ก่อนเป็นอันดับแรก มีความรักต้นไม้ แล้วใส่ใจ
จริงๆ แล้วอาจารย์ฮามาโน่เขาสอน เขาแนะนำเราทั้งวิธีเชิงเทคนิคและการสร้างองค์กร เพราะว่าเมืองต้องมีความร่วมมือกัน ลำพังเรา เพียงคนกลุ่มเล็กๆ ไม่สามารถทำได้สำเร็จหรอก อาจารย์ฮามาโน่ก็บอกแบบนี้ครับ
นอกจากนี้ อาจารย์ฮามาโน่ยังเป็นบอร์ด เป็นคณะกรรมการ 1 ใน 7 คน ขององค์กรการจัดการพื้นที่สีเขียวที่โตเกียวด้วยครับ และยังเป็นผู้สอบใบวิชาชีพ ของหมอต้นไม้ที่ญี่ปุ่น ซึ่งทุกคนต้องไป เรียนเลเวล 1-2-3 เพื่อให้ได้ใบวิชาชีพการเป็นหมอต้นไม้ของที่นั่น หมอต้นไม้ที่ญี่ปุ่นจริงจังมากครับ เป็นอาชีพเลย สามารถดูแลพื้นที่เมือง พื้นที่สีเขียว ดูแลต้นไม้ได้อย่างจริงจังครับ “ ผศ.บรรจง บอกกล่าวถึงประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งสำคัญที่ได้รับจากหมอต้นไม้ที่ประเทศญี่ปุ่น
ทั้งยอมรับว่าองค์ความรู้ที่ได้รับจากอาจารย์ฮามาโน่และทีมงานทั้งในการทำงานที่ไทย และเมื่อได้ไปเยือนญี่ปุ่น นับเป็นแรงบันดาลใจให้ดำเนินรอยตามด้วยการเป็น ‘หมอต้นไม้’
“แต่คำว่าหมอต้นไม้ของผม ยอมรับว่าเราไม่ได้ผ่านหลักสูตรโดยตรง ผมก็อาศัยหลักการที่เราสอนซึ่งมันครอบคลุมตั้งแต่เมื่อครั้งที่ผมเรียนเกษตร คือ อาชีพของหมอต้นไม้นั้น ต้องเข้าใจเรื่องการดำรงชีวิตของต้นไม้ ตั้งแต่เราเริ่มเพาะปลูก เรื่องชนิด พันธุ์ การขยายพันธุ์ วิธีการดูแลรักษา การให้ปุ๋ยให้ยาเวลาต้นไม้เจ็บป่วย ต้องรู้ว่าเขาถูกโรคศัตรูแมลงอะไร เราก็ต้องวิเคราะห์ ประเมินเป็น แล้วก็แก้ไขปัญหา รวมถึงเรื่องหลักๆ ที่บ้านเรามักทำผิด คือเรื่องการตัดแต่งนี่แหละครับ
การตัดแต่ง เครื่องไม้เครื่องมือ หรืออุปกรณ์อะไร ต่างๆ ทำให้เราเห็นวิธีการที่มาช่วยเพิ่มเติมสิ่งที่เราทำอยู่เดิมให้มากขึ้น ได้เห็นโจทย์ ว่าอะไรที่ไม่สามารถทำคนเดียวได้ แต่ต้องชวนกันทำ ต้องมีภาคีเครือข่าย
เพราะว่าจากการที่ได้ไปดูงานที่ญี่ปุ่นสองครั้ง เป็นที่น่าประทับใจมากๆ ประการหนึ่งเลย ก็คือ อาจารย์ฮามาโน่ พาไปดู Volunteer ที่เป็นคุณลุง คุณป้าในชุมชน ที่ดูแลพื้นที่สีเขียวของเขาเอง
ซึ่งเรื่องนี้ ผมมองว่าบ้านเรา ทำไมต้องรอแต่หน่วยงานภาครัฐ แต่จริงๆ แล้วเมื่อไปที่ญี่ปุ่น ได้เห็นว่า เขาคือชาวบ้านแบบเรานี่แหละ ที่รวมตัวกัน แล้วลุกขึ้นมาบอกว่า ‘เรารักต้นไม้ เราจะช่วยกันดูแลยังไง’ มีเวลาที่จะสังเกตอาการ ดูแลอาการเขา ปลูกแล้วต้องดูแล สะท้อนถึงจิตสำนึกและความยั่งยืนของญี่ปุ่น ว่าแท้จริงแล้ว เกิดจากคนของเขาครับ เกิดจากสปิริตจริงๆ ของคนญี่ปุ่น เขาประคบประหงมต้นไม้ของเขา ดูแลอย่างดี”
ผศ.บรรจงระบุได้อย่างเห็นภาพความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของชาวญี่ปุ่นในการดูแลรักษาต้นไม้อย่างดี
ร่วมผลักดันหลักสูตร ‘หมอต้นไม้’ บ่มเพาะ ‘รุกขกร’ คนรุ่นใหม่
ทราบมาว่า ผศ.บรรจง เป็นผู้ผลักดันหลักสูตรหมอต้นไม้ ให้เข้าไปอยู่ในระดับอุดมศึกษา ไม่ทราบว่า หลักสูตรนี้มีที่ไหนบ้าง
ผศ.บรรจงตอบว่า “ผมขอพูดให้เห็นวิวัฒนาการของมันก่อน คือผมเข้าใจว่า 15 ปีที่ผ่านมา เราใช้ความพยายามสูงมาก ผมใช้คำว่า ‘สูงมาก’ ก็เพราะเราเห็นความ ‘ไม่รู้’ ของคน ของหน่วยงาน ขององค์กร ของประชาชน เช่น เวลาเราไปไหน เรามองดูข้างทางก็อาจไปโทษการไฟฟ้าว่าทำไมตัดต้นไม้แบบนั้น เขาก็ตกเป็นจำเลยสังคมไปหมดเลย หน่วยงานเทศบาล ทำไมตัดต้นไม้แบบนี้ คือมองแล้วมันขัดความรู้สึกไปหมด
ช่วงนั้น หลังจากที่อาจารย์ฮามาโน่มา เราก็ตระหนักว่า ไม่ได้แล้ว เราอยู่ในสถาบันการศึกษา สิ่งใดที่คนเขาไม่รู้ เราควรจะถ่ายทอดให้เขารู้ เพราะหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง ของสถาบันการศึกษา คือชี้นำสังคม ศึกษาวิจัย แล้วออกไปบริการวิชาการ
ดังนั้น สิ่งที่เราเรียนรู้มา มันก็ควรถูกถ่ายทอดออกไปนะ หรือพัฒนาทักษะ คนที่เขาทำเป็นอยู่แล้ว ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ช่วงแรกผมก็ไปสร้างทีมอาสาสมัครก่อนเลย กระทั่ง ขยายเครือข่ายเป็นโรงเรียนต่างๆ มีน้องๆ เข้ามาร่วม แล้วก็ขยับไปที่ชุมชน
คำว่า ‘ชุมชน’ ของผม มันรวมไปถึงหน่วยงาน และองค์กร ตอนนั้นเราเริ่มรู้จักกับ
Big Trees( หมายเหตุ : คือกลุ่มคนที่รวมตัวกัน อนุรักษ์ “ต้นไม้ใหญ่” ในเมือง )ที่กรุงเทพฯ ก็ต้องพูดถึงหน้าที่เขา เขาก็มีอิมแพคในระดับวงกว้าง ระดับประเทศ
เราก็เทียวไปเทียวมาเชียงใหม่-กรุงเทพฯ แล้วก็ได้พบศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ
( หมายเหตุ : อดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย )
ช่วงนั้นเริ่มได้พบเจออาจารย์เดชาแล้ว ซึ่งอาจารย์เดชา ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ภูมิสถาปัตย์ แล้วท่านเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า ‘รุกขกร’ ในประเทศไทย
รวมทั้งวิชาชีพภูมิสถาปัตย์ ก็เริ่มจากท่านอาจารย์เดชา เราก็มาร่วมมือกันครับ มามองทิศทางด้วยกันว่าจะทำอย่างไร ให้เรื่องปลูกต้นไม้ หรือการดูแลไม่ให้ต้นไม้เขาป่วยมันเข้าที่เข้าทางสักที ซึ่งเราขาดบุคลากร
การจะจัดอบรมก็ยังไม่มีหลักสูตรขึ้นมา ก็เชื่อมโยงมาที่ว่า เมื่อเริ่มคุย ก็ต้องเริ่มกลับเข้าไปหาว่าสถาบันการศึกษาใดพร้อมก็น่าจะขยับ พัฒนา อย่างของมหาวิทยาลัยแม่โจ้เอง เดิมทีตั้งใจไว้เลยว่า ต้องมีจบปริญญาตรีทางด้านนี้เลย แต่ทุกวันนี้ คือ ผ่านเวลามาระยะหนึ่งแล้ว พบว่าการจะเข้าไปสู่ตรงจุดนั้นมันก็ไม่ง่ายนะครับ มันก็เลยกลายเป็นเหมือนวิชา Minor ( หมายเหตุ : วิชาโท หรือการเรียนที่เน้นเป็นอันดับสองรองจากวิชาเอก ) คือเลือกได้ อยากได้ความรู้ด้านนี้ให้มากขึ้น ก็ไปลงสัก 15 หน่วยกิต หรือ 20 หน่วยกิต
ตอนนี้ก็มีสอนที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ , คณะวนศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน แล้วก็สถาบันเทคโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) รวมทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็มี จริงๆ ก็คือเป็นภาคีกันระหว่างสถาบัน ก็เป็นความร่วมมือกัน รวมทั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีครับ ท่านอาจารย์ปริญญา (หมายเหตุ : ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ) ท่านเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้มาก ต้นไม้เยอะนะครับทั้งที่ท่าพระจันทร์ และที่ศูนย์รังสิต
ผมก็ไปเวิร์คช้อปกับอาจารย์ปริญญาด้วย ผมก็ไปบรรยายบ้าง แล้วปัจจุบันนี้ก็มีการรวมกลุ่มกัน ก็เขาเรียกว่าเป็น ‘ทีมรุกขกร’ ขึ้นมา เนื้อหาวิชาก็มีหลักสูตรอยู่แล้ว แต่ของใครจะเข้มข้น พื้นฐานมาจากทางไหน แต่ละสถาบันก็อาจจะมีเป็นแนวทางของตัวเองไปก่อนพื้นฐานเขาก็จะไปทางหนึ่ง
อย่างเช่น คณะวนศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พื้นฐานเขาก็จะไปทางหนึ่ง ตามแนวทางของอาจารย์พรเทพ ( หมายเหตุ : ผศ.ดร. พรเทพ เหมือนพงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวนวัฒนวิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นอาจารย์และ ‘รุกขกร’ คนแรกๆ ของเมืองไทย ที่ผ่านการรับรองจากสมาคมรุกขกรรมนานาชาติ (ISA) จากอเมริกาและเป็นผู้ร่วมผลักดัน ‘สมาคมรุกขกรรมไทย’ เพื่อสร้างมาตรฐานการดูแลต้นไม้ของไทยให้เทียบเท่านานาชาติ )
อาจารย์พรเทพ ทุกวันนี้ เราก็ขับเคลื่อนกัน ขยับไปจนกระทั่ง เราเคยคุยกันว่า เมื่อพยายามให้ความรู้และสร้างหลักสูตรแล้ว ต่อมาก็คือสร้างองค์กร ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการบ่งบอกว่า เรากำลังก้าวไปสู่คำว่า ‘มาตรฐานวิชาชีพ’ มีการเก็บชุดความรู้ ทีละชุด กี่หน่วยกิต สะสมไป จนกระทั่งถึงการตั้ง ‘สมาคมรุกขกรรมแห่งประเทศไทย’ วันนี้ก็ผ่านมา 4-5 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งได้แล้วครับ เราก็พยายามไปเชื่อมโยงอีก นำความรู้ของทางตะวันตก เช่น อเมริกามา แต่ก็มาปรับจูนให้เป็นไทยมากขึ้น ตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างที่กระจายความรู้ออกไป นอกจากนี้ เราต้องเพิ่มสมาชิกแล้วนะ ก็มีการสอบ แต่ในรั้วมหาวิทยาลัยเอง แต่ละแห่งก็มีเนื้อหาของตัวเองอยู่ครับ” ผศ.บรรจงระบุถึงการผสานความร่วมมือในระดับภาคีเครือข่ายระหว่างสถาบันการศึกษาต่างๆ
ถามว่า องค์ความรู้ของการเป็นหมอต้นไม้ที่ได้บ่มเพาะเด็ก หรือนักศึกษารุ่นใหม่ๆ ณ ปัจจุบัน คาดว่ามีกี่รุ่น หรือกี่คนแล้ว ในเมืองไทย
ผศ.บรรจงตอบว่า “โดยวิชาชีพ ตอนนี้ก็สร้างทีมขึ้นมาทั้งประเทศเลยครับ มีการเกิดเครือข่ายขึ้นในตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมานี้ มีเยอะพอสมควร และเราเห็นคนใช้คำว่า ‘รุกขกร’ เยอะขึ้นมาก ผมมองว่า ต่อไปเราจะมีคนที่มีคุณภาพมากขึ้น
อย่างเช่น ปัจจุบันก็มี 20-30 ทีม อยู่ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ อย่างเช่น ภาคใต้ก็มีเครือข่ายอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช ภาคอิสานเราก็ไปที่ จ.ขอนแก่น, ไปที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ส่วนภาคกลางก็อย่างที่บอกไปครับ มีสถาบันต่างๆ ส่วนภาคเหนือตอนนี้ก็มีทั้งที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็มีครับ
ภายใน 1 ปี เราจัดอบรม รุ่นละ 30 คน เรามีตั้งกี่พื้นที่ ปีนึงเราทำแค่ 2 รุ่นก็ครึ่งร้อยเข้าไปแล้ว ส่วนแต่ละพื้นที่ คาดว่าเราก็น่าจะมีคนที่มีความรู้เพิ่มขึ้น ปีละ 200-400ขึ้นไปแล้ว ยังไม่นับหน่วยงาน องค์กรต่างๆ ที่ต้องส่งทีมเจ้าหน้าที่มาอบรมกับเรา อย่างเช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค Active มาก ในช่วงสิบปีมานี้ หลังจากที่เราไปกระตุกความคิด ว่าทุกครั้งที่เขาตกเป็นจำเลยสังคมในเรื่องการตัดกิ่งไม้ ทุกคนก็รู้สึกว่า กระหน่ำลงไปที่หน่วยงานเหล่านี้ เขาก็เข้าใจมากขึ้น และก็เริ่มมีมาตรฐานของแต่ละหน่วยงาน จากที่เดิมทีการทำงานเขามันมีกรอบเดิมของเขาอยู่
อย่างเช่น TOR ของการไฟฟ้า ก็จะต่างจาก TOR ของทางหลวง กรมทางก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน หรือทางเทศบาลเอง ก็จะมีขอบเขตงานของตัวเอง
แต่ว่าปัจจุบัน เราก็บอกทุกคนว่า ถ้าเราจะต้องดูแลถนนสายเดียวกัน ต้นไม้ต้นเดียวกัน เราจะแยกหน่วยงานไม่ได้นะ ก็ต้องเข้าใจมาตรฐานเดียวกัน ก็เป็นที่มาว่าเราผลิตคนออกมาได้ค่อนข้างหลากหลายและกระจายอยู่ทั่วไปตามพื้นที่ องค์กร และหน่วยงานต่างๆ” หมอต้นไม้ท่านนี้ระบุ
ฟื้นฟู เยียวยา ดูแล ‘ต้นยางนา’ อายุ 100 กว่าปี บนถนนสายประวัติศาสตร์
ถามผศ.บรรจงว่า คุณเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูระบบราก และสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ต้นยางนา ที่ถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน ดังนั้น อยากให้เล่าถึงกระบวนการทำงาน ปัญหา อุปสรรค และความสำเร็จในการอนุรักษ์ต้นยางนาบนถนนสายนี้
ผศ.บรรจงตอบว่า “ต้องย้อนกลับไป ตอนที่เราเริ่มทำงานนี้ในช่วงแรกๆ
คือจุดเริ่มต้น ผมทำงานกับต้นไม้จริงๆ มาก่อน ( หัวเราะ ) เพราะเราอยู่ในสายวิชาการ เราอยู่กับต้นไม้จริงๆ
ดังนั้น เราจึงมีโอกาสน้อยที่จะได้ออกไปสัมผัสกับคนข้างนอก หรือคนในชุมชน
แต่เมื่อเราทำงานนี้ร่วมกับเครือข่ายในเชียงใหม่ เช่น เรามีเครือข่าย ‘เชียงใหม่ เขียว สวย หอม’ เป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่มีพื้นฐานด้านการอนุรักษ์ต้นไม้ ก็เหมือนเอามาเติม มาเชื่อมโยงกัน ระหว่างตัวบุคคลในชุมชนกับในรั้วมหาวิทยาลัย
ผมจึงออกมานอกรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อทำงานนี้ โดยเราได้งบประมาณสนับสนุนของกองทุนสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ทุนมาสองเฟส เฟสละประมาณ 2 ปี
เฟสแรก เริ่มเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2556 ทำให้เห็นภาพว่าถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน มีต้นยางอยู่ 1,000 กว่าต้นนะครับ เป็นข้อมูลที่บันทึกไว้ในปัจจุบัน เรามี 1,000 กว่าต้น ซึ่งเราก็เจอว่า ต้นยางเหล่านี้มีความเป็นมาไม่น้อยกว่า 120 ปี เกือบ 130 ปี และมีความรักถิ่นฐานของชุมชน
มีคนที่อยากจะอนุรักษ์ ดังนั้น ตอนเราทำเฟสที่ 1 เราเก็บข้อมูลค่อนข้างละเอียด แต่เก็บเพียงแค่ 1 พื้นที่
เพราะถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน เราต้องทำงานกับ 5 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมไปอีก 1 ก็คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมเป็น 6
และเราต้องทำงานร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ก็กลายเป็น 7 องค์กร โอ้โห! งานเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นแค่เฟสแรกผมก็รู้สึกว่า จากการที่ผมนับต้นไม้หนึ่งต้น กลายเป็นว่า ผมต้องนับชุมชนด้วย
แล้วก็ต้องรักต้นไม้ของชุมชนไปด้วย เพราะมีเป็น 1,000 กว่าต้นแล้ว รวมทั้งอาคารบ้านเรือนที่เขามีอยู่
ความรู้ที่เขากระจายต่อกันไป เราก็ได้เผื่อแผ่องค์ความรู้ให้มากขึ้น” ผศ.บรรจงเล่าถึงความเป็นมาของการอนุรักษ์ต้นยางนานับพันต้นที่มีอายุมากกว่า 100 ปี และกล่าวเพิ่มเติมว่า
เมื่อโครงการดำเนินมาถึงเฟสสอง ผศ.บรรจง และคณะทำงาน รวมทั้งภาคีเครือข่าย เน้นเรื่องความรู้เชิงลึกในการดูแลต้นยางนา เป็นความรู้ที่ต้องเจาะลึกจริงๆ อาทิ การตัดแต่ง คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้นไม้ปลอดภัย แต่ต้องไม่ลืมว่า ‘รากเหง้าของปัญหา’ จริงๆ ที่ต้นไม้ทรุดโทรมไปนั้น ปัญหาอยู่ที่ ‘ระบบราก’
“ในทางวิชาการนั้นชัดเจนครับ อาการมันชัดเจน ดังนั้น โครงการเฟสสองของเราก็เลยมุ่งเน้นไปที่ระบบราก เป็นการฟื้นฟูระบบรากขึ้น รวมทั้งมองไปถึงเรื่องของการสร้าง องค์กร เครือข่าย สร้างอาสาสมัคร ก็เป็นที่มาของการเกิด ‘อาสาสมัครพิทักษ์ยางนา’ เป็นที่แรกของประเทศไทย เราเรียกว่า ‘อสย.’ แล้วก็ไม่มีถนนสายไหน ที่มีต้นยางเยอะแบบถนนสายนี้
นอกจากนั้น เราก็มีชุมชนที่อยู่ใน 5 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็มาเข้าอบรม 2-300คน สร้างเครือข่าย มีประธานขึ้นมา
เมื่อเรามีกิจกรรมต่อเนื่อง และตั้งเป็น ‘สมาคมยางนา-ขี้เหล็กสยาม’ ขึ้น โดยปีนี้ นับเป็นปีที่ 4 แล้วครับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา เราก็มองไปถึงความยั่งยืนว่า เมื่อมีโครงการอย่างนี้มา แล้วเมื่อขอเงินทุนไปแล้วเงินทุนหมดไป แต่ว่ากิจกรรมในพื้นที่ หรือต้นยาง จะต้องคงอยู่ไปอีก 2-300 ปี แล้วเราจะทำอย่างไร ดังนั้น ตอนนี้จึงมีสมาคมเกิดขึ้น มีเครือข่าย อสย. เกิดขึ้น แล้วก็ทำงานเชื่อมไปทั้งเมือง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังทำงานร่วมกันครับ” ผศ.บรรจงระบุถึงความคืบหน้าในการอนุรักษ์ต้นยางนา ที่มีเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น และกล่าวเพิ่มเติมว่ามี ‘รุกขกร’ คอยดูแลตัดแต่งกิ่งด้วย ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญ
ทั้งนี้ เมื่อแรกสร้างเป็นสมาคมฯ ขึ้นมานั้น ได้พยายามกำหนดวัตถุประสงค์ สร้างบทบาทให้ชัดเจน
โดยมีขอบเขตอยู่ว่า เราจะเยียวยาต้นยางกับคนที่อยู่ใต้ต้นยาง
สิ่งนี้คือ วัตถุประสงค์แรกเริ่มเลยที่ตั้ง ‘สมาคมยางนา-ขี้เหล็กสยาม’ ขึ้น
วัตถุประสงค์ ข้อที่ 2 คือการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ให้กับ ชาวบ้าน ชุมชน หรือผู้ที่สนใจ
วัตถุประสงค์ ข้อที่ 3 คือ เป็นผู้ผสาน เชื่อมโยง ให้กับหน่วยงานในท้องถิ่น
“พี่น้องภาคีเครือข่าย พวกเขาก็เลยให้ผมเป็นนายกสมาคมฯ คนแรก ทุกวันนี้ก็ยังทำหน้าที่เป็นนายกสมาคมฯ
เดินสายไปพูดคุยครับ เช่น เร็วๆ นี้ก็มีไปบรรยายให้กับพี่น้องที่ จ.ลำพูน
เพราะจริงๆ แล้วสมาคมเราใช้ชื่อ ‘ยางนา-ขี้เหล็กสยาม’ เนื่องจากถนนสายนี้ยาวกว่า 20 กิโลเมตรใช่ไหมครับ
แล้วตอนสร้างเมือง เขาแบ่งกึ่งกลางด้วยศาลหลักเมือง ศาลหันหน้าเข้ามา จ.เชียงใหม่ ก็ปลูกต้นยางนา
ทาง จ.ลำพูน ก็เป็นต้นขี้เหล็ก ที่มีอยู่ 200 กว่าต้น แล้วตอนนี้ ต้นขี้เหล็กได้รับการดูแลไม่ทั่วถึง เมื่อเราตั้งสมาคมยางนาฯ ก็ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องมาช่วยกันดูแลทั้งต้นยางนาและต้นขี้เหล็กบนถนนสายนี้ครับ”
เป็นคำบอกเล่าทิ้งท้ายของ ผศ.บรรจง ‘หมอต้นไม้’ ผู้อุทิศทั้งชีวิต หัวใจและจิตวิญญาณให้แก่การดูแล รักษา เยียวยาต้นไม้ รวมทั้งเชื่อมโยงผู้คน ชุมชน องค์กร หน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสัมคมและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้ได้รับความรู้ในการดูแลต้นไม้ เพื่อช่วยกันส่งต่อองค์ความรู้ให้กระจายไปในแต่ละพื้นที่ทั่วทุกภาคของประเทศ ด้วยความหวังว่าจิตวิญญาณแห่งการอนุรักษ์ต้นไม้อย่างถูกวิธี จะได้รับการสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นเรื่อยไปไม่หยุดยั้ง
……….……
Text by รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
Photo by ผศ.บรรจง สมบูรณ์ชัย, The Cloud, tcp, www.th-arbor.com