ในระยะนี้ต้องอ่านข่าวอลัชชีและคนหาความดังจากเรื่องพระไม่เว้นแต่ละวัน เลยเอาเรื่องอริยสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบมาเล่ากันบ้าง อย่างหลวงปู่องค์หนึ่งกล่าวกันว่าท่านมี “วาจาสิทธิ์” มีเมตตาธรรมสูง อย่าว่าแต่คนทั้งภาคจะเคารพกราบไหว้เลย แม้แต่เต่าที่ท่านช่วยชีวิตไว้มาก ก็ยังยกขบวนกันมาเคารพศพที่ตั้งอยู่บนศาลา เอาหัวชนโลงแล้วหลั่งน้ำตา ต่อหน้าคนนับพันรวมทั้งข้าราชการชั้นสูงของจังหวัดและรองปลัดกระทรวงมหาดไทย
หลวงปู่องค์นี้ก็คือ หลวงปู่สงค์ จันทสโร แห่งวัดศาลาลอย ตำบลบางลึก อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ที่ชาวชุมพรให้ความเคารพศรัทธาดุจเทพเจ้า ทั้งยังเป็นที่เคารพของคนตลอดภาคใต้ เรื่องที่เล่าว่าท่านมีวาจาสิทธิ์ก็คือ ท่านเป็นพระที่พูดน้อย แต่คำพูดของท่านจะเป็นจริงตามที่พูดทุกอย่าง ทำให้คนเกรงกันว่า ถ้าทำไม่ดีให้ท่านว่ากล่าวตักเตือน ก็จะเป็นไปตามที่ท่านพูด
แต่เรื่องที่ทำให้ตื่นตะลึงกันมากก็คือเรื่องที่ท่านผูกพันกับเต่าหก ซึ่งเป็นเต่าภูเขา และเป็นเต่าพันธุ์เดียวที่มีปุ่มคล้ายขางอกออกมาอีก ๒ ปุ่มเหมือนมี ๖ ขา ใช้สำหรับยันตัวปีนขึ้นเขาโดยเฉพาะ ซึ่งมีอยู่รอบวัด เมื่อเต่าขึ้นมาหาอาหารบนลานวัด ท่านจะทำเครื่องหมายไว้โดยใช้เหล็กจารบนกระดอง หรือใช้สีเขียนไว้ บางทีก็เจาะกระดองเอาลวดผูกสตางค์แดงที่มีรูตรงกลางห้อยให้รู้ว่าเป็นเต่าของท่าน จะได้ไม่มีใครกล้าทำร้ายหรือจับไป ซึ่งช่วยชีวิตเต่าไว้ได้มาก เมื่อท่านมรณภาพ เต่าพวกนี้จึงพากันมาที่ศาลาตั้งศพ ไต่ขั้นบันไดขึ้นไปน้ำตาไหลหน้าโลงศพ
เรื่องนี้มีคนเล่ากันไว้มาก แต่ไม่ลึกซึ้งไปกว่า ร.ต.พิมล สุวรรณสุภา ข้าราชการดีเด่นท่านหนึ่งของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นนายอำเภอในภาคใต้มาหลายจังหวัด และเป็นนายอำเภอเมือง จังหวัดชุมพร อยู่ในเหตุการณ์ในวันที่หลวงปู่มรณภาพ ทั้งยังกลับมาเกษียณอายุราชการในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรอีก ซึ่ง ร.ต.พิมลได้เล่าในหนังสือ “เรื่องจริงระทึกใจ” ไว้ว่า
“ผมจะไม่มีวันลืมวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๒๖ ซึ่งเป็นวันที่เราต้องเสียงอริยะสงฆ์...ตอนเช้าวันนั้น ในขณะที่ผม, นายมงคล อินทระ คหบดีผู้อุปการะวัดศาลาลอย, นายหนู สุทธิผล กำนันตำบลบางลึก, รวมทั้งกรรมการวัดอีกหลายท่านกำลังปรึกษากันเรื่องการจัดงานกฐินบนกุฏิของหลวงปู่ กฐินดังกล่าวนี้เป็นกฐินที่นายเสน่ห์ วัฑฒนาธร รองปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น จะนำมาทอดที่วัดดอนทรายแก้ว ต.นาทุ่ง อ.เมืองชุมพร ตามคำแนะนำของหลวงปู่สงค์ เพื่อหาเงินสร้างพระอุโบสถซึ่งค้างคาอยู่ และเป็นกฐินซึ่งสมเด็จพระอริยวงสาคตญาณ (วาสน์มหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราช ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์ กำหนดทอดในวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๖
หลวงปู่สงค์ซึ่งป่วยเป็นไข้กระเสาะกระแสะ ได้เดินออกมาจากห้องและสั่งกับพวกเราว่า
“กฐินคราวนี้ขอให้ช่วยกันเต็มที่ แต่เราสู้ไม่ไหวแล้ว”
เมื่อพูดจบแล้วหลวงปู่ก็เดินกลับเข้าห้อง พวกที่นั่งกันอยู่ก็ไม่ได้นึกสงสัยอะไรที่หลวงปู่พูดว่า “เราสู้ไม่ไหวแล้ว”
เวลาผ่านไปจนถึงประมาณ ๑๑ น.เศษ จึงมีผู้เข้าไปปลุกหลวงปู่ ก็พบว่าหลวงปู่มรณภาพเสียแล้วโดยอาการสงบ ไม่มีวี่แววใดๆที่แสดงให้เห็นว่าหลวงปู่จะถึงแก่มรณภาพเลย
ทันทีที่ข่าวหลวงปู่มรณภาพแพร่ออกไป ผู้คนนับหมื่นมุ่งมาวัดศาลาลอยชนิดมืดฟ้ามัวดิน
หลังจากพิธีอาบน้ำศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการวัดได้ซื้อโลงศพประดับมุกมาบรรจุร่างของหลวงปู่ แต่ต่อมาปรากฏว่าร่างกายของหลวงปู่ไม่เน่าเปื่อย จึงได้เปลี่ยนมาบรรจุในโรงแก้ว และก็ปรากฏว่าร่างของหลวงปู่ยังคงสภาพเดิม เพียงแต่แห้งลง จนทุกวันนี้
หลังจากหลวงปู่สงฆ์มรณภาพได้เพียง ๒วัน สิ่งมหัศจรรย์เหลือเชื่อก็ปรากฏแก่สายตาของผู้คนที่มาร่วมงานศพนับพันคน เมื่อเต่าใหญ่ตัวหนึ่ง ลำตัวกว้างประมาณ ๑๕ นิ้ว คลานต้วมเตี้ยมมาที่ปะรำหน้าศาลาที่ตั้งศพ ซึ่งเป็นศาลาชั้นเดียว ทางขึ้นเป็นบันไดคอนกรีต ๔ ชั้น ผมได้ยินชาวบ้านร้องบอกกันเซ็งแซ่ว่า “เต่าหลวงปู่มา...เต่าหลวงปู่มา”
“เมื่อผมเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นมีน้ำตาไหลพราก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ผมได้เห็นน้ำตาเต่า ครั้นเมื่อเต่าตัวนี้คลานไปถึงบันไดคอนกรีต ๔ ชั้น ก็ค่อยๆไต่ขึ้นบันไดแล้วคลานต่อไปยังโลงศพ ยื่นหัวออกมาชนโลง สงบนิ่งโดยไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน
และที่แปลกไปกว่านี้ก็คือ ในวันรุ่งขึ้นได้มีฝูงเต่าใหญ่ชักขบวนแห่เข้ามาในวัดอีก ๗ ตัว แต่ละตัวไต่ขึ้นบันไดไปสงบนิ่งอยู่ที่โลงศพเช่นเดียวกับตัวแรก ทุกตัวมีน้ำตาไหลรินออกมา แสดงความอาลัยในการจากไปของหลวงปู่
จนกระทั่งอีกวันหนึ่งต่อมา ก็มีชาวบ้านบางลึกคนหนึ่งอุ้มเต่าขนาดลำตัวกว้าง ๒ นิ้วเป็นตัวที่ ๘ เข้ามาที่ปะรำ และเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่มาเข้าฝันบอกว่า “ลูกมันจะมางานศพ แต่ตกลงไปในบ่อ ให้ไปช่วยที” จึงได้ไปยังสถานที่ซึ่งหลวงปู่เข้าฝันบอก ก็พบเต่าตัวนี้ตกอยู่ในบ่อขึ้นไม่ได้ จึงได้ช่วยพามา ครั้นเมื่อวางลง เต่าตัวสุดท้ายนี้ก็คลานขึ้นบันได ไปรวมกับตัวอื่นๆหน้าโลงศพ
รวมจำนวนเต่าทั้งหมด มีตัวหัวหน้ามาก่อน ๑ ตัว มาสมทบภายหลังอีก ๗ ตัว และที่หลวงปู่เข้าฝันให้ไปช่วยอีก ๑ ตัว รวมเป็น ๙ ตัว
ด้วยเหตุที่เต่ามาครั้งแรก ๑ ตัว และเพิ่มมาอีก ๘ ตัว พวกนักเลงหวยจึงพากันไปคิดตีออกมาเป็นตัวเลขต่างๆกัน บางคนก็วิ่งเลข ๙ ตัวเดียว แต่ส่วนใหญ่จะตีออกมาเป็น ๑๘ และกลับเป็น ๘๑
จะว่าฟลุ๊กหรืออะไรก็ตาม ปรากฏว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๖ ออกมาเป็น ๘๑ ครับ
หลังจากถูกหวยร่ำรวยกันไปแล้ว ผมรู้สึกว่าผู้คนจะพิศวาสเต่ากันมากจนอยู่ไม่เป็นปกติสุข บางคนก็จ้องจะให้เห็นตัวเลขที่กระดองเต่าให้ได้ ผมกับ พ.ต.อ.ธีระวุฒ บุตรศรีภูมิ ผู้กำกับตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรในสมัยนั้น จึงตัดปัญหาโดยช่วยกันเอาไปปล่อยในคลองท่าตะเภา หลังวัดศาลาลอยตามเดิม”
ภาพประกอบในเรื่องนี้ เป็นภาพนายเสน่ห์ วัฑฒนาธร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กำลังก้มดูเต่าที่ขึ้นอยู่บนหน้าที่ตั้งศพหลวงปู่ แต่ผู้เขียนเคยเห็นภาพที่ท่านรองปลัดยืนอยู่ที่ขั้นบันได และก้มดูเต่ากำลังไต่ขึ้นบันไดอย่างใกล้ชิด เสียดายที่เก็บภาพนี้ไว้แล้วหายไป ใครมีช่วยเอามาอวดกันหน่อย
เรื่องชื่อของหลวงปู่ ส่วนใหญ่จะเขียนกันว่า “หลวงปู่สงฆ์” ร.ต.พิมล สุวรรณสุภาได้เล่าถึงการทำเหรียญหลวงปู่แจกในงานกฐินครั้งนั้น ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นสุดท้ายไว้ว่า
“สำหรับเหรียญรุ่นนี้แปลกไปจากรุ่นอื่นอยู่ ๒ ประการ คือ ชื่อหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่สั่งให้ใช้ “สงค์” ค.ควายการันต์ ไม่ใช่ สงฆ์ ฆ.ระฆังการันต์ โดยหลวงปู่บอกว่า คำว่าสงฆ์หมายถึงพระสงฆ์ ไม่มีใครเขาเอามาตั้งชื่อคนธรรมดากันหรอก ส่วนอีกประการหนึ่ง ท่านให้ใช้ “ร.ศ.” รวมกับ “พ.ศ.” โดยให้เหตุผลว่า เราอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ จึงต้องใช้ ร.ศ.ด้วย...”
นี่ก็เป็นมิติลี้ลับ ความมหัศจรรย์เหลือเชื่อที่น่าเชื่อเรื่องหนึ่ง ตัวบุคคลในเรื่องล้วนแต่เป็นระดับที่คงไม่ยอมมาเป็นตัวละครจัดฉากหลอกลวงให้คนลุ่มหลงเป็นแน่ และเกิดขึ้นต่อหน้าคนจำนวนมาก อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ สัตว์กับคนนั้นแม้จะสื่อสารกันทางภาษาไม่ได้ แต่ก็น่าจะมีญาณอย่างหนึ่งที่ส่งถึงกันได้ หลายคนก็คงมีประสบการเกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้าง