xs
xsm
sm
md
lg

กรุงเทพฯเมื่อ ๒๔๐ ปีก่อน เป็นทุ่งหญ้าป่าละเมาะที่คล้องช้าง! จาก “ทะเลตม” มาเป็นมหานครของโลก!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค



ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรจะมีความรุ่งเรืองในการเป็นตลาดการค้า แต่ใต้กรุงศรีอยุธยาลงมาถึงเมืองบางกอก ด้านฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาไปจนถึงแม่น้ำนครนายก ภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มมีหนองบึง ป่าละเมาะ และทุ่งหญ้าสลับกัน จัดอยู่ในประเภท “ป่าบึง” (Swamp forest) อยู่เหนือระดับน้ำทะเล ๑-๒ เมตร เรียกกันว่า “ทุ่งหลวง”
 
ในฤดูน้ำเหนือหลาก น้ำจะท่วมทุ่งแห่งนี้ปีละ ๓-๔ เดือน และขังอยู่ตามหนองบึง แต่ก็ยังมีที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึงกระจายอยู่ทั่วไป เป็นแหล่งธรรมชาติที่มีลักษณะเฉพาะของประเทศ เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าหลายชนิด ทั้งเสือ ช้าง กระทิง เก้ง กวาง และเนื้อสมัน กวางเขางามที่สุด ซึ่งเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น มีอยู่ในย่านนี้แห่งเดียวในโลก และเป็นที่อยู่ของนกน้ำนานาชนิด ช้างจากดงพญาไฟและเขาใหญ่ก็ลงมาหากินถึงที่นี่ ย่านนี้จึงเป็นที่คล้องช้างด้วย แต่ไม่มีผู้คนเข้าไปอยู่อาศัยนอกจากชายขอบ
 
ในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อแรกสถาปนานั้น ผู้คนต่างอดอยากยากแค้นเพราะต้องหนีพม่าเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่าไม่มีเวลาทำมาหากิน ต่างกลับออกมาในสภาพอิดโรย สมเด็จพระเจ้าตากสินต้องเร่งหาอาหารมาเลี้ยงกองทัพและเลี้ยงประชาชน โดยเกณฑ์ขุนนางข้าราชการนำคนออกไปทำนา เจ้าพระยาจักรีซึ่งต่อมาก็คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจ้าพระยาสุรสีห์ หรือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในรัชกาลที่ ๑ ก็คุมไพร่พลมาทำนานอกคูเมืองฝั่งตะวันออกที่เรียกว่า “ทะเลตม”
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อย้ายพระนครจากกรุงธนบุรีข้ามมาอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ผู้คนเข้ามาอยู่บางกอกฝั่งตะวันออกกันมากขึ้น และเนื่องจากแผ่นดินมีความอุดมสมบูรณ์และชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ เหมาะแก่การทำนา รัฐบาลจึงสนับสนุนให้บุกเบิกที่ดินอย่างเต็มที่เพื่อปลูกข้าว

ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ถ้าใครต้องการครอบครองที่ดินทำกินตรงไหน เพียงแต่ไปแจ้งทางการก็จะออกหนังสือรับรองให้ทันที โดยมีประกาศว่า

“...ถ้าหัวเมืองให้ราษฎรบอกแก่ยกกระบัตรแลเสนาแล้ว ให้ไปบอกกรมนาเอาตราจอง ถ้ากรุงเทพฯให้มาบอกกรมนาปิดตราจอง จะได้เอาบัญชีมาไว้...”

แค่นี้ก็ได้ที่ทำกินแล้ว ที่ให้มาแจ้งก็เพื่อจะได้รู้ว่ามีคนมาจองไว้แล้ว ไม่ต้องไปทะเลาะกัน
แต่ถ้าใครจองที่ดินมากันท่าไว้แล้วไม่ทำประโยชน์ รัฐจะไม่ยอมให้เสียไปเปล่าๆ ประกาศว่า

“...ถ้าข้าหลวงกรมการผู้กำกับรังวัดนา ได้มีโฉนดตราแดงแล้วนั้น ถ้าไม่ทำนานั้นต่อไป ก็ให้เอานานั้นมอบเวนคืนแก่กำนันเสนา ให้บอกกรมการนากรุงฯ เมื่อเทศกาลทำนาจะได้ให้ผู้อื่นทำต่อไป อย่าให้หวงแหนนาไว้ให้รกร้างเป็นอันขาดทีเดียว”
 
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อมีการขุดคลองแสนแสบต่อจากคลองตัน ผ่าทุ่งหลวงไปเชื่อมแม่น้ำบางปะกงที่เมืองฉะเชิงเทรา ทำให้มีผู้คนอพยพไปอยู่ตามแนวชายคลอง บุกเบิกทุ่งหลวงไปตามลำคลอง ขยายพื้นที่ทำการเกษตรออกไปอีก

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงเปิดประเทศทำการค้ากับประเทศตะวันตก ทำให้ข้าวไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลกจนไม่พอขาย รัฐบาลจึงสนับสนุนให้ประชาชนหักร้างถางพงเป็นนาข้าว บริเวณทุ่งหลวงซึ่งเป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การทำนา จึงถูกบุกเบิกจนเนื้อสมันกวางเขางามไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องสูญพันธุ์ไปจากโลก

สมัยรัชกาลที่ ๕ โครงการขุดคลองรังสิตเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำนครนายก แยก ๒ ข้างคลองออกเป็นคลองย่อยข้างละ ๑๕ คลอง จัดสรรที่ดินเป็นแปลงๆเพื่อการเกษตร ให้คนจ่ายเงินที่เรียกว่า “คนช่วยค่าขุดคลอง” ได้เข้าทำกิน โดยไม่ต้องใช้เงินหลวงขุด ทำให้ทุ่งหลวงกลายเป็นพื้นที่การเกษตรใหญ่ของประเทศ

คนยุโรปที่เข้ามาในยุคนั้น ต่างตื่นตาตื่นใจกับความอุดมสมบูรณ์ของกรุงสยามอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

จอห์น ครอว์เฟิร์ด ซึ่งเป็นทูตอังกฤษจากอินเดียเข้ามาเจรจาการค้าในรัชกาลที่ ๒ และอยู่ในเมืองไทย ๔ เดือน ได้กลับไปเขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่ง กล่าวว่า

“อาณาจักรสยาม...มีดินและการเพาะปลูกนานาชนิด ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงไม่ผิดที่จะกล่าวว่า ไม่มีประเทศใดในโลกนี้ที่จะอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ เพราะไม่แต่จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ พืชพันธุ์ธัญญาหาร และปศุสัตว์นานาชนิด ยังอุดมไปด้วยผลิตผลที่จะกระตุ้นให้มีการค้าพาณิชย์เกิดขึ้น และเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศที่จะเข้าไปพำนักอาศัย...”
 
ส่วนบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ ซึ่งเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ ๓ และอยู่ในเมืองไทย ๒๐ ปีจนมรณภาพ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยไว้เล่มใหญ่ กล่าวว่า

“...ในโลกนี้ยังมีประเทศใดบ้างที่มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าสยามหรือหาไม่ โคลนตมของแม่น้ำ (เจ้าพระยา) ได้ทำให้แผ่นดินมีความอุดมไปด้วยปุ๋ยอยู่ทุกปี โดยแทบจะไม่ต้องบำรุงผืนดินเลย ก็ได้ต้นข้าวกอใหญ่อันมีรสดีวิเศษ ซึ่งไม่แต่พอเลี้ยงประชาชนพลเมืองเท่านั้น ยังส่งออกไปขายยังเมืองจีนและที่อื่นๆได้อีก...”

เมื่อแผ่นดินมีความอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองก็มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว มีถนนมีสะพานในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีรถยนต์รถไฟ มีไฟฟ้าใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และยังริเริ่มใช้รถไฟฟ้าเป็นรถโดยสาร
 
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำชาติรอดพ้นจากยุคล่าอาณานิคมมาได้ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้มีสายพระเนตรอันยาวไกล ก็พาประเทศก้าวขึ้นสู่เวทีโลก เคียงบ่าเคียงไหล่กับมหาอำนาจทั้งหลาย ด้วยการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑ ปลดแอกจากสัญญาเสียเปรียบต่างๆ ที่ต้องจำใจต้องทำไว้เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาในสมัยล่าอาณานิคมได้ทั้งหมด

ในสมัยที่ผู้เขียนเป็นวัยรุ่น คนที่ไปเมืองนอกกลับมาเล่าว่า ที่นั่นมีถนนให้รถยนต์ขึ้นไปวิ่งอยู่บนหลังคาตึกได้ คนฟังไม่ค่อยยอมเชื่อ ถึงเชื่อก็นึกภาพไม่ออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ทำไม่ไม่วิ่งบนพื้นดิน อุตริขึ้นไปวิ่งข้ามตึกทำไม เหมือนในสมัยรัชกาลที่ ๕ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีร่วมคณะราชทูตไทยไปเจรจาความที่อังกฤษ กลับมาเล่าว่า ที่นั่นม้าวิ่งในน้ำได้ หลังคาบ้านที่นั่นก็เป็น “หลังคาตัด” ไม่แหลมสูงเทน้ำฝนเหมือนหลังคาบ้านเรา คนก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่ในปี ๒๕๒๔ เราก็มีถนนลอยฟ้าสายแรก ดินแดง-ท่าเรือ ให้รถขึ้นไปวิ่งอยู่สูงกว่าหลังคาตึกได้ ถึงวันนี้ก็มีรถรางไฟฟ้าขึ้นไปวิ่งขวักไขว่ไปหมดยังกับเส้นเลือดของกรุงเทพฯ
กรุงเทพฯในสมัยรัชกาลที่ ๙ รุ่งเรืองขึ้นจนติดอันดับเป็นมหานครแห่งหนึ่งของโลก ในสมัยก่อนถ้าใครเอากรุงเทพฯไปเทียบกรุงลอนดอน ปารีส หรือนิวยอร์ค ก็คงเป็นได้แค่เรื่องโจ๊กที่เอากระท่อมไปเทียบตึก แต่ขอโทษที ตอนนี้กรุงเทพฯถูกสื่อฝรั่งเองยกย่องว่าเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวและน่าอยู่ที่สุดในโลก เฉือนมหานครดังๆของโลกติดต่อกันมาหลายปีแล้ว แต่ที่กรุงเทพฯได้รับยกย่องเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะเรามีตึกใหญ่กว่าทุกเมือง แต่เพราะวัฒนธรรมของเราเป็นสิ่งสวยงามประทับใจคนทั่วโลก นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใส เอื้อเฟื้อมีไมตรีกับคนทั่วไปแล้ว ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารรสเลิศ มีศิลปะในการปรุง และยังมีคุณค่าของสมุนไพร สถาปัตยกรรมของไทยก็งดงามสะดุดตาด้วยศิลปะที่ไม่มีที่ใดเหมือน โดยเฉพาะ “ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ” ที่บรรพบุรุษสอนไว้ซึ่งหาที่เมืองไหนได้ยาก
 
วันที่ ๒๑ เมษายนนี้ กรุงเทพฯมีอายุครบ ๒๔๐ปีแล้ว เมืองหลวงที่ชื่อยาวที่สุดในโลก คือ
 
“กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศมหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์”
 
ได้เป็นไปตามชื่อที่พระราชทานไว้ทุกอย่าง คือ
กรุงเทพมหานคร : พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร
อมรรัตนโกสินทร์ : เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต
มหินทรายุธยา : เป็นนครที่ไม่มีใครรบชนะ
มหาดิลกภพ : มีความงามอันมั่งคงและเจริญยิ่ง
นพรัตน์ราชธานีบูรีรมย์ : เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการน่ารื่นรมย์ยิ่ง
อุดมราชนิเวศมหาสถาน : มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย
อมรพิมานอวตารสถิต : เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา
สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ : ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้ พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้

จาก “ทะเลตม” มาเป็นมหานครในวันนี้ ก็ด้วยบรรพบุรุษได้ใช้สติปัญญาและความอุสาหะสร้างไว้ให้เป็นมรดกอันมีคุณค่า จงช่วยกันรักษาไว้ด้วยความภาคภูมิ ถ้าคิดจะ ลบ ล้าง ปฏิรูป สิ่งใด ก็จงศึกษาให้ดีเสียก่อน ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำลายนั้นมีคุณค่าแค่ไหน อย่าไร้ภูมิปัญญาเหมือนวานรได้แก้ว




กำลังโหลดความคิดเห็น