xs
xsm
sm
md
lg

หมอเหรียญทองเอือม แม่ใจยักษ์คลอดแล้วหนี วอนติดต่อกลับโรงพยาบาลด้วย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะประกาศวอนคนไข้คลอดลูกแล้วทิ้งไว้หายไปติดต่อกลับด่วน หลังพบคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย ต้องรักษาในตู้อบหลายเดือน พบก่อนหน้านี้เคยทิ้งศพทารกเมื่อ 2 ปีก่อน

วันนี้ (4 เม.ย.) พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า มีผู้ป่วยรายหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ-นามสกุล) ได้มาคลอดบุตรโดยใช้สิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2565 แล้วทิ้งบุตรของตนเองให้กลายเป็นภาระกับทางโรงพยาบาล จึงประกาศแจ้งให้ผู้ป่วยติดต่อโรงพยาบาลโดยด่วนที่สุด ทางโรงพยาบาลได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานกับ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อให้โรงพยาบาลเตรียมการติดต่อกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ในการรับบุตรของผู้ป่วยไปดูแลต่อหลังออกจากโรงพยาบาล

ทั้งนี้ ทารกที่เกิดจากผู้ป่วยรายนี้เป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนด อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ มีน้ำหนักตัวน้อย 970 กรัม ต้องรักษาตัวในห้องไอซียูทารกแรกเกิด และรักษาตัวนานหลายเดือนในตู้อบทารกแรกเกิด ทั้งยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจสำหรับทารกแรกเกิดแบบความถี่สูง จึงเป็นกรณีโรคร้ายแรงที่มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นผมจึงอนุมัติสั่งจ่ายเงินจากมูลนิธิโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เพื่อผู้ป่วยโรคร้ายแรง เพื่อใช้ในรายการที่สิทธิบัตรทองไม่ครอบคลุม

ผู้มีจิตศรัทธาต้องการบริจาคสิ่งของที่จำเป็นสำหรับทารกรายนี้ ได้แก่ อาหารสำหรับทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,800 กรัม, ผ้าอ้อมสำหรับทารกแรกเกิด, ที่เช็ดก้น ฯลฯ สามารถติดต่อโดยตรงที่ห้องไอซียู ทารกแรกเกิด โทร. 0-2574-5000 ต่อ 1021 หรือ 1022 ไม่รับบริจาคเป็นเงิน แต่หากต้องการบริจาคเงิน ติดต่อโดยตรงกับมูลนิธิโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เพื่อผู้ป่วยโรคร้ายแรง ณ สำนักงานมูลนิธิ ชั้น 8 โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โทร. 0-2574-5000 ต่อ 8800

นพ.เหรียญทองกล่าวอีกว่า ผู้ป่วยรายนี้เป็นชาวแขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เคยมีประวัติทิ้งศพบุตรของตนเองซึ่งเป็นทารกไว้กับโรงพยาบาลจนเป็นภาระเมื่อ 2 ปีก่อน ระหว่างวันที่ 12-18 ก.ย. 2563 จนทางโรงพยาบาลต้องแจ้งความไว้เป็นหลักฐานต่อ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อให้ทางโรงพยาบาลสามารถจัดการศพทารกได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยจะทิ้งบุตรคนนี้ให้เป็นภาระแก่โรงพยาบาลอีกครั้ง

อ่านโพสต์ต้นฉบับ คลิกที่นี่ 



กำลังโหลดความคิดเห็น