xs
xsm
sm
md
lg

ข้อโต้แย้งจากคราฟท์เบียร์ กม.ห้ามโฆษณา ปกป้องเด็กจากเหล้าหรือสร้างธุรกิจผูกขาด?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข้อโต้แย้งจากคราฟท์เบียร์ “กฎหมายห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วยปกป้องเด็กจากเหล้า หรือเป็นเพียงเครื่องมือสร้างธุรกิจผูกขาด”

รายงานพิเศษ

“พวกเรามักจะตกเป็นเหยื่อของจริยธรรมชั้นสูงเสมอ จริยธรรมที่นำเด็ก เยาวชน มากล่าวอ้าง ฟังดูเหมือนจะเป็นเสียงของมนุษย์ที่ประเสริฐ แต่ก็ไม่เห็นทำได้ตามเป้าหมาย ดังนั้นถ้าจะอ้างว่า การห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีเป้าหมายเพื่อปกป้องเยาวชน ก็ต้องเอาผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้กฎหมายนี้ออกมาแสดงให้ดูหน่อยว่า มันปกป้องเยาวชนได้ตามที่อ้างไว้หรือไม่ เพราะมันต้องแลกด้วยการทำลายความฝันของคนในธุรกิจนี้มากมาย พวกเขาทำไม่ได้ เติบโตไม่ได้ ทั้งที่คนไทยมากมายมีความสามารถที่จะโตในธุรกิจนี้ นั่นคิดเป็นราคาค่าเสียโอกาสเท่าไหร่ ที่ประเทศนี้ต้องเสียไป”

ในฐานะคนทำธุรกิจเบียร์คราฟท์ฝีปากกล้า “วิชิต ซ้ายเกล้า” เจ้าของแบรนด์ “ชิตเบียร์” ให้ความเห็นวิจารณ์กรณีที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สั่งให้ตรวจสอบเพจ Blackpink Thailand ที่แชร์ภาพ “ลิซ่า ลลิสา มโนบาล” ศิลปินชาวไทยพร้อมวิสกี้ดังยี่ห้อหนึ่งลงในโลกออนไลน์ เพราะถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 32 ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนว่า

“ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใดๆโดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ให้กระทำได้แต่เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่ปรากฏภาพของสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ของ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น”

วิชิต เห็นว่า นั่นเป็นเพียงหนึ่งในปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้กฎหมายอย่างไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมปัจจุบัน ซึ่งโดยปกติ กลุ่มประชาชนที่ผลิตคราฟท์เบียร์ด้วยตัวเอง ได้รับผลกระทบกันมามากแล้ว ตัวเขาเองก็เคยถูกจับเพราะโพสต์เล่าเรื่องราวการทำเบียร์ของเขาเองลงในบัญชีเฟซบุ๊กของเขาเอง

โดยผลกระทบที่หนักหนาที่สุดของกลุ่มผู้ทำคราฟท์เบียร์ ก็คือ กฎหมายนี้ทำให้พวกเขาไม่เหลือช่องทางใดๆ เลยที่จะแนะนำให้ลูกกค้าได้รู้จักกับผลิตภัณฑ์ แต่ผู้ค้ารายใหญ่ที่อยู่ในธุรกิจนี้มายาวนาน กลับได้รับผลกระทบจากกฎหมายนี้น้อยกว่า

“มันชัดเจนว่า คนที่มาก่อน อยู่มานานหลายสิบปี คนทั่วไปรู้จักเขาอยู่แล้ว เขาก็มีแต้มต่อไปมากแล้ว ในขณะที่พวกเราคราฟท์เบียร์ คือคนเริ่มกันใหม่ ทำใหม่ เราก็ต้องพยายามเล่าสตอรี่ของผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อแนะนำให้ลูกค้าได้รู้จัก แต่กลับไม่มีช่องทางให้ทำได้ ดังนั้นคนที่อยู่ในวงการมาก่อน เขาก็แค่รักษาแต้มต่อตรงนี้ไว้ให้ได้ก็พอแล้ว”

“มองมาอีกขั้นหนึ่ง แบรนด์เครื่องดื่มที่อยู่มาก่อน เขายังสามารถใช้ความได้เปรียบ ด้วยการพลิกแพลงไปโฆษณาผลิตภัณฑ์อื่น อย่างน้ำดื่ม โซดา ที่ใช้แบรนด์เดียวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้เลย เขาก็ไปออกแบบโฆษณามา เช่น นัดรวมตัวกันไปดื่มโซดาก็ได้ ขายแม่เหล็กติดตู้เย็นก็ได้ หรือแม้แต่ไปผูกไว้กับวงการกีฬาก็ได้”

“ซึ่งจริงๆ แล้ว เราไม่มีปัญหากับวิธีการโฆษณาของผู้ผลิตรายใหญ่เลยนะ เพียงแต่เราแค่ขอความแฟร์ คือ ให้พวกเราได้มีเสรีภาพในการพูดถึงสินค้าของเราบ้าง เพราะเราไม่มีช่องทางพูดเลย ผู้ผลิตรายย่อยไม่มีผลิตภัณฑ์อื่นที่จะพลิกแพลงไปโฆษณาแบรนด์ได้ หรือบางคนอาจจะมีก็ไม่ใช่แบรนด์ที่แข็งแรงพอ เมื่อพวกเราแนะนำสินค้าไม่ได้ แบรนด์ที่ทำมาก็ไม่เป็นที่รู้จัก สิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงการขายหน้าร้าน โดยให้พนักงานที่บาร์เป็นผู้แนะนำกับลูกค้าว่าเบียร์แต่ละยี่ห้อมีรสมีกลิ่นเป็นยังไง ทำได้เพียงเท่านั้น”


แม้แต่การค้าขายในระบบอี-คอมเมิร์ช ซึ่งเป็นช่องทางค้าขายออนไลน์สำหรับธุรกิจอื่นๆ ก็ไม่ใช่หนทางที่ดีนักสำหรับธุรกิจคราฟท์เบียร์ วิชิต บอกว่า มาตรา 32 ของพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังตีความครอบคลุมไปถึงการให้ข้อมูลของสินค้าไปยังกลุ่มลูกค้าโดยตรงอีกด้วย

“ไม่ต้องโพสต์สาธารณะหรอกครับ พวกเราแนะนำสินค้าไปที่ลูกค้าโดยตรงก็มีโดนจับมาแล้ว ถ้ามีคนไปแจ้งจับ เหมือนเขาแยกไม่ออกระหว่างการโพสต์กับการโฆษณา เราแค่อ้าปากตะโกนอยู่ในบ้านของเรา อยู่ในพื้นที่ของเรา ไม่ได้จ่ายค่าโปรโมทเพื่อเพิ่มการมองเห็นด้วยนะ แพลตฟอร์มที่เราใช้ก็ไม่ใช่ของรัฐ ทำไมถึงยังทำไม่ได้ ... ถ้าพวกเราไปโฆษณาขายเบียร์ในงานวัดก็ว่าไปอย่าง”

เพื่อต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เมื่อไม่มีช่องทางในการแนะนำสินค้าของกลุ่ม “คราฟท์เบียร์” อยู่เลย แล้วพวกเขาจะทำให้คนทั่วไปรู้จักผลิตภัณฑ์ของพวกเขาได้ยังไง วิชิต เปิดเผยว่า มีอยู่วิธีการเดียว ...

“ก็โพสต์ไปเลยครับทางออนไลน์ ไม่ต้องไปสนใจ ผมก็บอกน้องๆ ที่เข้ามาในวงการคราฟท์เบียร์ว่า ถ้าเบียร์ตัวไหนโดนแจ้งจับ แปลว่า เบียร์ของคุณไม่ธรรมดาแล้ว แปลว่าเป็นเบียร์ที่เริ่มได้รับความนิยมแล้ว ก็ยอมเสียค่าปรับไป แล้วมาดูกันต่อว่าจะขายสินค้าตัวนี้ต่อไปยังไงไม่ให้ถูกจับอีก เพราะมันเป็นที่รู้จักไปแล้ว”

วิชิต ยืนยันว่า กลุ่มคนที่ทำคราฟท์เบียร์ ไม่ใช่กลุ่มคนที่ต้องการละเมิดกฎหมาย สินค้าที่พวกเขาทำขึ้นมาเกิดจากความรัก ความชอบ ความฝัน และเป็นความหวังในการทำธุรกิจ ไม่ใช่สิ่งที่จะนำมามอมเมาเด็กและเยาวชน เขาเห็นว่า วิธีการที่ถูกต้องในการป้องกันเด็กและเยาวชนจากของมึนเมา คือการบังคับใช้กฎหมายอื่นที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่การห้ามโฆษณาสินค้า


“กติกามันมีอยู่แล้วนะครับ ไม่ขายเหล้า-เบียร์ให้เด็กอายุต่ำหว่า 18 ปี เยาวชนเข้าผับ-บาร์ก็ไม่ได้ ทางที่ดีมันก็ควรบังคับใช้กฎหมายพวกนี้อย่างจริงจัง เช่น ถ้าพบผับที่ปล่อยให้เด็กอายุไม่ถึงเข้าไปใช้บริการ ก็ต้องลงโทษสถานหนัก ปิดร้านยาวไปเลย ยึดใบอนุญาต ดำเนินคดี โดยไม่สนใจว่าเจ้าของร้านเป็นใคร มียศ มีตำแหน่งอะไร ถ้าทำแบบนี้ได้ เด็กที่ยังไม่ควรเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็เข้าถึงไม่ได้ รัฐก็จะทำให้สาธารณชนเชื่อใจได้ว่า จะไม่ปล่อยปละละเลยให้มีร้านที่ขายเหล้าให้เด็กได้”

“แต่การห้ามโฆษณา คุณคิดดูนะ สมมติว่าคุณอายุ 40 กว่าแล้ว คุณมีสิทธิที่จะเลือกดื่มเครื่องดื่มอะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่คุณกลับไม่เคยได้รู้จักเครื่องดื่มที่ผลิตออกมาใหม่ๆ เลย เพราะผู้ผลิตเขาไม่รู้จะทำให้คุณรู้จักสินค้าของเขาได้ยังไง แบบนี้มันถูกต้องมั้ย”

ผู้คร่ำหวอดในวงการคราฟท์เบียร์รายนี้ ตั้งคำถามไว้อย่างน่าคิดว่า เมื่อข้ออ้างในการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮฮล์ คือ เรื่องการปกป้องเด็กและเยาวชนจากของมึนเมา แล้วผลลัพธ์ของการห้ามโฆษณาเคยถูกนำเสนอออกมาหรือไม่ ว่าได้ผลเป็นอย่างไร หารห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีผลทำให้เด็กๆไม่สนใจดื่มเลยเมื่อโตขึ้นจริงหรือไม่

“คนที่อ้างแบบนี้ กำลังคิดแทนคนอื่นด้วยเจตนาที่ดี หรือเป็นร่างทรงของวาระซ่อนเร้นอื่นที่ใหญ่กว่ากันแน่” วิชิต ทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น