xs
xsm
sm
md
lg

‘เทเหล็ก เทเหล็กซ์’ เศร้าบ้าง เสียใจบ้าง แต่ก็ยังพร้อมจะมูฟออน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถ้าให้แนะนำพวกเขาอย่างเร็วๆ
วงเทเหล็ก เทเหล็กซ์ (Telex Telexs)
จากสังกัดเวย์เฟอร์เรคคอร์ดส ในเครือวอร์นเนอร์ มิวสิค ไทยแลนด์ ที่มี ออม-สรรัตน์ ลิมปะนพรัตน์
(ร้องนำ), ปิ้ว-กษิเดช ฤทธิ์งาม (ซินธิไซเซอร์) และ นาว-คิรากร
อิงควราภรณ์กุล (กีต้าร์,คีย์บอร์ด)
ที่ผ่านการมีผลงานมาพอสมควร ในช่วงระยะเวลา 6 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
โดยมีซิงเกิลอย่าง‘เรือใบ’ ซึ่งเป็นซิงเกิลที่ทำให้นักฟังเพลงทั้งหลายได้รู้จักกับพวกเขา
ซึ่งถึงแม้ว่าเนื้อหาที่นำเสนอจากการสร้างสรรค์ของวง อาจจะมีความเศร้าแฝงอยู่บ้าง
แต่มันก็ไม่ได้ฟูมฟายขนาดนั้น
เพราะอีกมุมก็หนึ่งก็พร้อมที่จะมูฟออนเพื่อที่จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน

อยากให้ทางวงช่วยเล่าถึงซิงเกิลล่าสุด ‘mi ami ?’ มาแบบพอสังเขปหน่อยครับ

ออม : ซิงเกิลไหมjล่าสุดของพวกเรานะคะ ก็ชื่อว่า ‘mi ami ?’ ซึ่งจริงๆ แล้วการทำงานในซิงเกิลนี้ก็ยังเหมือนเดิมค่ะ ปิ้วเป็นคนขึ้นเพลง แล้วก็แต่งเนื้อร้องกับทำนองมา จากนั้นก็เอามาให้ออมและนาวฟัง จากนั้นก็มาช่วยกันเกลี่ย แล้วก็เข้าห้องอัด ซึ่งก็เหมือนกับการทำงานในซิงเกิลที่ผ่านๆ มา อยู่แล้วค่ะ

ปิ้ว : ส่วนคอนเซปต์ในซิงเกิลนี้ ก็จตะเป็นประมาณว่า เราเขียนเนื้อมา และเป็นท่อนฮุคของเพลง แล้วก็รู้สึกว่า เพลงมันน่าจะทำพอะไรได้ต่อ ก็เลยรู้สึกว่า ในเพลงมันดูเล่าว่า คุณรักฉันมั้ย ซึ่งซิงเกิลนี้ ก็ได้พี่นิค วง Temp (ธาฤทธิ์ เจียรกุล) มาช่วยเขียนเนื้อร้องด้วย จนเราเขียนเนื้อร้องเสร็จ ก็ส่งให้ทั้งออม และ นาว ฟัง จากนั้นก็ได้พี่ปกป้อง จิตดี มาช่วยในเรื่องดนตรีเหมือนเดิมครับ ส่วนเนื้อหาก็จะเป็นประมาณว่า คุณรักฉันมั้ย do you love me ? ซึ่งชื่อเพลงก็เป็นภาษาอิตาเลียน ที่แปลว่า คุณรักฉันมั้ย อย่างที่บอก ซึ่งเราก็รู้สึกว่า ประโยคนี้ มันดูเท่ มันดูมีพลังของคำดี ก็เลยเอาประโยคนี้ มาเป็นชื่อซิงเกิลล่าสุดของพวกเราครับ

ในการทำงานซิงเกิลนี้ มีรความยาก-ง่าย หรือ แตกต่างจากซิงเกิลที่ผ่านมายังไงบ้าง

ปิ้ว : สำหรับซิงเกิลนี้ มันก็ยังคล้ายๆ เดืมครับ ขั้นตอนการทำงานก็ยังเหมือนเดิม เพียงแต่ว่า ซิงเกิลนี้มีความพิเศษก็คือ เราได้เข้าห้องอัดที่ใหญ่ขึ้น นั่นคือ Studio 28 ก็รู้สึกว่ามันเป็นการทำงานที่แปลกใหม่ดีสำหรับพวกเรา

ออม : ตอนที่ไปอัดซิงเกิลนี้ที่สตูดิโอ จะเป็นการบันทึกเสียงในการร้อง ส่วนในเรื่องของพาร์ทดนตรีนั้น พวกเราก็ได้ทำการบันทึกเรียบร้อยแล้วประมาณนึง ถ้าถามเราที่อยู่ในซีนตรงนั้นเลย ก็มีความตื่นจเต้นนะคะ บรรยากาศมันไม่ได้แบบสบายๆ เหมือนกับอยู่บ้าน ก็สนุกดีค่ะ ไม่ได้ตื่นเต้นแบบมีความกังวล แต่มีความสนุก

แต่การทำงานในซิงเกิลนี้ ก็อยู่ในช่วงวิกฤติโควิดในปลายปีที่ผ่านมาด้วย มีความยากจากที่ผ่านมายังไงบ้างครับ

ออม : ถามว่ามันยากยังไง จริงๆ ในช่วงต้นปีก่อน เราปล่อยอัลบั้มเต็มชุดใหม่ แต่ด้วยสถานการณ์ เพลงมันเลยไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ เราเลยมานั่งคิดกันว่า ในช่วงปีนี้ (2564) จะปล่อยอีกซิงเกิลดีมั้ย เพราะมันยังอยู่ในช่วงสถานการณ์แบบดีขึ้นอะไรขนาดนั้น แต่ก็กลัวทุกคนคิดถึงและกลัวทุกคนลืม (หัวเราะเบาๆ) ก็เลยนทำเพลงนี้ขึ้นมา เพื่อที่ว่า อย่างน้อยๆ นอกจากอัลบั้มเต็มที่ปล้อยออกมาแล้วอย่างที่บอก ช่วงปลายปีก็มีของขวัญปีใหม่ให้กับทุกคนด้วยเป็นซิงเกิลนี้


จากที่ออมว่า คล้ายกับว่าทางวงเหมือนถูกทดสอบไปในตัวด้วยมั้ย

ออม : เราว่ามันเป็นบททดสอบกำลังใจมากกว่า (หัวเราะเบาๆ) คือเราวย่า ไม่ใช่แค่พวกเราหรอกเนอะ ที่มคว่ามันรู้สึกว่ามันหมดไฟ พวกเราก็ยังมีช่องทางออนไลน์กันอยู่ทุกคน เราก็จะเห็นนอกจากที่ไม่ใช่ศิลปินกลุ่มเดียว แต่ทุกสายงานทุกอาชีพ ก็มีความทุกข์กับตรงนี้หมด เพราะว่าทุกอย่างมันเหมือนโดนแช่แข็งตรงนี้ไว้ว่า ไม่รู้จะมีการทำงานกันยังไง แล้วยิ่งเป็นวงการบันเทิงด้วย อะไรที่มันเป็นความ entertain ด้วย เมือนกับถูกแช่แข็งไว้หมดเลยอย่างที่บอก มันก็เป็นการทดสอบจิตใจละกันค่ะ ว่าถ้าเกิดเรามีความแข็งแกร่ง เราก็พอจะสร้างงานมาได้ ซึ่งเราก็ยังโชคึดีที่แบบมีทุกคนในวง ที่ยังอย่ากทำงานอยู่ เพราะเราเห็นบางคนที่แบบ ไม่เอาแล้ว เปลี่ยนงานไปเลยก็มีเยอะ ก็ให้กำลังใจเยอะๆ ค่ะ ซึ่งมันก็ยากนะ แต่อยู่กับมันมาก็ประมาณ 3 ปีแล้ว จริงๆ ก็ยังปลวงไม่ได้ แต่ก็ต้องปรับตัวให้ได้ละกันค่ะ

นาว : ตอนนี้ก็ต้องชินเข้าไว้ครับ ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน แต่ต้องสู้ครับ ก็ไม่ได้ติดขัดอะไรนะครับช่วงนั้น ยังต้องทำงานเหมือนเดิม แต่อาจจะต้องใส่แมส ดูแลตัวเอง หรือต้องตรวจก่อนที่จะไปทำงาน มีแค่นั้น แล้วการทำงานก็เหมือนเดิมละครับ

ออม : จริๆ การสร้างผลงานของวงเรา ก็ยังเหมือนเดิมค่ะ ขั้นตอนการทำงานก็ยังเหมือนเดิมอยู่แล้ว แต่เราว่าสิ่งที่ยาก คือ เราจะนำเสนอมันยังไงดีกว่า เพราะว่าโดยปกติวงเราก็เป็นในลักษณะ last concert อ่ะ พอหลายๆ อย่างมันไม่สามารถออกไปเล่นคอนเสิร์ตได้ ก็ต้องมรานั่งหาแนวทางใหม่ ว่าเราจะทำยังไงให้คนเข้าถึงเพลงของเราให้มากที่สุด

เรียกว่า โดยรวมคือ ค่อยๆ ปรับตัวตามสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาด้วยมั้ย


ออม : (นิ่งคิด) จริงๆ ทุกอย่างมันบังคับให้เราปรับตัวค่ะ ซึ่งถ้าเราไม่ปรับตัวตาม น่าตจะแบบว่า อยู่ยาก หรือ มีความวิตกกังวลมากกว่านี้

จากที่วงเคยบอกว่า เป็นวงดนตรีแนวทางเลือกให้กับผู้ฟัง นับตั้งแต่การทำงานตั้งแต่เริ่มวงมา เราได้นำเสนอได้อย่างเต็มที่หรือยัง


ปิ้ว : ก็มีความรู้สึกว่าเต็มที่นะครับ มันก็เหมือนกับการทดลองของเราด้วยน่ะครับ มีความสนุกไปกับมัน มีคนฟัง มีแฟนเพลงที่ติดตามผลงานของวงเรา ก็รู้สึกแฮปปี้แล้วครับ

ออม : ถ้าถามว่าเต็มที่รึยัง จริงๆ ก็เต็มที่ทุกครั้ง เวลาที่ปล่อยเพลงหรือผลงานออกมา จริงๆ แล้ว เราก็ยังรู้สึกดีใจทุกครั้งที่ปล่อยออกมา แล้วก็ยังมีคนที่รอฟังเราเสมอ ก็อยากบอกว่า ก็ยังเต็มที่อยู่ค่ะ (ยิ้ม)

นาว : เต็มที่อยู่แล้วครับ (ยิ้ม)


แต่การนำเสนอในผลงานในแบบซินธ์ป็อปที่เข้าถึงในยุคสมัยของคนฟังในตอนนี้มากกว่า ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ในเรื่องของผลงานด้วยประมาณนึงมั้ย

ออม : คือเราว่า เราไม่อยากจำกัดความแนวดนตรีของวงเราว่าเป็นซินธ์ป็อป อย่างเดียว แต่อย่างเราก็คือ ดนตรีแนวอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งเราอาจจะเริ่มด้วยแนวดนตรีที่เป็นอิเลคทรอนิกส์มากๆ แต่ในระยะหลังๆ มา เราอาจจะส่งอะไรที่มันสมจริง หรือความเป็น analog มากขึ้น จริงๆ แล้วเรามองว่า พวกเราก็เป็นวงัลเทอร์เนทีฟ ทางเลือกล่ะคะ แต่ถามว่าเป็นทางเลือกมั้ย คนส่วนมาก ก็อาจจะมองว่าเป็นทางเลือกแหละ เพราะว่า ศิลปินแบบเรา หรืออาจจะไม่ใช่แนวเพลงแบบเราก็ได้ ตนฟังอาจจะไม่ใคนฟังแบบหมู่มากขนาดนั้น มันก็เลยถูกมองว่า เป็นทางเลือก อะไรอย่างงี้ แต่ว่าการที่ดนตรีลักษณะทั้ง 2 แบบนี้ มันได้รับความนิยมในช่วงนี้ เพราะว่า เราแค่รู้สึกว่า ทำออกมาแล้วรู้สึกถึงความมีอิสระมากกว่า ส่วนกระบวนการความคิดนั้น ยังใช้สมองเยอะเหมือนเดิม แต่ส่วนใหญ่ก็ยังทำในคอมพิวเตอร์ได้ มันอาจจะไม่ต้องไปนั่งรวมกันในห้อง แบบร่วมกันขนาดนั้น ก็เลยมองว่ามันอาจจะเป็นหนทางที่ง่ายกว่าในการเริ่มต้น ขณะเดียวกัน ถ้าถามว่ามันเป็นผลพลอยได้มั้ย มันก็ไม่ขนาดนั้นนะคะ เพราะว่าทุกคนจะหาอะไรที่มันสะดวก

ปิ้ว : จริงๆ มันก็ไม่เชิงขนาดนั้นเลยทีเดียว เหมือนเราเป็นตัวของเราเองมากกว่า เราอยากทำอะไรก็ทำ ในแบบที่เราอยากทำ แล้วเพมิอนคนก็อยากจะรู้ว่าพวกเราเป็นยังไง ก็เลยสนใจพวกเรามั้งครับ แล้วก็คดว่าพวกเราน่าจะมีความพิเศษอะไรบางอย่าง ที่คนอยากจะค้นหาอะไรอย่างงั้นมากกว่า คือจริงๆ มันก็เป็นแนวดนตรีและไลฟ์สไตล์ที่มันลงตัว จนทุกคนสนใจและอยากรู้จักเราและฟังเพลงของพวกเรา ซึ่งพวกเราอาจจะมีความพิเศษอะไรบางอย่างอยู่ พอฟังแล้วมันจะมีเรื่องราวบางอย่างอยู่ในตัวของมัน แนวดนตรีที่ไม่ได้จำเจ มันมีอะไรที่แปลกใหม่อยู่เรื่อยๆ มันเหมือนกับหนังที่ทุกคนสามารถดูไปได้เริ่อยๆ ไม่จำเป็นแบบว่า ภาคนี้มีตัวละครนี้อีกแล้ว แต่มันจะมีตัวละครใหม่มากเรื่อยๆ ซึ่งบางทีมันอาจจะเยอะไปก็จริง แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ถ้าเป็นคนที่เป็นพระเอก หรือ คนดังจริงๆ มาอยู่ในเรื่อง

นาว : ในมุมผม คิดว่าไม่น่าเกี่ยวนะครับ อาจจะเกี่ยวกับแนวดนตรี อาจจะเป็นเนื้อหาของเพลงก็ได้ที่คนชอบ เพราะว่ามีความอยู่แล้วครับ

จากที่ออมว่ามาในเรื่องของการทดลอง เรียกว่ายุคนี้ เราหาองค์ประกอบได้ง่ายกว่ายุคสมัยก่อนหน้านี้ด้วยมั้ย


ออม : คือเรารู้สึกว่า การทำเพลงของพวกเรานับตั้งวแต่ต้น จนถึงตอนนี้ มันคิอการหาตัวตนค่ะ จากที่บอกไปว่า มันคือการทดลอง เราก็ไม่ได้มองว่ามันง่ายนะ แต่ด้วยวิธีการที่ทำมันขึ้นมา มันอาจจะสะดวกกว่า สมัยก่อนมากกว่า แต่กระบวนการทางควมคิด หรืออะไรก็ตามแต่ มันก็ไม่ได้ง่าย เนื่องจากความ creative มันก็ไม่ได้ง่ายทุกครั้ง

ปิ้ว :เหมือนเป็นสิ่งที่เราอยากเรียนรู้ คือเราโตไปกับมันมากกว่าครับ พอเราเจอช่วงอายุ หรือเจอประสบการณ์มา ก็ทำให้เราต้องพัฒนาตัวเองครับ มันไม่อยากอยู่กับที่ อะไรอย่างงี้ เหมือนกับการทำงาน พอเรียนรู้ตรงนี้มา มีข้อผิดพลาดมา มันก็ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น มันก็เหมือนการทำเพลงละครับ ตรงนี้มันน่าจะทำแบบนี้ มีซ่าวน์แบบนี้มาใส่ มันน่าจะเป็นการค้นพบอะไรในชีวิต แล้วเอามาใส่มากกว่า

ด้วยความที่เราเส้นทางในลักษณะนี้ ที่ถือว่ามันยากพอสมควร แล้วอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราสามารถ touch เข้าถึงคนฟังในยุคสมัยนี้ได้


ออม : เราว่าเดี่ยวนี้การฟังเพลงของคน มันไม่ใช่แค่เราชอบเพลงนี้ เรารู้สึกว่าคนเดี๋ยวนี้ มี source เยอะค่ะ ไม่ใช่แค่วิทยุหรือสื่อที่มาคอยป้อนให้ เดี๋ยวนี้มีทั้งโลกออนไลน์ หรือมีช่องทางต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้น เรารู้สึกว่าคนฟังรุ่นเรา หรือคนฟังสมัยนี้ หรือไม่ว่ารุ่นไหนก็ตามแต่ พอมาฟังเพลงสมัยนี้ มันไม่ได้เสพแค่เพลง ไลฟ์สไตล์ หรือบางคนเขาเสพไปถึงวิธีการทำงานของพวกเราว่า ทำเพลงกันยังไง คือมันอาจจะไม่แตกต่างหรอกแต่มันอาจจะกว้างขึ้น

ปิ้ว : ผมว่ามันเป็นด้วยเรื่องของเนื้อหาของเพลงที่เข้าถึง คนส่วนใหญ่เข้าใจง่าย มันเป็นเรื่องเกหี่ยวกับความรัก ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ทุกคนย่อยง่ายอยู่แล้ว แล้วมันก็ไม่ได้ย่อยยากจนเกินไป ถึงแม้ว่าดนตรีของเราอาจจะมีความสลับซับซ้อนมาก แต่เราพยายามเล่าเนื้อหาที่ให้ทุกคนสามารถย่อยได้ มันก็เลยอาจจะเป็นข้อดีหรืออะไรบางอย่างที่คนยังเข้าใจในแนวดนตรีของเราได้ จากการฟังเนื้อหาของเพลง

นาว : ผมว่าก็น่าจะเป็นเรื่องของเนื้อหาเหมือนกันครับ คนเข้าใจง่าย แต่มันก็มีความยากอยู่ดีที่ให้ทุกคนมาฟัง เพราะเดี๋ยวนี้ทุกคนก็มีสิทธิ์เลือกฟังเยอะมาก


ในความยากที่นาวว่ามาเมื้อกี้ มันด้วยเพราะคนฟังเข้าถึงได้หลากหลายมากขึ้นค้นด้วยมั้ย

นาว : มันมีหลากหลายคนฟังด้วยครับ มันก็มีเฉพาะกลุ่มที่อยากฟังเพลงแต่ละแบบ ซึ่งในบางทีเราก็ไปบังคับเขาไม่ได้ด้วย (หัวเราะ)


แต่พอได้ทำเพลงที่เข้าถึงคนฟังได้ ในมุมหนึ่ง ในฐานะที่เป็นคนนำเสนอผลงาน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งด้วยมั้ย ตามความรู้สึก

ออม : ถ้าถามว่าประสบความสำเร็จหรือเปล่า ในมุมของวงเรา เราก็มองว่า ไม่ได้ประสบความสำเร็จขนาดนั้น มองย้อนกลับไปใน 6 ปีที่แล้ว จนมาถึงตอนนี้ มันก็คือประสบความสำเร็จ แต่ถ้านับจากตอนนี้ จนไปข้างหน้า สำหรับเรา มันยังไม่ใช่นะ มันยังไปต่อได้อีก มันก็ยังมีด่านมาเรื่อยๆ ซึ่ง โควิด-19 ก็เป็นด่านที่ว่านี้เหมือนกัน (หัวเราะเบาๆ) ที่เราจะต้องก้าวข้ามมันไปค่ะ ซึ่งโควิดก็เป็นโจทย์ยากสำหรับใครหลายๆ คนเลยก็ได้ค่ะ ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ตาม

ปิ้ว : มันก็ยังสนุกกับการทำงานอยู่น่ะครับ ถ้าเกิดยังสนุกอยู่ อะไรอย่างงี้ มันก็ต้องสู้ต่อไปครับ เหมือนกับว่ามันมีอุปสรรคอะไรบางอย่างที่ ที่ทำให้เราไม่สามารถออกไปเล่นดนตรีได้ คือมันก็ต้องรอครับ ถึงแม้ว่าจะรอมาจะนานซักแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้ว ในเมื่อเราหลงรักกับสิ่งที่เราทำไปแล้ว มันก็ต้องทำให้เต็มที่ ก็พยายามจนถึงที่สุดแล้ว พยายามไปเริ่อยๆ ก็ไม่รู้มื่อไหร่เหมือนกัน แต่ผมคิดว่า การพยายามนี้ อาจจะส่งผลอะไรบางอย่างต่อในเร็วๆ นี้ หรือ ในอนาคตก็ได้ครับ

นาว : สู้ๆ ครับ (หัวเราะ)

ถ้าพูดโดยรวมแล้ว ถือว่ามีแนวเพลงที่ได้อิทธิพลจากเพลง synth pop เป็นหลัก ด้วยมั้ย

ออม : เอาจริงๆ วงเราก็ไม่ได้ทำแนวดนตรียุค 1980 ขนาดนั้นนะคะ แต่เป็นการใช้ซินธ์เป็นหลัก เพราะว่ามันสะดวกด้วย แล้วเราก็ชอบเสียงเพลงของซินธ์ค่ะ คือเสียงซินธ์มันเป็นเสียงสังเคราะห์ใช่มั้ยคะ ซึ่งเราสามารถผสมเสียงมันได้ แล้วด้วยวิธีการแบบนั้นมังคะ เลยทำให้เราเป็น telex telexs น่ะค่ะ แต่ถามว่าอาจจะมีอิทธิพลจากคนอื่นมั้ย ก็ตามที่บอกเลยค่ะว่า ไม่ได้มาจากยุค 1980 เลย คือจริงๆ เราก็ฟังเพลงแนวอิเลคทรอนิกส์กันอยู่แล้ว

ปิ้ว : จริงๆ มันก็ผสมกันทุกยุค ทุกสมัยอยู่แล้วครับ ผมว่าพวกเราในตอนนี้ ไม่ได้ทำซาวน์ดนตรีให้มันดูเก่าอะไรขนาดนั้น จริงๆ เราก็ฟังพลงในทุกช่วงเวลานะครับ แม้กระทั่งเพลงใหม่ๆ พวกเราก็ฟัง คือมันเหมือนกับการวิเคราะห์มากกว่า คือในสิ่งที่เราชอบ แล้วสุดท้าย เราทำออกมาเพื่อหยิบอะไรบางอย่าง วัตถุดิบส่วนผสมของแต่ละยุค แต่ละวง หรือว่า สิ่งที่เราชอบ จากที่เราฟังมา จนสะสมมาเรื่อยๆ หลายๆ ปี จรนมันกลั่นกรองมาเป็นน้ำกลั่นจนเป็นอะไรบางอย่างแล้ว จนกลายมาเป็นเรา อะไรอย่างงี้มากกว่าครับ 

สำหรับคน เขาอาจจะคิดว่าพวกเราเป็นซาวน์ดนตรีที่เก่า หรือ มีการจำกัดความว่าพวกเราเป็นแบบนั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าหรือโทษเขา ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้นได้ เพราะพวกเราก็ได้อิทธิพลจากตรงนั้นมาอยู่แล้ว จริงๆ พวกเราก็พยายามทำให้มันทันสมัยแหละครับ เพราะว่าอย่างทุกวันนี้เพลงที่ได้ยินกัน มันก็มีส่วนผสมของซินธิไซเซอร์ หรือมีส่วนผสมอะไรต่างๆ ที่มันคล้ายๆ กับสารตั้งต้นของพวกผมอยู่แล้ว หลายๆ คน ก็ไม่ได้มองว่าเป็นเพลงที่มาจากยุค 1980 ซึ่งก็อยากให้ทุกคนตีความพวกเราว่าเป็นแบบนั้นบ้าง ผมก็ไม่ไดเอย่ากทำอะไรให้มันเก่า คือก็ลองไปฟังดู มันก็มีความทันสมัยในตรงนั้นอยู่แล้ว ส่วนถ้าพูดถึงอัลบั้มหรือซิงเกิลใหม่ๆ หรือแนวดนตรีอื่นๆ พวกเราก็ฟังกันหมดครับ

นาว : ผมก็ฟังลูกทุ่งยันแจ๊สเลยครับ จริงๆ ทั้ง 3 คน ก็ฟังกันทุกแนวเลย ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นเก่าหรือใหม่ฃ

ออม : เพราะถ้าให้พูดว่า ศิลปินคนไหนมีอิทธิพลต่อวงเรา จริงๆ มันยากมาก เพราะถ้าจะบอกว่าฟังเยอะ มันอาจจะดูเท่ไปหน่อย เรียกว่าฟังไปเรื่อยแบบนั้นมากกว่า


ในการที่ทั้ง 3 คนว่ามาเมื่อกี้ แล้วพอมาทำงานเอง จนทำผลงานของตัวเอง ก็ถือว่าค่อนข้างเป็นโจทย์ท้าทายอยู่เหมือนกันนะ

ปิ้ว : ก็ไม่ยากนะครับ อยากใส่อะไรลงไปก็ใส่เลย แบบอยู่ๆ ทำอะไรมาแล้วได้ยินเสียง ก็เอามาใส่กับงานของตัวเอง แค่นั้นแหละครับ ว่าเสีรยงอะไรที่ควรจะอยู่ตรงนี้ เสียงกลองเป็นแบบนี้ เสียงเบสเป็นแบบนี้ เสียงกีต้าร์ต้องเป็นแบบนี้ ดีไซนฺการร้องต้องมีเอฟเฟคส์แบบไหน มันเก็เป็นเรื่องในการร้องที่ได้มา หรืออยากจะได้แบบนี้ๆ อยู่ในเพลงแบบนี้ๆ ในเพลง

ออม : เหมือนกัน อยากฟังอะไรก็ฟังแบบนั้น


สิ่งหนึ่งที่สังเกตจากเพจคือมีการคุยเล่นกับแฟนเพลงอยู่เป็นประจำ เคยมีเคสที่แฟนเพลงเข้ามาปรึกษาปัญหาความรักกับการใช้ชีวิตกับเราไหม มีเคสไหนน่าสนใจหรือเปล่า

ออม : ถ้าเขาคุย เราก็คุยแค่นั้นเลยค่ะ เหมือนเป็นเพื่อนกันเลย หรือว่า บางทีก็มีสเตตัสโดนใจวัยรุ่นอะไรแบบนั้น แค่นั้นเลยค่ะ มันเป็นการสื่อสารแบบนั้นมากกว่า หรือว่าจริงๆ แล้ว มันไม่ค่อยมีคนที่เข้ามาแบบ ‘หนูควรจะทำยังไงดี’ ไม่ได้มีแบบนั้น แต่ว่า จะเหมือนที่เราฟังเขามากกว่า พิมพ์เรื่องตัวเองไว้ หลังจากนั้นก็มาอ่าน ไม่ได้มาถาม ถามว่ามีเคสที่ใกล้เคียง เราว่า เราไม่เคยเจอนะ แต่จะเป็นแบบสเตตัสนี้โดนใจมากกว่าอย่างที่บอก แล้วเขาเอาไปเล่าเรื่องของเขาต่อมากกว่า เอาสิ่งที่เราสื่อไปขยายเรื่องของเขามากกว่า ไม่ได้มีการแบบว่า ‘พี่ค่ะ หนูกับแฟนนู่นนี่นั่น หนูควรจะทำยังไงดี’ ไม่มี

พอพูดถึงการใช้สังคมออนไลน์ในสมัยนี้ ถือว่ามีความยากประมาณนึงมั้ยครับ จากที่ว่ามาเมื่อกี้

ออม : คือเรารู้สึกว่าแฟนเพลงวงเราน่ารัก มีการคุยเล่นกัน และเข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้มีปัญหาอะไรต้องรับมือ ก็สบายใจที่ได้เจอเขา ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นว่าก้าวก่ายมากไปกว่านั้น


จากการเริ่มมีผลงานมาตั้งแต่ชิ้นแรกสุด มาถึงปัจจุบัน ในมุมมองของแต่ละคน ถือว่าเป็นที่น่าพอใจนะดับไหนและอย่างไร

ออม : (นิ่งคิด) ถามว่าพอใจมั้ย เอาเป็นว่าพวกเราก็รักในผลงานคัวเองค่ะ แต่ถามว่าผลที่ได้รับกลับมานั้น ก็อาจจะตอบยากหน่อย มันแล้วแต่สถานการณ์มากกว่า คือแค่ได้ปล่อยผลงานออกมาแต่ละชิ้น ก็พอใจแล้ว ไม่ว่าผลตอบรับจะเป็นยังไง หรือว่า กระแสจะดีหรือไม่ดี สุดท้ายแล้ว เราตั้งใจทำในสิ่งที่ เรานำเสนอให้ทุกคนออกไป อันนี้คือความพอใจในระดับหนึ่งแล้ว สำหรับพวกเรา ส่วนความพอใจที่เหลือ มันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เพราะฉะนั้น เราก็จะตอบไม่ได้ว่า เราโอเคหรือไม่ (หันไปถามปิ้ว)

ปิ้ว : สำหรับผมถือว่าดีแล้วครับ มันก็เหมือนกับการปลดล็อกมาเรื่อยๆ น่ะครับ จากการที่เราเริ่มต้นมาจากศูนย์เลย เริ่มมาจากการมีอีพีแรก ไปสู่อัลบั้มแรก จนมาสู่การมีอัลบั้มที่ 2 มันก็เหมือนการเติบฏโตของพวกเราด้วยน่ะครับ การมีผลงานก็ทำให้เรามีคนรู้จักมากขึ้น ได้ไปเจอคนมากขึ้น ได้ไปที่ใหม่ๆ มันก็เป็นผลลัพธ์ของการพยายามของพวกเรานี่แหละครับ ที่พาให้พวกเราไปเจออะไรใหม่ๆ ก็พยายามสนุกไปเรื่อยๆ


หลายๆ เพลงของวงจะเกี่ยวกับความเหงาและความโดดเดี่ยว ท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่ทำให้เกิดความเศร้าได้ง่ายขึ้น สมาชิกวงมีวิธีรับมือยังไง

ออม : ถึงแม้ว่าเพลงของพวกเราอาจจะมีเนื้อหาที่มันดูเหงา แต่ว่ามันก็เป็นดนตรีที่สนุก ส่วนการรับมือ ถ้าเป็นแบบแฟนๆ ของวง อย่างน้อยเพลงของพวกเรามันก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะรับมือในสิ่งนี้ได้ อย่างน้อย การที่เขาได้ฟังในเพลงบางเพลง อาจจะไม่ได้ยิ่งตอกย้ำเขานัก แต่มันจะเป็นการแบบว่าพูดแทนในสิ่งที่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ เราก็รู้สึกว่า เราก็เป็นเครื่องมือให้เขาได้ ว่าเขาจะรับกับความเจ็บปวด หรือ ความเศร้าตรงนี้ได้เหมือนกัน

แต่สำหรับตัวพวกเราเอง สิ่งเหล่านี้ มันก็ถือว่าเป็น source หนึ่งเหมือนกัน ในการที่เอามาทำผลงาน เพราะฉะนั้น การทำผลงานมันก็ อาจจะเป็นในฐานะที่พูดแทนพวกเขาตามสถานการณ์ต่างๆ ที่ใครก็ตามกำลังเผชิญอยู่ด้วยค่ะ

ปิ้ว : ผมว่าเพลงของพวกเรา ก็ไม่ได้เศร้าหรือฟูมฟายขนาดนั้น แต่มันจะมีความเศร้าแบบเท่ๆ ประมาณว่า อยู่คนเดียวก็ได้ ไมเห็นเป็นอะไรเลย ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ดิ่งขนาดนั้น เหมือนเป็นการบอกให้ทุกคนมีกำลังใจด้วยแหละ ว่าถึงมันจะเศร้า เหงา หรือช้ำใจแค่ไหน แต่ว่ามันจะต้องอยู่ให้ได้ ซึ่งด้วยที่พวกเราหยิบเรื่องราวเหล่านี้มา ก็เหมือนกับเป็นศิลปะแบบหนึ่ง เป็นสีแบบหนึ่งที่พวกเราหยิบมาระบายในยเพลงของพวกเรามากกว่า แบบนั้น อาจจะเป็นสีไม้แบบที่พวกเราชอบ ซึ่งหลายๆ ศิลปิน ก็มีสีที่ตัวเองถนัด เช่นสีในลักษณะอื่นๆ แต่เราก็เป็นคนที่ใช้สีไม้แล้วระบายสวย แล้วมีคนชอบรูปของเรา ประมาณนั้น

นาว : เพลงของพวกเราก็ไม่ได้ตอกย้ำคนฟังขนาดนั้นนะครับ แม้ว่าบางเพลงเขาก็เศร้า แต่เขาก็ชอบ ฟังแล้วดีใจ เป็นอย่างงั้นมากกว่า เหมือนเป็นเพื่อนของพวกเขามากกว่า


และในทางกลับกัน คนโสดจะแฮปปี้ท่ามกลางความโดดเดี่ยวในสถานการณ์เช่นนี้ยังไง ?


ออม : เราก็เห็นหลายคนมากเลยนะคะ ที่ไม่ได้มีความเศร้าในเรื่องความรัก แต่ฟังเพลงเราแล้วก็อิน เราว่ามันแล้วแต่ความชอบในส่วนบุคคลนั้นๆ มากกว่า คนโสดกับเพลงของเรา ก็สามารถแฮปปี้หรือเอ็นจอยได้ หรือเราก็รู้สึกว่าบางคนไม่ต้องเผชิญแบบเดียวกับเนื้อหา แต่พาร์ทดนตรีหรือเนื้อร้อง มันตรงกับ taste ของเขาพอดี เขาก็สามารถสนุกกับเพลงของเราได้ ไม่ว่าเขาจะโสดหรือไม้ตามแต่ (หัวเราะเบาๆ)

ปิ้ว : ก็รู้สึกว่า จะเป็นคนโสดหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่เกี่ยวครับ แต่อาจจะเป็นแบบว่า คนที่เคยผ่านประสบกาณณ์แบบนี้มาก็ได้ ถึงเขามีคู่ แต่เขาก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มา ในเพลงเรา ซึ่งเขาก็อินได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสภาวะแบบไหน แต่เรื่องบางอย่างในเพลง มันเหมือนกับการเดจาวูอะไรบางอย่าง ในชีวิตเขา เขาก็อาจจะสามารถชอบได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนโสดที่จะรู้สึกกับเพลงเรา ก็เป็นใครก็ได้ที่มีอะไรบางอย่าง ในสิ่งที่พวกเราเล่าออกไป แล้วโดนใจเขา นั่นละครับ

นาว : ทุกคนชอบได้หมดครับ ไม่ได้เกี่ยวว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม ชอบก็คือชอบ อินก็คืออินครับ


อีกภาพลักษณ์หนึ่งคือภาพลักษณ์ของการเป็นสาวมั่นที่มีความมั่นใจในตัวเองและกล้าที่จะ move on อยากฝากอะไรไปถึงแฟนเพลงที่ต้องการลืมปัญหาชีวิตรักหรือปัญหาอื่นๆในช่วงนี้

ออม : ก็ให้เพลงของพวกเราเป็นเพื่อนไปละกันค่ะ คิดซะว่าอย่างน้อยๆ ก็ไมได้มีแค่เขาคนเดียวทั่ต้องเผชิญเหตุการณ์แบบนี้ หรืออะไรก็ตามแต่ เราเชื่อว่าคนฟังเพลงของเรา ก็มองว่าเราเป็นเพื่อนที่เจอเหตุการณ์เหมือนกัน พร้อมที่จะรับฟังซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น Move On ได้ เป็นคนเก่งค่ะ

ปิ้ว : สู้ๆ ครับ กินข้าวและน้ำด้วยครับ ดูแลตัวเอง ถ้าไม่รักตัวเองแล้ว จะไปรักใครครับ

นาว : ออกไปใช้เงินครับ (หัวเราะทั้งวง) แล้วค่อยกลับมาเครียดต่อเพราะเงินหมด

ออม : เราจะได้เอาเรื่องเครียดนั้น มาเครียดเรื่องเงินแทน (หัวเราะอีกครั้ง)

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ณัฐชนน หล้าแหล่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น