เพจ "Drama-addict" วอนหยุดแชร์ภาพร่างแตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ ที่เสียชีวิตจากการพลัดตกเรือสปีดโบ๊ตกลางแม่น้ำเจ้าพระยา หลังภาพดังกล่าวหลุดไปอยู่ในห้องแชตของเด็กประถม
วันนี้ (2 มี.ค.) เพจ "Drama-addict" โพสต์แชร์ประสบการณ์ของลูกเพจรายหนึ่ง เล่าว่าตอนนี้ภาพร่างแตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ ที่เสียชีวิตจากการพลัดตกเรือสปีดโบ๊ตกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แชร์ไปในกลุ่มไลน์ของเด็กชั้นประถมศึกษา สร้างความตกใจให้แก่ผู้ปกครองที่พบเห็น และไม่ควรส่งต่อภาพดังกล่าวเพื่อให้เกียรติผู้เสียชีวิต โดยทางเพจระบุข้อความว่า "ลูกเพจฝากมาครับ เฮ้อ ประเด็นเรื่องภาพแตงโมที่คนเอาไปเผยแพร่กันตอนนี้ในโซเชียล"
อย่างไรก็ตาม โพสต์ดังกล่าวมียอดแชร์กว่า 200 ครั้ง มีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก เช่น พวกเพื่อนๆ คุณแตงโมเอาเรื่องให้ถึงที่สุดนะคะ ฟ้องให้หนักและอย่ายอมความเด็ดขาด, น่าเศร้านะ ความอยากรู้อยากเห็นของคนทำให้ขาดความเคารพคนอื่น, คนเผยแพร่ภาพใจร้ายมาก ทั้งๆ ที่ขอกันมาตลอดก่อนเจอคุณแตงโม รู้ทั้งรู้เจ้าของร่างไม่อยากให้ใครเห็น, สะเทือนใจมาก คนปล่อยภาพจิตใจทำด้วยอะไร, จดจำแต่ตอนที่แตงโมสวยกันนะคะทุกคน เป็นต้น
นอกจากนี้ ผศ.ดร.ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล ประธานหลักสูตรปริญญาเอก สาขาวิชาอาชญาวิทยา การบริหารงานยุติธรรม (นานาชาติ) คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ม.มหิดล ได้โพสต์บทความเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวลงในเพจ "Mahidol Channel" ระบุว่า "การแชร์ภาพศพผิดกฎหมาย และไม่ให้เกียรติผู้เสียชีวิต
1. การแชร์ภาพศพ ผิดกฎหมายหรือไม่?
ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 366/4 ระบุว่า “ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามศพ ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ” ดังนั้น การกระทำใดๆ ที่เข้าลักษณะหรือองค์ประกอบการดูหมิ่นศพ ต้องถือว่ามีความผิดทางอาญาที่จะต้องรับโทษ แม้ว่าศาลฎีกาให้ความหมายของคำว่า “ดูหมิ่น” หมายถึง การด่า ดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทให้อับอาย ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4327/2540 หรือแนววินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 758/2498 การดูหมิ่นเหยียดหยามศพ เมื่อไม่มีองค์ประกอบคำว่า “ซึ่งหน้า” เหมือนเช่นมาตรา 393 ก็ตาม การดูหมิ่นเหยียดหยามศพลับหลังก็เป็นความผิดได้ หรือถ่ายรูปศพประจานออกสื่อสาธารณะ หรือแชร์ภาพศพแล้วเขียนข้อความดูหมิ่น ก็อาจผิดฐานนี้ได้ การกระทำใดๆ ยังรวมถึงการกระทำทางกายภาพอื่นๆ เช่น เจตนาวางศพในลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยาม ก็น่าจะเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามศพเช่นกัน ฯลฯ
แม้ว่าในความเป็นจริงยังไม่มีคำพิพากษาของศาลวินิจฉัยออกมาชัดเจนว่า การแชร์ภาพศพผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะแม้การแชร์ภาพจะเป็นการกระทำ แต่จะเข้าข่ายดูหมิ่นศพหรือไม่ก็ตามนั้นยังไม่มีแนวคำวินิจฉัยศาลออกมาเป็นบรรทัดฐาน แต่ก็สุ่มเสี่ยงในการแชร์หรือโพสต์ และหากมีการฟ้องร้องและศาลมีคำพิพากษาออกมาว่าการแชร์ภาพศพเข้าข่ายดูหมิ่นแล้ว ก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย
1.1 ญาติผู้ตายสามารถฟ้องร้องได้หรือไม่/ผิดข้อกฎหมายข้อใด?
ทั้งนี้ ญาติผู้ตายสามารถฟ้องร้องได้ โดยอาศัยมาตรา 366/4 ตามประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าว หากการแชร์ออกไปมีลักษณะเข้าข่ายการดูหมิ่นศพ ก็มีความผิดและต้องรับโทษ
1.2 การเผยแพร่ภาพศพถือเป็นสภาพที่ไม่น่าดูของผู้ตาย การแชร์ภาพศพ หรือโพสต์ภาพศพ ถือเป็นการดูหมิ่นผู้ตายหรือไม่?
ต้องเรียนตามตรงว่า ยังไม่ได้มีคำพิพากษาของศาลวินิจฉัยออกมาชัดเจนหรือวางบรรทัดฐาน อาจต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไปว่า การแชร์นั้นมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายมีเจตนาในการดูหมิ่น ดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทให้อับอายหรือไม่ หากเข้าเงื่อนไขในองค์ประกอบก็ถือเป็นการดูหมิ่น
2. สื่อสารมวลชนควรนำเสนอข่าว การรายงานภาพศพ ผู้เสียชีวิตอย่างไรเพื่อไม่ผิดจริยธรรมสื่อ
อันที่จริงเราไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าสื่อควรแสดงภาพผู้เสียชีวิตหรือไม่ในฐานะคนที่ค้นคว้าและนำเสนอข้อเท็จจริง แต่เป็นคำตอบในด้านจริยธรรมต่อการรายงานภาพศพ ผู้เสียชีวิต ภาพถ่ายความทุกข์ทรมาน อาจพิจารณาไม่เผยแพร่ หรือต้องเซ็นเซอร์ภาพ เช่น เห็นใบหน้า เลือด การเห็นอวัยวะฉีกขาด ภาพสยดสยองต่างๆ ก่อนเผยแพร่ เพื่อลดความน่ากลัว การสร้างความสะเทือนใจสำหรับผู้รับสาร ญาติผู้ตาย และยังเป็นการเคารพผู้ตายอีกด้วย
กรณีสื่อสารมวลชนถ่ายทอดสด (Live) หรือรายงานสถานการณ์ต่างๆ ที่เห็นศพลงในโซเชียลมีเดีย ควรต้องระมัดระวังในเรื่องการนำเสนอภาพศพเป็นพิเศษ หากเลือกที่จะเขียนรายงานข่าว ให้เขียนสั้นๆ เลือกถ้อยคำอย่างระมัดระวังและนึกถึงสมาชิกในครอบครัวของเขาและเพื่อนๆ ที่กำลังเจ็บปวดอยู่ในขณะนี้ ที่สำคัญที่สุด อย่าเปิดเผยรายละเอียดที่ไม่ได้รับการยืนยันเกี่ยวกับการเสียชีวิต
อย่าลืมว่ามีโซเชียลมีเดียรอรับลูกต่อที่สามารถกลายเป็นสภาพแวดล้อมสำหรับข่าวลือหรือข้อมูลเท็จได้อย่างง่ายดาย และจะเพิ่มประสบการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้นสำหรับครอบครัวผู้เศร้าโศก นั่นเท่ากับเป็นการนำเสนอที่ซ้ำเติมอารมณ์ของความสูญเสียและความเสียใจ ความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้น
แม้จะไม่มีคู่มือสำหรับการนำเสนอการรายงานภาพศพ แต่องค์กรข่าวต้องมีความรับผิดชอบที่จะปกป้องและลดหรือขีดวงการรับรู้ ดังเช่น จริยธรรมสื่อของประเทศญี่ปุ่น ที่ไม่เผยแพร่ศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สินาสิเมื่อปี 2011 ที่ไม่ค่อยปรากฏภาพผู้เสียชีวิตผ่านสื่อ ถึงแม้จะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1.5 หมื่นรายก็ตาม
อย่าลืมว่าการเลี่ยงหรือปฏิเสธที่จะเผยแพร่ภาพคนที่เสียชีวิต ศพในรูปแบบต่างๆ ที่สะเทือนขวัญ สร้างความหดหู่ในการรับรู้ เป็นการแสดงความเคารพ เป็นการให้เกียรติความเป็นส่วนตัวของครอบครัวของพวกเขา
3. สิ่งที่สังคมควรตระหนัก เมื่อมีการแชร์ภาพ วิดีโอ ข้อมูล ของข่าวอาชญากรรมโดยทันที
ต้องยอมรับว่าสังคมปัจจุบัน ผู้คนหันมาใช้โซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็วเพื่อพูดคุยในเรื่องราวต่างๆ อย่างเสรีโดยขาดความคิดพิจารณาอย่างละเอียด โดยเฉพาะเมื่อมีประเด็นเกี่ยวกับความตาย น้อยคนที่จะนึกถึงผลที่ตามมา ลืมนึกถึงห้วงเวลาที่ครอบครัว คนรัก ญาติต้องสูญเสีย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาประสบกับความเสียใจมากพอแล้ว เราควรจะเคารพให้เกียรติ การโพสต์ที่แชร์ภาพ วิดีโอ ข้อมูล ของข่าวอาชญากรรม โดยทันทีโดยไม่ปกป้องสิทธิผู้ตายยิ่งเป็นการซ้ำเติมการสูญเสีย ความเสียใจ ความเศร้าโศก ความเจ็บปวด ต้อง(ลอง)แทนใจว่า ถ้าหากเหตุการณ์นั้นเกิดกับคนที่แชร์ในลักษณะเดียวกันบ้าง จะเจ็บปวดจากการไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติ และการด้อยค่ามากน้อยเพียงใด
การแชร์ภาพคนตายไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแก่สังคมเลย แม้หลายครั้งที่คนแชร์จะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่าต้องการให้ญาติเขารับรู้ หรือหวังดีกับผู้เสียชีวิต แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องอวดให้ใครรู้ว่าเราเข้าถึงข้อมูลเร็ว หรือกลัวว่าจะคุยกับชาวบ้านไม่รู้เรื่อง หรือรายงานความจริงที่จะอาจกลายเป็นทำลายล้าง การสูญเสียคนที่คุณรักเป็นช่วงเวลาแห่งอารมณ์สำหรับครอบครัวและเพื่อนสนิท และอาจ(ไม่ใช่หน้าที่)จะนำความคิดของคุณมาเป็นคำพูด
อย่าลืมว่าคนที่กำลังสูญเสีย เราควรหยิบยื่นความเห็นอกเห็นใจ ให้เวลาพวกเขาได้ใช้เวลากับตัวเอง สำหรับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ ของผู้ตายย่อมดีที่สุด ฉะนั้น “ควรหยุดการแชร์ภาพศพ” เพื่อเป็นการให้เกียรติและเคารพผู้เสียชีวิต"