สมัครเลือกตั้งสภาทนายความวันแรกคึกคัก ‘อนุพร อรุณรัตน์’ ยืนหยัดปกป้องวิชาชีพทนายความ ค้านตั้งสภานิติศึกษาแห่งชาติ – ก้าวล่วง – ไม่เกื้อกูลกัน
เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ศูนย์อำนวยการเลือกตั้งฯ ซอยสุคนธสวัสดิ์ 3 แยก 3 เขตลาดพร้าว ได้มีการเปิดรับสมัครบุคคลที่ลงสมัครรรับเลือกตั้งเป็นนายก และกรรมการสภาทนายความ ในวาระปี 2565 - 2568 เป็นวันแรก ตามประกาศของผู้อำนวยการการเลือกตั้งนายกและกรรมการสภาทนายความ โดยมี นายเจษฎา คงรอด กรรมการมรรยาทสภาทนายความ เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งฯ ซึ่งเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 20 -27 กุมภาพันธ์ และการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 24 เม.ย. 2565 โดยมีทนายความและทีมทนายความ เข้ายื่นใบสมัคร ก่อนเวลาเปิดรับสมัคร คือ 08.30 น. ขณะเดียวกันที่สภาทนายความในพระบรมราชูปภัมภ์ บางเขน ดร.ถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนายความ ได้เป็นประธานทำพิธีทางศาสนา เนื่องในวันทนายความประจำปี 2565 โดยมี นายนิพนธ์ จันทเวช เลขาธิการสภาทนายความ รวมทั้งกรรมการสภาทนายความ และสมาชิกสภาทนายความ เข้าร่วมในพิธี
หลังเสร็จสิ้นพิธีการ นายอนุพร อรุณรัตน์ หนึ่งในผู้สมัครนายกสภาทนายความ พร้อมด้วยทีมงาน ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน โดยพูดถึงประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากต่อผู้คนในแวดวงยุติธรรม กรณีคณะกรรมการอุดมศึกษา (กกอ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภานิติศึกษาแห่งชาติ เพื่อศึกษาการปฏิรูปการศึกษานิติศาสตร์แห่งชาติ และได้ประกาศการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ
นายอนุพร กล่าวว่า “ความจริงเรื่องของสภานิติศึกษาแห่งชาติเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2564 โดยอ้างว่ามีการปฏิรูปโดยกระทรวงศึกษาธิการ จนตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อจะพิจารณาเรื่องของหลักสูตรของนิติศึกษาแห่งชาติ ความจริงแล้วผมพูดตรงๆ คนที่คิดชื่อเรื่องนี้ เขาคิดแบบให้คนอ่านคนฟังรู้สึกว้าว มีความคิดว่ามันจะฟีดแบ็คต่อสังคม ที่ผมพูดแบบนี้ได้เพราะผมเองก็เป็นคณะกรรมาธิการร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎร นักกฎหมายชอบทำหลายอย่าง ชอบทำอะไรให้รู้สึกว่ามันปัง รู้สึกว่ายิ่งใหญ่ นี่คือเรื่องแรก แต่คำว่าสภานี่มันเป็นที่ใหญ่มากเพราะเกี่ยวข้องกับคนทั้งประเทศ เรื่องที่ 2 เมื่อเข้าไปดูที่เนื้อเรื่อง ผมตั้งข้อสังเกตว่าการตั้งก็ดี การใช้อำนาจหน้าที่ก็ดี การออกรายงานมาก็ดี รวมถึงการจัดทำข้อมูลในการรับฟังแสดงความคิดเห็นก็ดี กระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และกระทำโดยอำนาจหน้าที่หรือไม่
เรื่องนี้คงต้องมีการพูดคุยกันต่อไปว่า ประกาศดังกล่าวนั้น ผู้มีอำนาจหน้าที่สามารถมอบหมายหรือมอบอำนาจได้หรือไม่ แล้วก็ผู้ที่เข้ามาใช้อำนาจหน้าที่ตามประกาศดังกล่าวนั้น ได้ใช้อำนาจหน้าที่ภายในกรอบของกฎหมายหรือในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวง การอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พ.ศ 2562 หรือไม่ แต่ผู้ที่ทำการแต่งตั้งหรือเรียกว่า กกอ. นั้นมีอำนาจมีหน้าที่และอำนาจที่จะมอบให้หรือไม่ รวมไปถึงกระทรวงอุดมศึกษามีภาระอำนาจหน้าที่ในการกระทำหรือไม่เพียงใด เหตุผลเพราะว่าการใช้อำนาจหน้าที่ของรายงานที่ออกมาของคณะอนุกรรมการ ในความเห็นผมเชิงวิชาการแล้วไปพาดพึงถึงอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กระทรวงยุติธรรม”
ดังนั้น การที่เราเป็นนักกฎหมาย สิ่งเหล่านี้จึงจะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญ นี่เป็นเรื่องประการที่หนึ่ง ที่เป็นข้อสงสัย และยิ่งกว่านั้นรายงานที่ทำ สิ่งที่ไปทำนั้น ได้อยู่ในกรอบของหน้าที่และอำนาจที่เขามอบหมายมาหรือไม่ด้วย ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ เพราะการกระทำของรัฐ เมื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมมีผลกระทบต่อองค์กรส่วนอื่น โดยเฉพาะวันนี้ก็คือ “เนติบัณฑิตยสภา” และ “สภาทนายความ” กระทบต่อบรรดามวลสมาชิก ภายใต้ภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น
วันนี้ความคลุมเครือซับซ้อน ความไม่แน่นอน ความสับสน ทำให้เกิดการหยุดชะงักขึ้นมาในองค์กรต่างๆ ผมจึงฝากสิ่งเหล่านี้ไว้ให้บรรดานักกฎหมาย โดยเฉพาะสายตุลาการ ศาล อัยการ ตำรวจ และทนายความ ได้ไปขบคิดว่าจะมีผลกระทบอะไรต่อไปในอนาคตหรือไม่ ถ้าผู้มีอำนาจเหล่านั้นเข้ามาเกี่ยวข้องในสภาวิชาชีพ หรือในวิชาชีพอื่นๆ ในกระบวนการยุติธรรม จะเป็นการขัดขวางต่อความเป็นอิสระของวิชาการ ขัดขวางความอิสระในการทำงานตามหลักของการเป็นนักกฎหมายหรือไม่เพียงใด
ผมและสมาคมทนายความพร้อมที่จะปกป้อง แต่ไม่ใช่ปกป้องเพื่อพวกเรา แต่เป็นการปกป้องเพื่อวัตถุประสงค์หรือกฎหมายสูงสุดของสภาผู้แทนราษฎร ปกป้องเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินไทย มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องมาจับมือช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปข้างหน้า”
ทั้งนี้ ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกสภาทนายความในวันนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 5 คน ผลการจับสลากปรากฎว่า นายเกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ได้เบอร์ 1, ว่าที่พันตรี สมบัติ วงศ์กำแหง ได้เบอร์ 2, นายวิเชียร ชุบไธสง ได้เบอร์ 3, นายอนุพร อรุณรัตน์ ได้เบอร์ 4 และนายสรัลชา ศรีชลวัฒนา ได้เบอร์ 5
