1."แรมโบ้" สาวไส้ "ทักษิณ" หลังถูกเปรียบเป็นหมาแว้งกัดเจ้าของ ชี้ เพราะหมารู้เจ้าของขี้โกง เป็นหัวหน้าโจร!
สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดวิวาทะระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร กับนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เจ้าของฉายาแรมโบ้อีสาน โดยเริ่มจากกรณีที่นายทักษิณ หรือ “โทนี วู้ดซัม” ได้ร่วมสนทนาในคลับเฮ้าส์ หัวข้อ จุดสิ้นสุดรัฐบาลตู่ พลิกเกมสู้ของแพง ซึ่งช่วงหนึ่งมีคนถามเรื่องแรมโบ้ว่า ทำไมแต่ก่อนรักทักษิณ และตอนนี้ย้ายมาอยู่ฝั่งรัฐบาล
ซึ่งนายทักษิณ ตอบว่า “ผมไม่ได้พูดถึงนะ แต่เดี๋ยวจะเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฟัง เมื่อก่อนนี้ ผมกับโอ๊คเลี้ยงหมาไว้ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า 50 ตัว ปรากฏว่าทุกตัวเราไปเล่นก็ไม่มีปัญหา แต่มีตัวหนึ่งชื่อว่าแม็กซ์ มันชอบมากัดเจ้าของตลอด ปรากฏว่าผมมีคนให้อาหารหมาคนหนึ่ง แม็กซ์มันก็ชอบมาเลียตีนประจบเขา ประจบเป็นพิเศษเพราะกลัวไม่ได้กิน แต่ตอนหลังผมเปลี่ยนคนให้อาหาร พอมีคนให้อาหารคนใหม่มา มันก็เลียตีนเขาอีก ประจบเขาอีกเพราะอยากกิน ประจบหมดแต่กลับชอบมาแว้งกัดเจ้าของ ที่เล่าให้ฟังเนี่ย เพื่อจะบอกว่า เราเลี้ยงมาทุกตัว แต่ไม่ใช่ทุกตัวจะรักเจ้าของ”
ด้านนายเสกสกล ได้ออกมากล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณพูดพาดพิงโดยเล่าเรื่องเลี้ยงสุนัข 50 ตัวในบ้านว่า ตนอยากจะชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ไม่มีใครรู้จักนายโทนี่เท่ากับตนแล้ว เพราะเป็นคนที่ทำให้นายโทนี่ได้เป็น ส.ส.สมัยแรกในปี 2538 ในนามพรรคพลังธรรม เพราะนายโทนี่ให้อดีต ผบ.ทบ.คนหนึ่งโทรตามตนเองให้เข้ามาช่วยในการเลือกตั้ง ดังนั้นไม่ควรที่จะเอาตนไปเปรียบเทียบกับสุนัขที่บ้านว่าไม่รู้จักบุญคุณคน
นายเสกสกล กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่ตนได้ทำงานร่วมกับนายโทนี่และครอบครัวชินวัตรเป็นเวลากว่า 20 ปี ต้องยอมรับว่าผิดหวัง เพราะคิดว่านายโทนี่เป็นหัวหน้าคนที่จะมาบริหารประเทศ เป็นคนดี ทุ่มเททำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ไม่แสวงหาประโยชน์ ซื่อสัตย์ แต่เวลาผ่านไปกลับพบว่า ตนอยู่กับหัวหน้าโจรที่ทุจริตคอรัปชั่น มีแต่ญาติพี่น้องเข้ามาครอบงำในเรื่องของงบประมาณ ซึ่งคนในพรรคทราบเรื่องนี้ดี
ส่วนที่นายโทนี่กล่าวหาตนเป็นกิ้งกือ ไส้เดือน หรือเล่าเรื่องสุนัขที่บ้านชื่อแม็กซ์ ชอบมากัดเจ้าของตลอด มีลักษณะเปรียบเทียบเป็นตนนั้น นายเสกสกล ชี้แจงว่า หากเจ้าของหมาเป็นคนดี ประวัติดี ไม่เป็นหัวหน้าโจร เจ้าแม็กซ์ เป็นสุนัขฉลาดก็คงไม่กัด
“ผมต้องขอยกย่องชื่นชมเจ้าแม็กซ์สุนัขตัวนี้ด้วยซ้ำที่มันฉลาด รู้ว่าเจ้าของขี้โกง และนายโทนี่ไม่ควรที่จะด้อยค่า ส.ส.ในเครือข่ายของตัวเองเปรียบเทียบเป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้ของนายโทนี่เช่นเดียวกัน และบรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทย หรือคนในพรรคน่าจะคิดได้แล้วว่าถูกมองอย่างไร้ค่า ส.ส.จะยอมเสียศักดิ์ศรีให้กับคนที่มาดูถูกดูแคลนเช่นนี้ได้อย่างไร ซึ่งผมอายแทนพี่น้องประชาชน”
นายเสกสกล ยังเผยอีกว่า ในขณะที่ตนอยู่พรรคไทยรักไทย ได้เห็นพฤติกรรมของนายโทนี่เป็นหัวหน้าโจร เอาครอบครัวมาแสวงหาผลประโยชน์ ในประมาณปี 2546-2547 มีตัวแทนภาคประชาชนมาร้องเรียนกับตัวเอง ซึ่งขณะนั้นเป็น ส.ส.ด้วย ถึงความไม่ชอบมาพากลโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่อาจจะมีการทุจริตเสียหายต่อรัฐประมาณ 500 ล้านบาท ตนจึงเข้าพบนายทักษิณ สมัยนั้นเป็นนายกฯ ชี้แจงเรื่องราวต่างๆ พร้อมเอกสาร แต่นายทักษิณกลับบอกให้เลขาส่วนตัวรับไปจัดการเรื่องนี้ สุดท้ายโครงการก็ผ่านไปได้โดยที่ไม่มีการตรวจสอบ และยังให้เลขาส่วนตัวโทรมาบอกตนว่า อย่าเข้าไปยุ่ง ปล่อยไปให้เขาทำไป
นายเสกสกล กล่าวอีกว่า ยังมีโครงการมูลค่า 2.2 ล้านล้านบาท ในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ซึ่งมีเสี่ย ป. เดินทางไปพบนายโทนี่ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันที่ตนเองไปพบนายโทนี่ พูดคุยเรื่องงานบ้านเมือง แต่ปรากฎว่าตนไม่ได้คุยเรื่องงานเลย นายโทนี่ไม่มีเวลาให้ เพราะนายโทนี่มีแต่เวลาคุยเรื่องผลประโยชน์ใต้โต๊ะ กับเจ้าของบริษัทต่างๆ หลายบริษัท ขากลับตนมีโอกาสเดินทางกลับมาพร้อมเสี่ย ป. โดยเครื่องบินส่วนตัวของเสี่ย ป. และเสี่ย ป.ได้เล่าข้อมูลให้ฟังว่า ไปพบนายทักษิณ พูดคุยเรื่องผลประโยชน์ ส่วนแบ่ง ค่าคอมมิชชั่น และเรื่องนี้คนที่รู้ดีที่สุดอีกคน คือเพื่อนรักนายทักษิณ ที่มีอักษรย่อ ช. อยู่ปักกิ่ง เป็นคนวางแผนเดินเกมให้นายทักษิณในการจัดการเรื่องเงินทอน
นายเสกสกล ยังระบุถึงกรณีที่นายโทนี่กล่าวหาว่า นายกฯ ประยุทธ์ ให้ตนไปตั้งพรรคการเมืองและบอกว่านายกฯ ประยุทธ์ ทำตัวเหมือนพญาหงส์ไม่กล้าลงหนองน้ำเล็ก ปล่อยให้กิ้งกือไส้เดือนอย่างตนไปตั้งพรรคการเมือง โดยยืนยันว่า การไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ นายกฯ ประยุทธ์ไม่ได้เป็นผู้สั่งการ เป็นการคิดและดำเนินการด้วยตนเอง ตนเห็นว่า ชื่อพรรคดีมีความหมายดี ตนจึงสนับสนุนพรรคนี้ ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับนายกฯ เพราะท่านนายกฯไม่ได้ยุ่งเกี่ยวสั่งการตนกับเรื่องพรรคนี้
“ไม่เหมือนในอดีตที่นายทักษิณได้เป็น ส.ส. และเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม เพราะพลตรีจำลอง ศรีเมือง และตอนหลังตามกระทืบตามกัดพลตรีจำลองแบบเอาเป็นเอาตาย จนพลตรีจำลองต้องเอามวลชนมาขับไล่ คนที่เนรคุณพลตรีจำลองที่อุตส่าห์สนับสนุนให้ลงสู่ถนนการเมืองแบบนี้ใช้ได้หรือไม่ คนอย่างโทนี่หมดเครดิตหมดสภาพเชื่อถือจากคนไทยแล้ว กิ้งกือไส้เดือน เจ้าแม็กซ์ อย่างแรมโบ้ ยังมีประโยชน์ต่อประเทศชาติประชาชนมากกว่าคุณโทนี่หลายสิบเท่า เพราะจิตใจผมตอนนี้คิดดีทำดีอุทิศตนปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไม่เคยคิดโกงกินเงินภาษีประชาชน เหมือนนายโทนี่ จนต้องหนีคดีตราบเท่าทุกวันนี้”
2."สนธยา" เดือด โพสต์ฉะ "หมาก้าวร้าว" ทรยศหักหลังคิดส่งผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรีเอง ด้าน "สุชาติ" ซัดกลับ ไม่ใช่หมา แต่เป็นขุนศึกที่ "แม่ทัพอัลไซเมอร์" ไม่เคยเหลียวแล!
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา จ.ชลบุรี แกนนำตระกูลคุณปลื้ม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า กลุ่มคุณปลื้มจะย้ายไปอยู่กับพรรคสร้างอนาคตไทย โดยระบุว่า วันหยุดที่ผ่านมามีใครต่อใครเป็นห่วงเป็นใยโทรมาถามกันมาก เรื่องเลือกตั้งทั่วไปว่า กลุ่มเรารักชลบุรีจะต้องสลายตัว เพราะพลังประชารัฐจะเลือกผู้สมัครมาลงเอง หลังจากผมไปคุยกับ “ผู้ใหญ่” มาแล้ว ก็ได้เวลาที่ผมพอจะมาเล่าสู่กันฟัง
ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน เพราะหลายปีก่อนก็ได้รับคำร้องขอให้ไปร่วมก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐในสถานการณ์พิเศษในขณะนั้นเพื่อให้ประเทศเดินต่อไปได้ จนจู่ ๆ ก็มีคนของพรรคประกาศว่า จะหาคนมาลง ส.ส.ทุกเขต ในฐานะผู้ก่อตั้งพรรคจึงไม่ยากที่ผมจะสอบถาม “ผู้ใหญ่” ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ต้น ได้รับคำตอบสั้น ๆ ว่า มันก็อยากจะสร้างอาณาจักร อย่าไปสนใจ เรื่องน่าจะจบแค่นั้น แต่ไม่ใช่ เพราะยังมีหลายอย่างที่น่าคิด โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “อย่าไปสนใจ”
จริงๆ ผมก็พยายามไม่สนใจมานาน เพราะคอยแต่คิดว่าการที่คนๆ หนึ่งจะพูดเท็จหลายเรื่องในที่ต่างๆ เพื่อให้ตัวเองดูดีนั้น ก็เห็นอยู่ดาษดื่น มีเพิ่มมาอีกคนก็ไม่แปลก คล้ายกับเวลาหมาเห่า ถ้าไม่สร้างปัญหาร้ายอะไร เราก็ไม่ควรไปดุ เพราะหมาก็ทำตามสัญชาตญาณของหมา แต่คราวนี้ต่างไป เพราะผมเริ่มรู้สึกว่าหมาเริ่มก้าวร้าว ทั้งที่อุ้มชูมายาวนาน คนชลบุรีรักใครรักจริง คบใครคบจริง เราเป็นแบบนี้กันมาตลอด นับญาติกันมาตั้งแต่เกิด แต่กับการทรยศ หักหลัง เราก็จะไม่นิ่งเฉย นอกจากนี้นายสนธยายังได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า “คนบางคนรู้ที่ไป แต่ลืมที่มา”
วันต่อมา (18 ก.พ.) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเคยอยู่ในกลุ่มของนายสนธยา และมีกระแสข่าวว่า เตรียมจัดตัวผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.ชลบุรี ทั้ง 10 เขต โดยไม่สนใจกลุ่มบ้านใหญ่ชลบุรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับนิทานพงศาวดาร เรื่อง “ขุนศึกคู่กาย กับแม่ทัพอัลไซเมอร์” โดยระบุว่า “เช้านี้ผมได้เล่านิทานให้คุณดนัย หมาแก่ ฟัง ผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย inside Thailand และนี่คือเนื้อหาข้อมูลทั้งหมด
นานมาแล้วมีขุนศึกกับแม่ทัพคู่หนึ่ง ขุนศึกรักเคารพแม่ทัพเหมือนพี่คนหนึ่ง สั่งให้ไปรบไปที่ไหนไม่เคยปฏิเสธ สู้ตายถวายหัวทุกสนามรบ แม้กระทั่งวันที่ไม่เหลือขุนศึกคนอื่นเลย ที่สำคัญส่วนใหญ่ขุนศึกคู่กายคนนี้ รบชนะทุกครั้ง
วันหนึ่งขุนศึกคู่กาย ขอกลับมาดูแลครอบครัว และเรือกสวนไร่นาที่ทิ้งไปนาน เลยบอกแม่ทัพว่า ขอวางมือ ปรากฏว่า 3 ปีที่แล้ว มีสงครามใหญ่ แม่ทัพเรียกขุนศึกคู่กายมาพูดคุยด้วยว่า ขอให้มาช่วยกันถ้าแพ้ศึกครั้งนี้ เขาและครอบครัวจะไม่มีแผ่นดินอยู่
ด้วยความรักและเคารพในตัวแม่ทัพ ขุนศึกคู่กายยอมทิ้งลูกทิ้งเมีย ทิ้งไร่นาสวน มาร่วมรบอีกครั้ง โดยการรบครั้งนี้ แม่ทัพให้ขุนศึกรับผิดชอบ 3 หัวเมืองหลัก ที่เหลือเป็นหน้าที่แม่ทัพรับผิดชอบ
ก่อนออกรบแม่ทัพรับปากว่า ถ้าชนะศึกจะปูนบำเหน็จให้ กระทั่งผลออกมา พอรบเสร็จ ขุนศึกรบชนะทั้ง 3 หัวเมือง ส่วนแม่ทัพแพ้ราบคาบทุกหัวเมืองหลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ปรากฏว่า แม่ทัพเป็นอัลไซเมอร์ สิ่งที่รับปากไว้ลืมหมด รวมถึงเมื่อขุนศึกกลับบ้าน ไร่นาครอบครัวเสียหาย แม่ทัพกลับไม่มีแม้แต่การเหลียวแล
ขุนศึกก็ต้องก้มหน้าดูแลตัวเองไป แต่เชื่อไหมว่า วันหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เจ้าเมืองมาเจอขุนศึกคนนี้ ซึ่งบาดแผลเพิ่งจะตกสะเก็ดจากการสู้รบ สืบทราบจากชาวบ้านว่าเป็นนักรบมีฝีมือ มีความซื่อสัตย์ สู้รบด้วยการไม่คิดถึงชีวิตตัวเองและครอบครัว จึงปูนบำเหน็จให้เป็นเสนาบดี เหตุนี้เอง ขุนศึกจึงทำงานตอบแทนเจ้าเมืองด้วยความซื่อสัตย์ ถวายหัว ผลงานเป็นที่ประจักษ์
ผมขอถามทุกท่านกลับไปว่า เป็นขุนศึกจะถวายหัวให้เจ้าเมืองที่เห็นคุณค่าในตัวขุนศึก หรือแม่ทัพอัลไซเมอร์ ที่ไม่เห็นคุณค่า??? และที่สำคัญ #ขุนศึกผู้นี้ปลูกข้าวกินเองมาตลอด #ไม่ได้กินข้าวของแม่ทัพ เหมือนขุนศึกคนอื่นๆ
ส่วนการขยายอาณาจักร เอาตรงๆ วันนี้แม่ทัพท่านนั้น ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะย้ายเมืองไปขึ้นตรงกับเจ้าเมืองไหน??? หรือจะสร้างเมืองขึ้นเอง?? แล้วจะมาหาว่าผู้อื่นขยายอาณาจักรได้อย่างไร เมื่อขุนศึกได้รับมอบหมายให้เตรียมการณ์จากเจ้าเมือง ก็ต้องเตรียมการณ์เพื่อให้พร้อม ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา
สุดท้ายนี้ ที่มีการพาดพิง เรื่องหมา .. ขอออกตัวก่อน “ผมไม่ใช่หมา” แต่อาจจะเป็นเหมือนนักรบคนในนิทาน แต่ที่ผ่านมา ผมก็เลี้ยงหมานะ นิสัยของหมา คือ รักเจ้าของ รักลูกเจ้าของ วันหนึ่ง เจ้าของได้จากไป ก็ดูแลลูกเจ้าของ แต่ลูกเจ้าของไม่สนใจ แกล้งทุบตี
นิสัยหมามันก็ไม่เคยทิ้งเจ้าของ หรือลูกเจ้าของ มีแต่เจ้าของหรือลูกเจ้าของ เอาหมาไปปล่อยวัด วันหนึ่งมีคนเก็บหมาตัวนี้ไปเลี้ยงดูและเห็นคุณค่าในความซื่อสัตย์ของหมาตัวนี้ แล้วยังจะมีใครคิดว่า หมาถูกปล่อยวัดแล้ว จะยังเป็นหมาของคนๆ นี้ อยู่เหรอ ลองพิจารณาดูนะครับ??
ล่าสุด (19 ก.พ.) นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังชล ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ จ.ชลบุรี ตามที่นายสุชาติ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กและให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อพาดพิงไปถึงนายสนธยา คุณปลื้ม ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ของชลบุรี แม้ในวันนี้นายสนธยา ไม่ได้ดำเนินกิจกรรมในนามพรรคพลังชล แต่ในฐานะที่นายสนธยา เคยร่วมก่อตั้งพรรคพลังชล เมื่อถูกพาดพิงถึงในทางเสียหาย พี่น้องชาวชลบุรี ที่เคารพรักนายสนธยา รู้สึกไม่สบายใจ จึงฝากมาถึงตน ที่เป็นเลขาธิการพรรคพลังชลให้ช่วยพูดถึง ตักเตือนไปยังนายสุชาติด้วย
โดยเขาฝากมาบอกว่า ขอให้นายสุชาติพูดความจริง ไม่บิดเบือน ต้องไม่ลืม ตั้งแต่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น จนได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังชลนั้น มาได้อย่างไร บางช่วงชีวิตเคยเจอมรสุม มีใครคอยช่วยสนับสนุน กระทั่งวันหนึ่งมีเส้นทางใหม่ทางการเมือง และหลายต่อหลายครั้งเคยพูดถึงนายสนธยาในทางที่ไม่ดี แต่นายสนธยาก็ไม่ได้สนใจ
นายสุระ กล่าวอีกว่า ส่วนความคิดของนายสุชาติ ที่จะส่งผู้สมัคร ส.ส. ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้ง 10 เขต ทั้งที่ยังไม่รู้ว่า วันเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ การจัดส่งผู้สมัครเป็นเรื่องของคณะกรรมการสรรหา คัดสรรของแต่ละพรรค ตนไม่ขอก้าวล่วง นอกจากนี้ยังไม่รู้ว่า วันข้างหน้าพรรคที่นายสุชาติสังกัด จากการทำงานมาตลอด 7-8 ปี ยังจะเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนได้หรือไม่ สำหรับพรรคพลังชล ยืนยันว่า จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างแน่นอน “ส่วนตัวมีความเชื่อลึกๆ ชาวชลบุรีที่ยึดถือสัจจะ กตัญญูเป็นหลัก คงจะตัดสินใจไม่ยากสำหรับใครบางคน ที่รู้ที่ไป แต่ลืมที่มา”
3. "มิ่งขวัญ" ร้องไห้ประกาศลาออก ส.ส.กลางสภา ด้าน "เศรษฐกิจใหม่" ปัดรับกล้วย ชี้ มิ่งขวัญลาออก เพราะพรรคพาถึงจุดสูงสุดไม่ได้!
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเศรษฐกิจใหม่ ได้ประกาศลาออกจาก ส.ส.กลางสภา ภายหลังอภิปรายถึงความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยระบุว่า "ผมเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเศรษฐกิจใหม่ ตอนช่วงหาเสียง ผมหาเสียงดีเบตไม่กี่ครั้ง ก่อนจะประกาศจุดยืน ผมได้ถามกรรมการบริหารพรรคทุกคนว่าเราจะอยู่ตรงไหน ทุกคนบอกว่าเราจะไม่ร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมถามเขาอีกว่า ถ้าให้ผมพูด ผมจะไม่กลับไปกลับมา เพราะผมถือว่าการกลับไปกลับมาถือว่าตระบัดสัตย์ แล้วผมจะรักษาคำพูด”
นายมิ่งขวัญ กล่าวอีกว่า “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เกิดนวัตกรรมศัพท์ขึ้นมา 2 คำ คำแรกคือ งูเห่า คำที่สอง คือคำว่า ลิงกินกล้วย ถ้าผมจะพูดเป็นภาษาชาวบ้าน เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ผมเพิ่งเข้าใจคำสแลงคำนี้"
นายมิ่งขวัญ ยังพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยว่า “ผมขออภิปรายและไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าท่านไปทำอะไร หรือให้ใครไปทำอะไร ทำไมพวกเขาเหล่านั้นจึงเปลี่ยนจุดยืนสัญญาที่ผมให้ไว้กับประชาชน ผมไม่สามารถทรยศได้ 2 ปีเศษ ผมไม่มีความสุขกับการทำงาน”
นายมิ่งขวัญ กล่าวต่อไปว่า “ผมกราบขอบคุณท่านประธานสภาฯ รองประธานสภาฯ ทั้งสองท่าน ขอบคุณทุกคะแนนเสียง ประเทศไม่ต้องเสียงบประมาณ ผมเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ผมลาออกวันนี้ เขาก็เลื่อนลำดับขึ้นมา มีความสุขด้วยซ้ำ ผมอยากจะบอกว่า ผมขอยื่นใบลาออก ผมยอมที่จะสละความเป็น ส.ส. เพื่อให้มันจบ เพราะขอให้พรรคเศรษฐกิจใหม่ขับ ส.ส.ออกจากพรรค เพราะเห็นว่าพรรคอื่นขับออกกันเยอะแยะสนุกสนาน เพราะอุดมการณ์ไม่ตรงกัน”
“สิ่งสุดท้ายที่จะฝากไปยังประชาชนคนไทยทุกท่าน ผมจะยังดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ผมจะใช้องค์ความรู้ ความสามารถที่ผมมีอยู่ ทำงานให้พ่อแม่พี่น้องประชาชน สิ่งที่สำคัญที่สุด ผมจะออกไปพิสูจน์ว่า แม้ผมไม่ได้เป็นรัฐบาล ความเหลื่อมล้ำจะถูกแก้ไขไหม โปรดติดตามก็แล้วกัน และผมจะไปเตรียมการเลือกตั้งสมัยต่อไปด้วย เราได้เจอกันแน่นอน” ทั้งนี้ นายมิ่งขวัญได้บอกชื่อเฟซบุ๊กของตนเพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อได้ด้วย
หลังจากนั้น นายศุภชัย กล่าวว่า “ท่านมิ่งขวัญไปคิดให้ละเอียดรอบคอบดีไหมครับ เสียดายนะครับ” ซึ่งนายมิ่งขวัญตอบทันทีว่า “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณทุกท่าน ขอบคุณเพื่อน ส.ส.ทุกคนด้วยครับ” เมื่อนายมิ่งขวัญพูดจบ ส.ส.ฝ่ายค้าน ต่างพากันปรบมือให้กำลังใจ
วันต่อมา (18 ก.พ.) นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ แถลงกรณีนายมิ่งขวัญ ประกาศลาออกจาก ส.ส. กลางสภาฯ ว่า พรรคให้เกียรติสมาชิกพรรค และ ส.ส. ทุกคน การจะขับใครออกต้องมีความผิดชัดเจน ไม่ใช่มาขอให้ขับออกก็จะขับได้ ถ้าอยู่ๆ มาขอร้องกันก็จะผิดกฎหมาย
ส่วนเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล เนื่องจากที่ผ่านมา ก็ทำหน้าที่พรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ แต่พอดำเนินงานไปแล้วมีปัญหาเรื่องจุดยืนในการปกป้องสถาบันฯ จึงกลับมาพูดคุยกับสมาชิกพรรค ถ้าเราเพิกเฉยจะไม่ถูกต้อง กรรมการบริหารพรรคจึงมีมติมาร่วมรัฐบาล เพื่อปกป้องสถาบันฯ และอีกเหตุผลหนึ่ง คือ การเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่สามารถเอานโยบายมาปฏิบัติจริงได้ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่เป็นนโยบายของพรรค เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า, เรื่องรถยนต์ดัดแปลง, เขตเศรษฐกิจพิเศษ และผู้ลี้ภัยสงคราม ซึ่งสามารถทำให้สำเร็จได้ หากอยู่ฝั่งรัฐบาล
นายมนูญ กล่าวอีกว่า แม้ว่าตอนนี้การทำงานของรัฐบาลจะมีปัญหามาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ การจัดเก็บภาษีลดลง รายได้ของประชาชนน้อยลง แต่ตนได้ปรึกษากับนายกรัฐมนตรี ต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่กระเตื้อง เราก็เยียวยาไม่ไหว จุดยืนของพรรคคือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ด้วยข้อจำกัดในการเก็บรายได้ของรัฐบาล ก็พยายามเสนอให้แก้ไขปัญหากันต่อไป ประคับประคองเสถียรภาพของรัฐบาล ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องเจอกับปัญหาการจัดเก็บภาษี เราจึงพยายามผลักดันให้รัฐบาลส่งเสริมธุรกิจใหม่ๆ และพืชเศรษฐกิจ
นายมนูญ ยังกล่าวถึงนายมิ่งขวัญด้วยว่า จุดมุ่งหมายของท่านที่ต้องการประสบความสำเร็จทางการเมืองสูงสุดให้ได้ พรรคไม่สามารถนำพาท่านไปถึงจุดนั้นได้ เพราะมี ส.ส. ไม่ถึง 20 คน พรรคมีจุดยืนด้านเศรษฐกิจและการปกป้องสถาบันฯ แต่ตนไม่ขอเปิดเผยจุดมุ่งหมายทางการเมืองสูงสุดของนายมิ่งขวัญ ให้ไปถามเจ้าตัว พร้อมยืนยันว่า พรรคไม่ได้มีการ “รับกล้วย” แต่มาเพื่อการปกป้องสถาบันฯ อย่างไรก็ตาม ตอนเป็นฝ่ายค้านก็ทำงานเต็มที่ แต่พอเจอปัญหาเรื่องการปกป้องสถาบันฯ จึงทำให้เปลี่ยนข้าง แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด
4. พ่อ-แม่ "หมอกระต่าย" ฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายจาก "ส.ต.ต.นรวิชย์-สตช.” 72 ล้านบาท หลังซิ่งบิ๊กไบค์ชนลูกสาวคาทางม้าลายดับ!
จากกรณีที่ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ผบ.หมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (กก.1 บก.อคฝ.) ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์พุ่งชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ หมอกระต่าย จักษุแพทย์ อย่างแรง ขณะกำลังเดินข้ามทางม้าลาย หน้าโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ เป็นเหตุให้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งภายหลังตรวจพบว่า ส.ต.ต.นรวิชญ์ ซิ่งบิ๊กไบค์ด้วยความเร็วสูงถึง 128 กม./ชม. ทั้งที่อยู่ในเมือง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นพ.อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล กับนางรัชนี สุภวัตรจริยากุล พ่อและแม่ของ พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือหมอกระต่าย พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้าเข้ายื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ส.ต.ต.นรวิชญ์
นายณัฐพล ชิณะวงศ์ ทนายความ กล่าวว่า วันนี้ได้พาครอบครัวของหมอกระต่ายมายื่นฟ้องคดีละเมิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการฟ้องหน่วยงานต้นสังกัดเป็นจำเลยที่ 1 ส่วน ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก เป็นจำเลยที่ 2 พร้อมเรียกค่าเสียหายการจัดการศพ ค่าเสียหายการเลี้ยงดูที่ครอบครัวเสียไปจากการเสียชีวิตของบุตรสาวเป็นเงิน 72 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนดนับตั้งแต่วันที่ถูกละเมิด ซึ่งขณะนี้ได้ยื่นฟ้องเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางศาลต้องพิจารณาว่าจะรับฟ้องหรือไม่ต่อไป โดยมีการนัดคุยประเด็นข้อพิพาทในวันที่ 20 เม.ย. เวลา 13:00 น.
นายณัฐพล กล่าวอีกว่า “สำหรับค่าเสียหายที่เรียกไป ได้มีการประเมินจากหลายส่วน ทั้งประเมินตามศักยภาพของหมอกระต่ายว่า ถ้ายังมีชีวิตอยู่ จะสามารถทำงาน ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้เท่าไหร่ การเลี้ยงดูพ่อแม่ หากหมอกระต่ายทำงานจนถึงวัยเกษียณหรือทำงานหลังจากเกษียณแล้ว จะมีรายได้ประมาณ 300 ล้านบาท และจะสามารถจ่ายภาษีให้แก่รัฐได้ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งการประเมินในครั้งนี้ มีนักวิชาการ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยได้ร่วมประเมินด้วย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก ส.ต.ต.นรวิชญ์ ไม่สามารถจ่ายค่าเสียหายตามที่ฟ้องได้ ทางครอบครัวจะดำเนินการอย่างไร ทนายความ กล่าวว่า การที่ฟ้องต้นสังกัดถือว่าเป็นหลักประกันด้วย ถ้าศาลพิจารณาให้รับผิดทั้งคู่ หรือหน่วยงานใดรับผิด ทางครอบครัวก็จะได้รับเงินค่าเสียหายในส่วนนี้
5. อัยการยื่นฟ้องหมอ รพ.ตำรวจ เมาแล้วขับ ซิ่งปอร์เช่ป้ายแดงพุ่งชนซีวิค ดับ 2 สาหัส 1 !
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ศาลอาญาธนบุรี พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.ภาณุรักษ์ รัตนไพศร นายแพทย์ (สบ1) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลตำรวจ เป็นจำเลย ในความผิดฐานขับรถขณะเมาสุรา และโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถที่มีไว้เพื่อขายหรือเพื่อซ่อมในเวลาต้องห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2564 จำเลยได้ขับรถปอร์เช่ ป้ายแดง เวลาหลังพระอาทิตย์ตกแล้ว ไปตาม ถ.ราชพฤกษ์ แขวงบางจาก เขตภาษีเจริญ กทม. ในขณะที่จำเลยเมาสุราโดยมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถความเร็วเกินกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่กฎหมายกำหนด แล้วได้เกิดพุ่งชนท้ายรถยนต์ฮอนด้าซีวิคได้รับความเสียหายอย่างมาก ซึ่งผู้โดยสารในรถยนต์ซีวิค 2 คน (ชาย-หญิง) ได้รับอันตรายจนถึงแก่ความตาย และหญิงที่ขับขี่รถยนต์ซีวิคคันดังกล่าวได้รับอันตรายสาหัส หลังเกิดเหตุ จำเลยได้นำหลักทรัพย์เป็นเงิน 200,000 บาท ประกันตัวออกไปในชั้นพนักงานสอบสวน
ทั้งนี้ ศาลประทับฟ้องไว้เป็นคดี กำหนดนัดพร้อมและตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 25 เม.ย.นี้ เวลา 10.00 น. ด้านจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพิจารณา ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 200,000 บาท
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2564 พ.ต.ท.ประพันธ์ กิมประพันธ์ สว.(สอบสวน) สน.ภาษีเจริญ รับแจ้งเหตุรถชนกันมีผู้เสียชีวิต ใต้สถานีบีทีเอสบางหว้า ถนนราชพฤกษ์ขาออก มุ่งหน้าตลิ่งชัน แขวงบางจาก เขตภาษีเจริญ กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมแพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุเป็นถนน 3 เลน จากการตรวจสอบช่องทางเดินรถฝั่งขวาสุด พบรถเก๋ง ยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne สีขาว ทะเบียนป้ายแดง ฆ 4078 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่ในสภาพด้านหน้าพังยับ เนื่องจากชนท้ายรถคู่กรณีเป็นรถเก๋ง ยี่ห้อ Honda รุ่น city สีดำ ทะเบียน 1 กฒ 3472 กรุงเทพมหานคร จนกระเด็นไปไกลกว่า 50 เมตร ส่งผลให้รถคู่กรณีฟาดซ้ำเข้ากับราวเหล็กกั้นขอบทางด้านขวาสุดจนพังยับทั้งคัน
มีผู้เสียชีวิตที่นั่งมากับรถเก๋ง Honda ในที่เกิดเหตุทันที เนื่องจากคอหัก จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย น.ส.พรยมล แซ่ลิ่ม อายุ 29 ปี และนายชาคริต สิริอิสสระนันท์ อายุ 75 ปี ส่วนผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส น.ส.ผ่องเพชร สิริอิสสระนันท์ อายุ 44 ปี กู้ภัยต้องใช้อุปกรณ์ตัดถ่างออกจากซากรถนำส่งไป รพ.ศิริราช ให้แพทย์รักษาอย่างเร่งด่วน
จากการสอบสวน ร.ต.ท.ภาณุรักษ์ รัตนไพศร นายแพทย์ (สบ1) กลุ่มงานศัลยกรรม รพ.ตำรวจ ผู้ขับขี่รถ PORSCHE ให้การทั้งน้ำตาว่า ก่อนเกิดเหตุไปสังสรรค์กับเพื่อนมาเพียงเล็กน้อย ไม่มีอาการมึนเมาแต่อย่างใด กำลังขับรถกลับบ้าน กระทั่งถึงจุดเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาฝนตก และจังหวะขับลงสะพานพอดี ทำให้หยุดรถไม่อยู่ พุ่งชนรถเก๋งคู่กรณีอย่างจัง หลังเกิดเหตุตนได้รีบแจ้งเหตุและลงมาช่วยเหลือคู่กรณี พยายามทำ PCR กู้สัญญาณชีพให้นายชาคริตแล้ว แต่ยื้อไว้ไม่ไหว ทำให้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จากนั้นยืนรอมอบตัวกับพนักงานสอบสวน รับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นตามกฎหมาย