xs
xsm
sm
md
lg

‘กฤษดาวรรณ เมธาวิกุล’ ผู้สืบสายธารธรรมแห่งวัชรยานและความผูกพันต่อทิเบต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เธอคือผู้ที่สนใจในวัฒนธรรม-ศาสนาพุทธวัชรยานและภาษาทิเบต เรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอินเดียนาเพื่อเรียนภาษาทิเบตโดยเฉพาะ เรียนและฝึกฝนอย่างหนัก กระทั่งเข้าสู่ปีที่ 3-4 จึงสามารถอ่านและแปลคัมภีร์ทิเบตได้ กระทั่งปัจจุบัน ความเชี่ยวชาญในภาษาทิเบตของเธอเรียกได้ว่าเป็นภาษาที่สอง ที่เธอพร้อมแบ่งปันแก่ศิษย์ เธอแปลบทสวดสำคัญแก่ศิษย์ทั้งแปลจากทิเบตเป็นภาษาไทย และแปลบทสวดสำคัญเป็นภาษาทิเบตเพื่อให้ศิษย์ได้สามารถสวดเป็นภาษาต้นฉบับเมื่อมีคุรุแห่งสายธรรมวัชรยานชาวทิเบตมาเยือนยังพันดาราและศูนย์ขทิรวันที่เธอก่อตั้ง

ราวปีพ.ศ. 2550 รศ.ดร.กฤษดาวรรณ เมธาวิกุล อดีตอาจารย์ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัดสินใจเดินกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ในทิเบต เป็นระยะทาง 80 กิโลเมตร พร้อมกับการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่พร้อมละทิ้งหน้าที่ทางโลกและมุ่งสู่หนทางธรรม ด้วยการยื่นใบลาออกจากราชการก่อนเดินทางไปกราบอัษฎางคประดิษฐ์ อีกทั้งมีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อทำงานทางธรรมให้มูลนิธิพันดารา และศูนย์ขทิรวัน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เธอก่อตั้งอย่างเต็มตัว


บทสนทนาระหว่าง ‘ผู้จัดการออนไลน์’ กับเธอผู้นี้ จึงนับเป็นศรัทธาอันงดงามที่เปี่ยมด้วยการตระหนักในธรรมอันลุ่มลึก ไม่ว่าคัมภีร์สำคัญที่เธอบอกเล่า ดุลยภาพของจิตกับจักรวาล พระพุทธเจ้าในหลากหลายสัมโภคกาย ที่ล้วนเชื่อมโยงและสำคัญต่อจิต และโพธิจิต รวมถึงปัญญาญาณแห่งการตื่นรู้ และจักรวาลอันแผ่ไพศาลมิมีประมาณ ธรรมอันลึกซึ้งที่เธอถ่ายทอด ชวนให้เราย้อนนึกไปถึงนับแต่วินาทีที่เธอในวัยสาวน้อยวัย 21 ปี ได้พบพระทิเบตเมื่อครั้งเดินทางไปทั่วโลกในฐานะยุวพุทธ กระทั่งต่อมา ได้พบพระปฐมาจารย์ ได้กราบอัษฎางคประดิษฐ์เพื่อสร้างกุศลกรรมและสลายอกุศลกรรมทั้งปวง

การมุมานะเรียนภาษาทิเบตกระทั่งอ่านคัมภีร์ที่รจนาเป็นภาษาทิเบตได้อย่างเชี่ยวชาญ ทั้งทำหน้าที่เป็นอาจารย์พี่เลี้ยงคอยนำทางศิษย์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน มอบบทสวดแก่ศิษย์ สอนคำสวดเป็นภาษาทิเบตแก่ศิษย์ ความรู้ทางธรรมอันใดที่เธอตระหนัก เธอพร้อมมอบและแบ่งปันแก่ศิษย์และผู้ที่สนใจ ด้วยเหตุนั้น จึงมิเกินเลยแม้แต่น้อย ที่จะกล่าวว่า มูลนิธิพันดารา และศูนย์ขทิรวัน ที่เธอผู้นี้ก่อตั้ง คืออาณาสถานที่สายธารธรรมแห่งวัชรยานและวัฒนธรรมทิเบตได้รับการสืบต่ออย่างมีชีวิตชีวา เปี่ยมด้วยศักดิ์และสิทธิ์พร้อมด้วยศรัทธาอันตั้งมั่น เป็นสถานอันสืบต่อสายธารธรรมแห่งสำคัญอีกแห่งหนึ่งของโลกใบนี้อย่างแท้จริง
…..


ความประทับใจแรกต่อทิเบตและวัชรยาน

บทสนทนาเริ่มต้นขึ้น โดยย้อนไปก่อนที่จะก่อตั้งมูลนิธิพันดาราและสร้างสถานภาวนาขทิรวัน
ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขอถามย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นที่คุณได้รับทุนยุวพุทธไทย ในครั้งนั้นทราบว่าคุณได้พบกับชาวทิเบต คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

อาจารย์ กฤษดาวรรณ ตอบว่า ครั้งนั้นนานมากแล้ว ได้ทุนตั้งแต่เมื่อตอนอายุยังน้อยๆ อยู่ นับเป็นครั้งแรกที่รู้จักวัชรยาน เพราะเป็นตัวแทนยุวพุทธ เดินทางไปในหลายประเทศและในครั้งนั้น ตอนที่เดินทางเพิ่งจะมีอายุ 21 ปีเท่านั้น เพิ่งเรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วก็ได้รับทุน ต้องเดินทางไปในหลายประเทศ เพื่อเรียนรู้ศาสนาต่างๆ และในครั้งนั้นก็มีพระภิกษุชาวทิเบตสองท่านร่วมเดินทางด้วย ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการภาวนา นับเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักทิเบต ได้รู้จักพระทิเบต และได้รู้จักผู้ฝึกปฏิบัติในวิถีพุทธวัชรยาน ยอมรับว่ามีความประทับใจ เป็นอะไรทีใหม่มากสำหรับเรา และรู้สึกว่าพระทิเบตท่านจะใกล้ชิดผู้คน คือเราไม่รู้สึกว่า ท่านเป็นพระที่อยู่หางไกล แต่เรารู้สึกว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่เหมือนเป็นเพื่อน รู้สึกว่าอบอุ่น ในตอนนั้นจึงประทับใจ เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ต่อทิเบตและวัชรยาน แต่ก็ยังไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับวัชรยานเยอะมากนัก รู้เพียงว่าเป็นประเพณีการภาวนา ในวิถีของชาวทิเบตและผู้คนในแถบหิมาลัย แล้วชาวทิเบตก็มีการอพยพมาอยู่ที่อินเดีย เนปาล คือรู้แค่นั้นเอง แต่ว่าความรู้ตรงนี้ ความประทับใจตรงนี้ ทำให้เลือกเรียนภาษาทิเบตในเวลาอีกไม่กี่ปีต่อมา

นั่นคือเมื่อได้ไปศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอินเดียนา
อาจารย์กฤษดาวรรณก็เลือกเรียนภาษาทิเบต เพราะว่าอยากจะเข้าใจคัมภีร์ที่รจนาด้วยภาษาทิเบต รวมถึงอยากจะเข้าใจความเป็นทิเบตในแง่มุมต่างๆ

อาจารย์กฤษดาวรรณกล่าวว่า ในครั้งที่อาจารย์ไปเรียนภาษาทิเบต ที่มหาวิทยาลัยอินเดียนานั้น ต้องใช้เวลาประมาณ ประมาณ 3-4 ปี จึงพอที่จะอ่านคัมภีร์ได้

“ช่วงปีแรกๆ ยังไม่สันทัด เพราะว่าปีแรกเรียนทั้งอ่าน พูด ฟังเสียง เรียนทุกอย่างค่ะ ทั้งการสะกดคำ ท่องจำ ภาษาทิเบตไม่ใช่ภาษาง่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรียนที่อเมริกาก็อาศัยคุยกับอาจารย์และเพื่อนชาวทิเบตนิดหน่อย ที่เขาไปเรียนหนังสืออยู่ที่นั่น แต่โดยรวมเราต้องฝึกด้วยตัวเองเยอะ ต้องขยัน

ปีที่ 2 ก็ดีขึ้น แต่ก็ยังอ่านอะไรไม่ค่อยได้ มาเริ่มจริงจังในปีที่ 3 ปีที่ 4

แล้วก็หลังจากนั้น อาจารย์ได้เดินทางมาอยู่กับชาวทิเบต 1 ปี ที่เนปาล ก็ทำให้ได้ฝึกพูดฝึกใช้ภาษาทิเบตในชีวิตประจำวันค่ะ แต่หลังจากเรียนจบปริญญาเอกแล้ว สิ่งแวดล้อมไม่ได้เอื้ออำนวย เพราะกลับมาเมืองไทยแล้วก็ไม่มีผู้ที่จะพูดคุยเป็นภาษาทิเบตด้วย ไม่มีเพื่อนทางธรรมที่จะใช้ความรู้ภาษาทิเบตที่จะใช้ฝึกพระธรรมคำสอน แต่ว่าก็โชคดีที่ได้มีโอกาสเข้าไปทำวิจัยในทิเบต ตอนนั้น เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญเลยค่ะ จนกระทั่ง พบครูบาอาจารย์ชาวทิเบต คราวนี้ก็เลยได้ใช้ภาษาทิเบตอย่างเต็มที่ แล้ว ณ ตอนนี้ก็เรียกได้ว่า อาจารย์ใช้ภาษาทิเบตมากที่สุดรองจากภาษาไทย”

อาจารย์กฤษดาวรรณบอกเล่าได้อย่างเห็นภาพของความพากเพียรและความสนใจในสายธารธรรมทิเบตที่ทำให้ตั้งใจเรียนและฝึกฝนกระทั่งสามารถเขียนอ่านพูดฟังภาษาทิเบตได้อย่างดี


กราบอัษฎางคประดิษฐ์ที่ทิเบต 80 กม. : เรื่องราวเล่าขานไม่รู้จบ

หนึ่งในสิ่งที่ผู้คนซึ่งสนใจวัชรยานและวัฒนธรรมทิเบตรู้จักดี

เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์กฤษดาวรรณ ย่อมไม่พ้นการที่อาจารย์ทำอัษฎางคประดิษฐ์ที่ทิเบต เป็นระยะทาง 80 กม. ( หมายเหตุ : อัษฎางคประดิษฐ์เป็นการกราบที่ถือว่ายากที่สุดท่าหนึ่งในบรรดาท่ากราบทั้งหมด เพราะต้องทุ่มเทแรงกายและใจในการกราบมากกว่าท่าทั่วไป การกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ คือ การกราบโดยให้องคาพยพทั้ง 8 ตำแหน่งของร่างกาย อันได้แก่ หน้าผาก 1 หน้าอก 1 ฝ่ามือทั้ง 2 เข่าทั้ง 2 และปลายเท้าทั้ง 2 สัมผัสธรณี )

เมื่อถามไถ่ถึงการกราบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตนั้น อาจารย์กฤษดาวรรณตอบว่า ตัวอาจารย์เองนั้นได้พบพระปฐมาจารย์ตั้งแต่ปี 2002 กระทั่งปัจจุบันนี้ปี 2022 กล่าวคือผ่านมา 20 ปีพอดี

“ตั้งแต่ตอนนั้น อาจารย์ก็รู้แล้วว่าภาษาทิเบตจะเป็นภาษาที่เป็นภาษาหลักของชีวิต แล้วเมื่อศึกษาปฏิบัติในวิถีวัชรยาน อาจารย์ก็อ่านคัมภีร์เป็นภาษาทิเบต เพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรมก็จะได้รับบทปฏิบัติ แต่เนื่องจากครูบาอาจารย์เป็นทิเบต บทปฏิบัติทั้งหมดจึงถ่ายทอดผ่านภาษานี้ภาษาเดียวคือภาษาทิเบต ดังนั้น อาจารย์ต้องอ่าน ทำความเข้าใจทุกอย่างผ่านภาษาทิเบตภาษาเดียวเลยนะคะ”

ถามว่า การได้พบกับปฐมาจารย์หรือคุรุ หรือผู้ที่เราสืบสายธรรมด้วย มีการมุรธาภิเษกย่างไร มีพิธีอะไรไหม ในการที่เราสืบสายธรรมจากคุรุ หรือการที่คุรุท่านนี้ จะมาเป็นคุรุของเรา

ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพันดาราตอบว่า จริงๆ แล้ว เรื่องของการสืบสายธรรม หรือสืบสายการปฏิบัติ รวมทั้งสายคำสอน มีหลายศัพท์ที่เราใช้ ซึ่งจริงๆประเด็นนี้ นับเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แล้วมักเน้นในสิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในใจของผู้เป็นศิษย์ “ในระยะแรก ตอบยากนะคะ เพราะสิ่งนี้ไม่ได้เหมือนกันทุกคน บางคนอาจเรียกสายปฏิบัติ จากชื่อเสียงของสายปฏิบัตินั้นๆ หรือชื่อเสียงของสายครูบาอาจารย์ ที่มีชื่อเสียง มีผู้คนศึกษาจากท่านมาก ก็ไปขอรับคำสอนจากท่าน ส่วนของ อาจารย์นั้นไม่เหมือนคนอื่น ของอาจารย์เกิดขึ้นจากการเข้าไปหาพระอาจารย์ แล้วก็พระปฐมาจารย์ท่านแรก เมื่อได้เข้าไปกราบท่าน มีความรู้สึกว่าผูกพัน และประทับใจจากคำสอนที่ท่านสอนเพียงแค่ไม่กี่ประโยค แต่คำสอนของท่านเหมือนเปิดใจเรา และมีความรู้สึกว่า ท่านทำให้เราเห็นความหมายในชีวิต ทำให้เราอยากที่จะศึกษาพระธรรมคำสอน อยากจะมอบ กาย วาจา ใจ ให้กับการปฏิบัติ คือมีครูบาอาจารย์น้อยมากที่จะทำให้เราเป็นแบบนี้

ก่อนหน้านั้น ก็มีพบเจอครูบาอาจารย์ชาวทิเบตหลายท่าน แต่ความรู้สึกจะไม่เหมือนกับการได้พบกับพระปฐมาจารย์ท่านแรก เพราะว่า ท่านทำให้เราเกิดการใคร่ครวญชีวิต หันกลับมามองชีวิตเราและก็เหมือนกับทำให้เราได้คำตอบ ว่าอนาคตของเราจะเป็นไปในทิศทางใด

แต่สิ่งที่อาจารย์ได้รับจากพระปฐมาจารย์ สิ่งที่ได้รับจากท่านนั้น เป็นอะไรที่ไม่ได้เป็นพิธีรีตอง ไม่ได้เป็นแบบแผนว่าจะต้องมีพิธีมนตราภิเษกยิ่งใหญ่หรืออะไร เช่น ท่านอยู่เหนือบัลลลังก์แล้วแต่งชุดนักบวชยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรแบบนั้น ในทางตรงกันข้าม ท่านริมโปเชเรียบง่าย ตัวจริงริมโปเชเป็นโยคี แล้วก็เป็นพระปฐมาจารย์ของนักบวช ท่านเป็นระดับพระปฐมาจารย์ของนักบวชคือพระภิกษุ และภิกษุณีของทิเบต แต่ท่านไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นนักบวช เพราะว่าท่านมีครอบครัว เราเรียกว่าท่านเป็นโยคี แล้วท่านก็ไว้ผมยาว เครื่องแบบของท่านก็จะต่างจากนักบวชทั่วๆ ไป

เมื่ออาจารย์เจอท่านนั้น ท่านแต่งตัวเรียบง่ายมาก นั่งบนเก้าอี้ธรรมดา ตัวอาจารย์ก็นั่งบนเก้าอี้ เราคุยกันเหมือนกับบุคคลทั่วไปในสังคมที่เขาเจอกันแล้วเขาคุยกัน แต่เรารู้ว่า ท่านยิ่งใหญ่เพราะคำพูดของท่านไม่ธรรมดา คำพูดของท่านไม่เหมือนบุคคลทั่วไปในสังคม และเป็นความรู้สึกว่า เรามีที่พึ่ง เรามีผู้ที่จะนำทางเรา ตอนที่ถ่ายรูปด้วยกันครั้งแรก เมื่อพบกันครั้งแรกก็มีการขอถ่ายรูปกับท่านเป็นที่ระลึก อาจารย์ไม่กล้ายิ้ม เพราะคิดว่าท่านยิ่งใหญ่ในใจเรา แม้ว่าท่านไม่มีเครื่องแบบอะไร ท่านเรียบง่ายมากในวันนั้น แต่สำหรับเราท่านยิ่งใหญ่ และสูงส่ง นั่นเป็นความรู้สึกแรก หลังจากนั้น เราก็ค่อยๆ พัฒนาและฝึกฝน ซึ่งท่านก็มีมอบบทปฏิบัติ มอบคำสอนให้” อาจารย์กฤษดาวรรณระบุ และกล่าวเพิ่มเติมว่า พระปฐมาจารย์ไม่ได้หมายถึงครูคนแรก แต่หมายถึงครูผู้เป็นหลักของชีวิต ในภาษาทิเบต จะใช้คำที่เปรียบได้ว่า คือคุรุที่เป็นรากฐาน

ถามย้ำอีกครั้งว่า อาจารย์กฤษดาวรรณ พบปฐมาจารย์ก่อนที่จะเดินทางไปทำอัษฎางคประดิษฐ์ที่ทิเบต 80 กม. ใช่ไหม

คำตอบคือ “ใช่ค่ะ”

ถามว่า เช่นนั้นแล้ว ท่านปฐมมาจารย์ ถือเป็นแรงบันดาลใจหรือไม่

อาจารย์กฤษดาวรรณตอบว่า “แน่นอนค่ะ แต่ว่า แรงบันดาลใจในการทำอัษฎางคประดิษฐ์คือโครงการพระมหาสถูป ซึ่งตอนนั้น อาจารย์ตัดสินใจที่จะสร้างพระมหาสถูป ตั้งแต่เมื่อครั้งอาจารย์ยังเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ แต่ได้ซื้อที่ดินที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมที่ขทิรวันแล้ว แล้วก็คิดว่า ตลอดชีวิตเรา เราใช้ชีวิตในทางโลก ถ้าเราจะมาใช้ชีวิตทางธรรม แล้วพระมหาสถูปนั้นคือกุศลอันไม่มีประมาณ ก็อยากจะสลายอกุศลกรรมใดๆ ก็ตามที่ได้เคยทำ ผ่านการบอกรับความยากลำบากทางกาย ผ่านการกราบอัษฎางคประดิษฐ์เหมือนชาวทิเบต ซึ่งชาวทิเบตเชื่อว่าเป็นกุศลอันไม่มีประมาณ เพราะว่าเราใช้ร่างกายของเรา สลายบาปกรรม และบ่มเพาะความรักความกรุณาให้กับทุกชีวิต เพราะขณะกราบต้องตั้งจิตถึงทุกชีวิต เบื้องหน้าก็มีพระปฐมาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระโพธิสัตว์ทิเบตมากมาย รวมถึงพระผู้ปกป้องทางธรรม ที่เราเรียกว่าพระธรรมบาล

การที่อาจารย์ เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ จริงๆ อาจารย์ศึกษาก่อนที่จะไปกราบ คือเราเรียกว่าปฏิบัติเบื้องต้น คืออาจารย์ได้กราบอยู่ที่บ้านมาเยอะมากนะคะ บางวันก็กราบ 500-600 ครั้ง ดังนั้น เรารู้ว่าเราทำได้แน่นอน และอยากให้เป็นประสบการณ์ที่ประเสริฐของชีวิตก่อนที่จะเริ่มงานสร้างพระมหาสถูป

เป็นอะไรที่ตั้งใจไว้อย่างนั้น ตอนที่ไปขอพรพระปฐมาจารย์ ก่อนที่จะเดินทางไปลาซา ท่านประหลาดใจ ท่านเสนอให้สร้างพระสถูปทำไมถึงจะไปกราบแบบทิเบต แต่ก็บอกท่านว่า อยากได้รับพรอันยิ่งใหญ่ และอยากทำอะไรที่เป็นหมุดหมายของชีวิต ท่านก็ให้พรค่ะ และก็อนุโมทนาค่ะ” อาจารย์กฤษดาวรรณบอกเล่าได้อย่างเห็นภาพของความมุ่งมั่นตั้งใจในทางธรรม


การก้มกราบและตระหนักรู้ทางธรรม

ถามว่า วินาทีที่ก้มลงกราบอัษฎางคประดิษฐ์ มีวินาทีไหน ที่รู้สึงหยั่งถึงสภาวะทางธรรม

อาจารย์กฤษดาวรรณตอบว่า “ในชาวทิเบตเราจะใช้คำว่าตระหนักรู้ คือการที่เราเกิดความตระหนักรู้ทางธรรม เกิดสภาวธรรม เกิดการเห็นว่าทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว มีทั้งในขณะที่ยากที่สุดและทุกอย่างช่างงดงาม อย่างเช่น มีวันหนึ่ง หลังจากเดินทางมาหลายวัน รู้สึกว่า สิบวันแล้วที่กราบไปบนถนน ผ่านความยากลำบากมาประมาณหนึ่งแล้ว พอถึงวันที่ 9 วันที่ 10 ร่างกายรู้สึกไม่ยากลำบากแล้ว และการกราบนั้นเป็นความเบิกบานอย่างเดียว ก่อนหน้านั้น ก็ยังมีเหมือนกับว่าเหนื่อย ต้องหยุดเป็นระยะ แต่เมื่อเรากราบมาถึงประมาณ 9 วัน 10 วัน ร่างกายอยู่ตัวและสบายมาก แล้ววันนึง เย็นวันหนึ่ง เรากางเตนท์ ที่ริมแม่น้ำพรหมบุตร ตอนนั้น เป็นขณะที่อาจารย์หยุดพักจากการกราบ และหยิบอุปกรณ์การกราบออกหมดแล้วยืนดูน้ำที่พระอาทิตย์กำลังจะตก ก็มองเงาสะท้อนไปในน้ำ ความรู้สึกคือรู้สึกว่าทุกอย่างช่างยิ่งใหญ่ ว่าง แผ่ไพศาล เบิกบาน เป็นความรู้สึกที่ประเสริฐมากๆ มันเหมือนกับดวงจิตของเรา รวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำช่างมีความหมายสูงส่ง และนำเรามาถึงจุดนี้ มาถึงจุดที่เราได้เชื่อมโยงกับธรรมที่แผ่ไพศาล เป็นหนึ่งของประสบการณ์ทางธรรมที่อาจารย์รู้สึกว่างดงาม เหลือเกิน และทำให้ได้เข้าใจความหมายของการปฏิบัติ

เพราะบางคนได้ยินคำว่ากราบอัษฎางคประดิษฐ์ ก็จะคิดว่ายาก และบางคนก็จะถามว่าจะไปทรมานตัวเองทำไม กราบแล้วเหนื่อยแทน มักจะมีคำถามทำนองนี้ แต่เขาไม่รู้ว่า เมื่อนักกราบ ได้กราบไปเรื่อยๆ นักกราบจะได้รับของขวัญ เมื่อจิตหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อเรากราบไปแล้วจิตของเราได้รับการบ่มเพาะด้วยความรักความกรุณาและศรัทธา ที่เราทำอยู่ทุกวัน ความอ่อนน้อมที่บังเกิดในใจอยู่ทุกวัน ทำให้กิเลสไม่มีที่ยืนในขณะนั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ ที่อยู่เบื้องหน้าและอยู่รอบตัวเรา เป็นสิ่งที่ช่างงดงาม ไม่มีคำพูดใดที่จะพรรณนาความรู้สึกแบบนั้นได้เลยค่ะ”ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพันดาราบอกเล่าถึงสภาวะอันงดงามแผ่ไพศาลที่ปรากฏแก่จิตอันตระหนักรู้ในธรรม

ถามว่า เมื่อครั้งเดินทางไปกราบอัษฎางคประดิษฐ์ที่ทิเบต 80 กม. เมื่อกลับมาเมืองไทย คุณก็ลาออกจากการเป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ ใช่หรือไม่

อาจารย์กฤษดาวรรณสะท้อนคำตอบที่สื่อถึงความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้า ระบุว่า จริงๆ แล้ว อาจารย์ส่งใบลาออกก่อนไปกราบ เนื่องด้วยกลัวและไม่แน่ใจว่าทางมหาวิทยาลัย เขาจะเห็นด้วยหรือไม่ แล้วอาจารย์ก็ต้องลาเดินทางไกล รวมทั้งมีภารกิจที่จะสร้างศูนย์ภาวนา ดังนั้น จึงตัดสินใจส่งใบลาออก แต่การลาออกจริงๆ ก็ต้องเคลียร์งานที่ค้างต่างๆ และได้รับคำแนะนำมาว่าควรออกในช่วงปีงบประมาณ คือครบหนึ่งปีของมหาวิทยาลัย ซึ่งตรงกับเดือนตุลาคม แล้ว อาจารย์ก็ลาออกในวันที่ 1 พ.ย.ของปีนั้น

อาจารย์กฤษดาวรรณเล่าว่า ทำอัษฎางคประดิษฐ์ที่ทิเบตในปี 2550

ขณะที่ก่อตั้งมูลนิธิพันดารา ในปี 2548

โดยมูลนิธิพันดารา ก่อตั้งขึ้นก่อนจะไปกราบที่ทิเบต โดยใช้บ้านของอาจารย์เอง เป็นที่ตั้งที่ทำงาน แล้วจากนั้นปี 2549 อาจารย์ก็ซื้อที่ดินที่หัวหิน แต่ยังไม่ได้ทำอะไรจริงจัง เพราะในช่วงนั้นยังทำงานมหาวิทยาลัยอยู่ แต่ในปี 2549 ซี่งมีการซื้อที่ดินเพื่อสร้างขทิรวัน อาจารย์ถือว่าตั้งแต่วันแรกที่ครอบครองที่ดิน ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการงานทางธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว

ดังนั้น ปี 2550 หลังจากกราบที่ทิเบต จึงเป็นการทุ่มเทเต็มตัว อาจเรียกว่าเริ่มเต็มตัวในปี 2551 เพราะว่าปี 2550 ช่วงปลายปี ยังต้องดูแลวิทยานิพนธ์ของลูกศิษย์ให้เรียบร้อย

อาจารย์กฤษดาวรรณกล่าวว่า ทั้งมูลนิธิพันดารา และศูนย์ขทิรวันที่ อ.หัวหิน ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ก่อนที่อาจารย์จะไปกราบที่ทิเบต ดังนั้น เรียกได้ว่าอาจารย์มีความมุ่งมั่นอยู่ในสายธรรมนี้อยู่แล้ว ทั้งต้องการบำเพ็ญบารมี และอย่างที่อาจารย์บอกไว้ข้างต้น ว่าอยากให้การกราบเป็นประสบการณ์พิเศษของชีวิต ในการที่เราจะเปลี่ยนชีวิตทางโลก มาสู่ชีวิตทางธรรมอย่างเต็มที่

“ก่อนหน้านั้นชีวิตทางโลก เรียกว่า ส่วนสำคัญก็คือไปทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย รับเงินเดือน เวลาที่เหลือ คือกลางคืน และวันหยุด ก็มอบให้ทางธรรม แต่เมื่อลาออกมา เรามีแต่ชีวิตทางธรรม แต่เราไม่ได้ทิ้งโลก เพียงแต่ชีวิตของเรามอบให้ทางธรรมเป็นหลัก ในขณะที่เปลี่ยนประสบการณ์นี้ อาจารย์อยากสร้างกุศลที่ยิ่งใหญ่ จริงๆ การสร้างพระมหาสถูปยิ่งใหญ่มาก แต่อาจารย์อยากจะทำ เพื่อเป็นพรแก่การงานด้วย เพื่อประสบการณ์ของอาจารย์ด้วย และเพื่อการภาวนา มันมีหลายเหตุผลน่ะค่ะ” อาจารย์กฤษดาวรรณบอกเล่าถึงหนทางแห่งการกราบที่หยั่งลึกในธรรมและเกินกว่าจะพรรณนาได้หมดสิ้น


ย่างก้าวสู่ 15 ปี พันดาราและขทิรวัน

ถามว่า ณ ตอนนี้ เป็นระยะเวลาประมาณ 14-15 ปีแล้วที่ก่อตั้งมูลนิธิพันดารา และศูนย์ขทิรวัน คิดว่าความรู้ความเข้าใจของคนในสังคมไทยที่มีต่อทิเบตและสายธรรมวัชรยาน มีมากน้อยแค่ไหน

ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพันดาราตอบว่า มีเพิ่มขึ้นมาก แต่ความรู้สึกอาจารย์คือคิดว่า ความเข้าใจที่ข้ามสายนิกายยังน้อย เหมือนกับจะรู้จักในแนวทางของตนเป็นหลัก การศึกษาจากคุรุอาจารย์ในทิเบตยังน้อยมากๆ ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะเป็นความรู้สมัยใหม่ ซึ่งเหล่านี้ก็นับว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้วัชรยานกับสังคมสมัยใหม่เดินทางไปด้วยกันได้

“แต่สำหรับอาจารย์นั้น อาจารย์ถูกฝึกมาอีกแบบ คือ ถูกฝึกมาจากวัดทิเบต จากสถานภาวนาของพระอาจารย์ ซึ่งเป็นความรู้ที่สืบต่อกันมา ซึ่งคุรุมอบให้แก่ศิษย์ในอดีต แล้วก็ศิษย์นั้นก็ฝึกฝนจนเป็นคุรุ แล้วก็มอบต่อกันมา เป็นแบบนั้น แล้วก็ประกอบกับอาจารย์มิว เยินเต็น (Meu Yontan) มาใช้ชีวิตกับอาจารย์ที่เมืองไทย เป็นช่วงไล่เลี่ยกับที่ศูนย์ขทิรวันเกิดขึ้น ดังนั้น การที่อาจารย์อาจารย์มิว เยินเต็น (Meu Yontan) ซึ่งมีความรู้ทางธรรม และมีประสบการณ์จากการเป็นนักบวชมา 20 กว่าปี บวชตั้งแต่อายุ 9 ขวบ สิ่งที่อาจารย์เยินเต็นมีความรู้ อาจารย์ เยินเต็นไม่เคยเรียนวิชาความรู้ทางโลกเลย วิชาเดียวทางโลกที่เคยเรียน คือ ภาษาจีน เพราะฉะนั้น ความรู้ทั้งหมดของอาจารย์เยินเต็นจึงมาจากวัด แล้วความรู้และประสบการณ์ของอาจารย์เยินเต็นนั้น มีคุณค่ามาก เพราะมันเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปในสังคมไทย ทำให้เราสามารถที่จะนำสายธารธรรมจากทิเบตที่เหมือนกับที่ครูบาอาจารย์ฝึก เหมือนกับที่นักบวชทิเบตฝึก มาเติบโตที่นี่ เพียงแต่เราไม่ได้เน้นสายนักบวช เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราสอน ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสสามารถเรียนได้ ดังนั้น เขาจึงได้รับประสบการณ์ที่มีค่ามาก ได้คำสอนทิเบตที่โดยทั่วไปแล้ว ฆราวาสโดยทั่วไปจะไม่ได้รับ

ฆราวาสทิเบตโดยทั่วไปต้องพิสูจน์ให้ครูบาอาจารย์เห็น ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีความมุ่งมั่นมาก ถ้าไม่ใช่นักบวช ครูบาอาจารย์จึงจะมีการมอบคำสอนพิเศษเมื่อเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจ

แต่ของเรา เรามีการมอบคำสอนให้ เพราะว่าผู้คนในโลกสมัยใหม่เขาควรจะมีความรู้ ถ้าเขาไม่มีความรู้ในแง่จิตวิญญาณจากทิเบตเลย การสืบสายคำสอนจะไม่เกิดขึ้น เพราะเรารอให้เขาเติบโตทางจิตวิญญาณแบบพระภิกษุไม่ได้ค่ะ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสอน มอบให้เขาเห็นว่า สิ่งเหล่านี้คือขุมทรัพย์ เมื่อเขาเห็นและนำไปใช้ประโยชน์ได้ วัชรยานก็ได้รับใช้สังคมไทย


นอกจากนี้อาจารย์มองคำสอนกับสังคมไทยในอีกแง่มุมหนึ่ง คืออาจารย์มองว่า การดับทุกข์เกิดขึ้นได้เมื่อเราเข้าใจคำสอนอย่างลุ่มลึกและเราจะมีปัญญาญาณ ที่เราจะนำคำสอนไปประยุกต์ใช้กับชีวิตและนำไปช่วยคนอื่น

เพราะว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวอาจารย์ จริงๆ การฝึกของอาจารย์เรียกว่าเป็นการฝึกเข้ม เพราะว่าครูบาอาจารย์บางทีสอนน้อยมาก เราต้องกลับมาศึกษา กลับมาฝึกฝนเอง เหมือนกับเป็นการภาวนา ที่เราต้องช่วยเหลือตัวเองเยอะมาก แต่ลูกศิษย์ไทย จะมีอาจารย์เป็นพี่เลี้ยง พูดเป็นภาษาแม่ เป็นภาษาไทย ทุกอย่างอาจารย์ก็แปลเป็นภาษาไทยให้ สำหรับอาจารย์ คิดว่าการเรียนคัมภีร์โบราณของพวกเค้าก็ไม่ยาก เพราะเมื่อเรียนโดยภาษาแม่แล้ว ก็ไม่ได้ยาก” อาจารย์กฤษดาวรรณระบุและกล่าวเพิ่มเติมว่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเรามีความสนใจอยู่แล้ว สนใจในคำสอน อ่านทุกอย่างเป็นภาษาไทย คำสวดนั้นเราแนะนำให้สวดทั้งไทยและทิเบต เพราะเมื่อมีนักบวชทิเบต หรือว่าครูบาอาจารย์ชาวทิเบตมา ลูกศิษย์ทุกคนสามารถสวดกับครูบาอาจารย์เป็นภาษาทิเบตได้ ก็นับเป็นความสุข เป็นสิ่งที่เป็นความงดงาม ที่เขาสัมผัสได้ และเป็นความงดงามที่เราจะรักษาบทสวดภาษาทิเบตให้ดำรงอยู่ในสังคมไทย เพราะอาจารย์คิดว่า ถ้าในสมัยอาจารย์ เราสวดเฉพาะภาษาไทย เมื่ออาจารย์จากโลกนี้ไป ทุกคนก็จะสวดเฉพาะภาษาไทย หากเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า เมื่อครูบาอาจารย์ทิเบตมา เราก็จะไม่เข้าใจท่าน สวดกันคนละภาษา ทำนองนั้น

อาจารย์จึงอบรมพวกเค้าและมีสอนภาษาทิเบตให้ด้วย แต่เนื่องจากทุกคนมีเวลาน้อย เมื่อมาเรียนภาษาด้วย เรียนปฏิบัติด้วย ก็อาจจะท้าทายมากสำหรับพวกเค้า แต่ทุกคนก็มีความพยายามกัน


ดุลยภาพแห่งจักรวาล

ถามลึกขึ้นอีกระดับว่า มีตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่า ทิเบตเป็นดินแดนที่ครอบครองคัมภีร์ ‘กาลจักรตันตระ’ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบให้คุรุทางธรรมนายธารทางวัชรยานของชัมบาลาและทิเบตเท่านั้น อาจารย์มีคัมภีร์กาลจักรตันตระหรือไม่ แล้วกาลจักระตันตระคืออะไรกันแน่

ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพันดาราตอบว่า “ค่ะ จริงๆ แล้ว อาจารย์อาจไม่ได้เน้นในชื่อเดียวกัน แต่มีคำอื่นที่เชื่อมโยง เป็นคัมภีร์ที่เชื่อมโยงกับกาลจักระ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เราจะสร้างดุลยภาพให้เกิดกับจักรวาล เพื่อที่จะให้เกิดสันติและสันติสุขในจักรวาล ทุกอย่างต้องปรองดอง ต้องสมดุล ในแง่ของธาตุต่างๆ มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม และมนุษย์กับจักรวาล ซึ่งคัมภีร์นี้ สมเด็จองค์ดะไลลามะท่านเป็นคนเน้นจากตันตระระดับสูง

แต่จริงๆ แล้ว ความสำคัญ จุดเริ่มต้นของคัมภีร์นี้คือการฝึกปฏิบัติแบบพระพุทธเจ้าในคัมภีร์ตันตระ เป็นพระพุทธเจ้าที่คนไทยรู้จักกันในสายทิเบตว่าเป็นผู้ชี้นำหนทาง หรือว่าบางทีเราเรียกว่าพระบรมศาสดา พระบรมครู ซึ่งเน้นคำสอนด้านใน ที่คนไทยรู้จักในประเพณีของพุทธแบบไทย เราเรียกว่าคัมภีร์ตันตระ ซึ่งก็เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ซึ่งก็สืบจากพระพุทธเจ้าจริงๆ

ซึ่งพระพุทธเจ้ามีหลายพระองค์นะคะ ไม่ได้มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรารู้จัก แต่พระพุทธเจ้าในพระคัมภร์ตันตระ เราจะขนานนามพระองค์ว่า ‘พระยีตัม’

เมื่อเอ่ยถึง ‘พระยีตัม’ คนไทยจะไม่เข้าใจ คนไทยเห็นพระทิเบตใส่เครื่องประดับ บางทีพระพักตร์อ่อนโยน สันติ บางทีท่านดูดุร้าย ก็จะเรียกท่านว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือดีกว่านั้นก็เรียกท่านว่า พระโพธิสัตว์

แต่จริงๆ แล้ว ฝั่งทิเบต คำว่าพระโพธิสัตว์ใช้เฉพาะพระสูตร แต่คัมภีร์ตันตระ ไม่ได้ใช้ อาจมีใช้บ้างแต่ไม่ได้เน้นว่าเป็นผู้บำเพ็ญบนหนทาง ความหมายไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น คัมภีร์กาลจักระนั้น เชื่อมโยงกับ ‘พระยีตัมปางพิโรธ’ ชื่อเดียวกัน เชื่อมโยงกับคัมภีร์” เชื่อมโยงกับพระองค์


ไม่ละทิ้ง ‘โพธิจิต’

อาจารย์กฤษดาวรรณกล่าวว่า ส่วนคัมภีร์ที่อาจารย์ฝึกนั้น จะเป็นการสร้างดุลยภาพกับจักรวาลเช่นกัน แล้วองค์ยีตัมก็จะคล้ายกันมาก เป็นปางพิโรธเช่นกัน

“เราแปลเป็นไทยว่า ‘แสงอาทิตย์แห่งความกรุณา’ ซึ่งการภาวนาของท่าน ก็เป็นคัมภีร์ตันตระระดับสูงเช่นกัน แล้วก็สืบผ่านมาจากพระพุทธเจ้าองค์ต้นกำเนิด ชื่อว่า

‘พระพุทธเจ้าสมันตภัทร’ คือคัมภีร์หลักในสมัยหลัง ที่อาจารย์นำมาสอนศิษย์ และเชื่อมโยงกับตันตระ เป็นคัมภีร์ที่เน้นสภาวธรรมเดียวกัน เพียงแต่ถ่ายทอดต่างกัน และมีต้นกำเนิดที่เรียกขานต่างกันค่ะ

พระสมันตภัทรผู้เป็นองค์ต้นกำเนิด ซึ่งพระองค์กว้างใหญ่ไพศาลมาก เท่ากับจักรวาลกว้างใหญ่พันล้าน และมากกว่านั้นคือไม่สามารถพรรณนาความกว้างใหญ่ของท่านได้

ถ้าลงลึกก็จะซับซ้อนในเรื่องของตันตระ เพราะจะเป็นพระปางพิโรธ และบทปฏิบัติโดยทั่วไปก็จะไม่ได้เปิดเผยโดยทั้งหมด เพราะถ้าคนไปฝึกเองจะอันตราย เพราะเข้าใจผิด แล้วก็อาจจะไปยึดเรื่องพลังมากจนเกินไป แทนที่กิเลสจะถูกสยบ กลายเป็นไปเพิ่มพูนพลังของกิเลส ครูบาอาจารย์ท่านจึงเน้นว่าต้องสอนเป็นลำดับ นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งว่า ทำไมทิเบตเน้นเรื่องสายธารธรรม ครูกับศิษย์ เพราะว่าคุรุต้องดูว่าศิษย์เรียนถึงขั้นไหนแล้ว ศิษย์พร้อมหรือยังที่จะมาฝึกตรงนี้ และถ้าพร้อมแล้ว ต้องมีคนแนะนำ

ต้องได้รับคำอธิบาย เพื่อไม่ให้ผิดพลาด และไม่ว่าฝึกในสายพระสูตร หรือตันตระ จะมีเรื่องอริยสัจสี่ พรหมวิหารสี่ หรือว่าคัมภีร์ตันตระสี่ระดับ ต้องไม่ทิ้งคำว่า ‘โพธิจิต’ จิตแห่งการตื่นรู้ ซึ่งเป็นจิตที่ไม่มีความเป็นแก่ตัวเลย เป็นความปรารถนาที่จะมอบกายวาจาใจของเรา ให้การฝึกฝนการปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นเหตุปัจจัย ให้ทุกชีวิตบรรลุธรรม และเพื่อให้เราบรรลุธรรม”

ผู้ก่อตั้งมูลนิธิพันดารากล่าวว่า บรรลุธรรม คือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิยาน บรรลุสภาวะเดียวกับพระพุทธเจ้า เพราะเป็นสภาวะเดียวที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ ได้มากที่สุด นี่คืออุดมคติของวัชรยาน ไม่ว่าจะเป็นนิกายใด พระสูตร คำสอน ตันตระ หรือว่าพระสูตรคำสอนอื่นก็ตาม อย่างที่อาจารย์มีอีกหนึ่งคำสอน เรียกว่า ‘ซกเซ็น’ เป็นคำสอนเกี่ยวกับจิตเดิมแท้ ว่าทั้งหมดนี้มีโพธิจิตเป็นรากฐาน


พระพุทธเจ้า 5 ตระกูล : ปัญญาญาณแห่งการตื่นรู้

นอกจากพระพุทธเจ้าสมันตภัทรผู้กว้างใหญ่ไพศาล มิอาจพรรณนาแล้ว อดถามไม่ได้ว่าในสายธรรมการภาวนาทางวัชรยานของอาจารย์กฤษดาวรรณต้องระลึกถึงพระธยานิพุทธเจ้าด้วยหรือไม่
(หมายเหตุ : พระธยานิพุทธเจ้า ประกอบด้วย พระไวโรจนพุทธะ พระอมิตาภพุทธะ พระอโมฆสิทธิพุทธะ พระรัตนสัมภวพุทธะ พระอักโษภยพุทธะ )

อาจารย์กฤษดาวรรณตอบว่า “มีค่ะ แต่อาจารย์มักจะเรียกท่านว่าพระชินะพุทธเจ้า แต่ก็คือท่านเดียวกับพระธยานิพุทธเจ้า องค์เดียวกัน พระพุทธเจ้า 5 พุทธวงศ์ หรือว่า 5 พุทธโคตร แล้วแต่เราจะใช้คำใด

พระพุทธเจ้า 5 ตระกูล ถือเป็นองค์สำคัญที่เราเน้นในคัมภีร์ตันตระของเรา และในซกเซ็น อย่างในการจำศีลมืด 49 วัน เราจะยึดถือพระพุทธเจ้า 5 ตระกูล ในช่วงที่เราทำสมาธิ คือ การภาวนาเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้า 5 ตระกูล ทำไมถึงมีความสำคัญ เพราะพระพุทธเจ้า 5 ตระกูลนั้น จริงๆ แล้ว คือ ปัญญาญาณห้าลักษณะ และปัญญาญาณห้าลักษณะนั้น รวมอยู่ในคำว่าปัญญาแห่งการตื่นรู้ซึ่งอยู่ในจิตเดิมแท้ของทุกชีวิต

เหล่านี้เป็นเรื่องหลัก และถ้าเราฝึกฝนมากๆ สภาวะที่ถ่ายทอดออกมาเป็นพระพุทธเจ้า 5 ตระกูล จะมีทั้งแบบที่เป็นสัมโภคกาย และนิรมาณกาย สภาวะ 5ลักษณะนี้ จริงๆ แล้ว อยู่ในอณูของแสง เป็น ‘ธรรมธาตุ’เดิมแท้ เมื่อแสงนั้นกระจ่างชัดใส จะเชื่อมโยงกับรูปลักษณะของพระองค์ทั้ง 5 ดังนั้น จึงเป็นอะไรที่อธิบายยากมาก แต่อยากให้รู้ว่าท่านเชื่อมโยงกับแสง และจิตเดิมแท้ของเรา เป็นสภาวะแห่งปัญญาญาณในจิตเดิมแท้ของเราเอง


นี่จึงเป็นเหตุผลใหญ่ว่า ทำไมในสายการปฏิบัติ ‘ซกเซ็น’ ที่ไม่ได้เน้นการปฏิบัติองค์พระ ก็ยังมีการเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้า 5 ตระกูล” อาจารย์กฤษดาวรรณระบุถึงความลุ่มลึกในพระธรรมและกล่าวเพิ่มเติมว่า

ส่วนที่บอกถึง ‘สัมโภคกาย’ คือองค์พระที่มีเครื่องประดับ มีอาภรณ์ แปลว่ากายอันอุดมพรั่งพร้อม เป็นกายของพระพุทธเจ้า สำหรับสอนธรรมแด่พระโพธิสัตว์และเหล่าสัตว์ เหล่าอริยะบุคคลที่ไม่มีกิเลส ซึ่งท่านเหล่านั้นจะสามารถฟังธรรมโดยตรงจากพระพุทธเจ้า 5 ตระกูล ในปางสัมโภคกาย เหล่าอริยบุคคล อริยสัตว์เหล่านั้นที่ปราศจากกิเลส จะได้รับคำสอนโดยตรง

ส่วนมนุษย์ และสัตว์โลกโดยทั่วไป ถ้าเราเกิดในสมัยพุทธกาล เราอาจจะมีโอกาสได้กราบพระพุทธเจ้า ฟังธรรมจากพระองค์ นั่นคือพระองค์เสด็จมาเป็น

’กายเนื้อ’ เราเรียกกายเนื้อนั้นว่า ‘นิรมาณกาย’ เพื่อโปรดสัตว์ที่สามารถจะโปรดได้ ทางธรรมะเรียกเวไนยสัตว์ สัตว์ที่โปรดได้ แล้วสัตว์เหล่านั้น สามารถที่จะเกิดดวงตาเห็นธรรม เหล่านี้คือความแตกต่างระหว่างสัมโภคกายและนิรมาณกาย

ฝั่งทิเบตนั้น พระพุทธเจ้า 5 ตระกูล เป็นสัมโภคกาย แต่บางครั้งเราจะเห็นรูปเหมือนพระศาสดา มีลักษณะเป็นพระภิกษุก็เรียกว่าเป็นการถ่ายทอดพระพุทธเจ้า 5 ตระกูลในปางนิรมาณกายค่ะ”อาจารย์กฤษดาวรรณบอกเล่าได้อย่างละเอียดและกล่าวเพิ่มเติมถึงพระชินะพุทธเจ้า หรือพระธยานิพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เชื่อมโยงกับคัมภีร์สำคัญยิ่งประการหนึ่งของทิเบต นั่นคือ ‘คัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต’


พระธยานิพุทธเจ้า ในคัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต

อาจารย์กฤษดาวรรณกล่าวว่า ในคัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต เชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์เป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าดวงจิตของผู้จากไปจะประสบกับสภาวะจิตของพระพุทธเจ้า 5 ตระกูล เนื่องจาก สภาวะของพระองค์คือความเป็นธรรมดา พระองค์เหล่านี้คือดวงปัญญาในจิตของเรา เมื่อเราตายไป ดวงจิตของเราผ่องแผ้ว ตอนตายใหม่ๆ เราจะผ่องแผ่วมาก ไม่มีสภาวะของอัตตาหรือกิเลส เราจะอยู่ในสภาวะผ่องแผ่วแห่งพุทธะทั้งรูปแบบแสง และพระพุทธเจ้า 5 ตระกูล ซึ่งก็คือ องค์แทนปัญญาแต่ละแบบ

อาจารย์กฤษดาวรรณกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ทรงเกี่ยวข้องกับหลายมิติของวัชรยาน และในคัมภีร์มรณศาสตร์จะบูชาพระองค์ว่าเชื่อมโยงพระองค์กับแต่ละธาตุ แต่ละชีวิต แต่ละปัญญา แล้วเมื่อเชื่อมโยงกับพระองค์ กิเลสทั้ง 5 อย่าง อาทิ โลภะ โทสะ โมหะ และหยิ่งยโส ที่ทิเบตถือเป็นกิเลส 5 ประการ จะถูกขจัดไปเมื่อเชื่อมโยงกับพระองค์


คุรุปัทมสัมภวะ : คุรุผู้เป็นพร ปกห่มเหนือกระหม่อมของเรา

นอกจากความเชื่อมโยงสภาวะธรรมสภาวะจิตกับพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ที่เปรียบเสมือนดังปัญญาญาณ ธรรมธาตุ อณูแห่งแสงกระจ่างใสผ่องแผ้วแล้ว อดถามไม่ได้ว่า มูลนิธิพันดารา และศูนย์ขทิรวัณต้องบูชา พระคุรุปัทมสมภพ หรือพระคุรุปัทมสัมภวะ ผู้กำเนิดจากดอกบัว ที่ชาวทิเบตเคารพศรัทธาว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ดินแดนทิเบตหรือไม่

อาจารย์กฤษดาวรรณตอบว่า อาจารย์เรียกท่านว่าคุรุปัทมสัมภวะ เรียกด้วยความยกย่องเหมือนชาวทิเบตเรียกว่า คือ ‘คุรุ ริมโปเช’ ทิเบตเรียกว่า ‘กูรู ริมโปเช’

“ท่านเป็นหัวใจของชาวทิเบตเกือบทั้งหมด ผู้ที่ปฏิบัติในแนววัชรยาน แทบไม่มีผู้ใดที่ไม่เชื่อมโยงกับคุรุริมโปเช ไม่มีผู้ใดที่จะไม่มีศรัทธาในคุรุริมโปเช ก่อนที่อาจารย์จะพบปฐมาจารย์ ชีวิตของอาจารย์เข้าไปข้องเกี่ยวกับทิเบตและวัชรยานตั้งแต่ก่อนปี 2002 แต่มาพบพระปฐมาจารย์ปี 2002 แล้วอาจารย์ก็ได้มาฝึกภาวนาถึงพระคุรุริมโปเชก่อนหน้านั้น แต่เมื่อได้มาพบพระปฐมาจารย์ ศรัทธาในพระองค์ก็ยิ่งเพิ่มพูน เพราะพระปฐมาจารย์ทั้งสองพระองค์ ต่างก็เชื่อมโยงกับพระคุรุริมโปเช ในสายธารภาวนา ท่านเหล่านี้บูชาท่านคุรุริมโปเชอย่างยิ่งใหญ่และมีเรื่องราวมากมายที่เชื่อมโยงกับพระคุรุริมโปเช ตัวอาจารย์เองก็ได้รับคำสอนจากพระคุรุ ริมโปเช ทั้งเป็นธรรมสมบัติและเป็นบทสาธนะจากคุรุ ที่อาจารย์ได้รับมอบจากท่าน

ในอนาคตเมื่อมหาสถูปสร้างเสร็จ เราคงจะมีเทศกาลภาวนาพระคุรุ ริมโปเช ตลอด 7 วัน 7 คืน เหมือนวัดที่เป็นต้นสายคำสอนของพระคุรุริมโปเชค่ะ” อาจารย์กฤษดาวรรณระบุ และกล่าวเพิ่มเติมว่า

เมื่อเอ่ยถึงท่านคุรุ ริมโปเช หรือท่านคุรุปัทมสัมภวะ ถือว่าสำคัญมากและในการภาวนาถึงพระคุรุริมโปเชนั้น ผู้ปฏิบัติไม่เคยมองว่าพระองค์เป็นพระที่อยู่ภายนอก ไม่ว่าจะเรียกพระองค์ว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรืออะไรก็ตาม จริงๆ แล้ว พระองค์เป็นพร เป็นคุรุที่อยู่เหนือกระหม่อมเรา เป็นพระปฐมาจารย์ที่คอยขจัดอุปสรรค และคอยประทานพรให้แก่เรา

“ดังนั้น เราไม่ได้มองท่านว่าแยกจากเรา ท่านคือส่วนหนึ่งของเรา เมื่อเรามีศรัทธา ในฝ่ายทิเบตยังสรรเสริญท่านว่าคือ ‘มหาสิทธา’ ผู้เข้าถึงการตื่นรู้ ท่านเข้าถึงปัญญาญาณสูงสุดแล้ว แต่ไม่เสด็จสู่พระนิพพาน แต่ท่านยังดำรงอยู่ในสังสารวัฏและพร้อมที่จะมาโปรดสัตว์ในหลายมิติ หลายรูปแบบ เมื่อเรามีศรัทธาในท่าน ท่านก็อยู่กับเราทันที” นับเป็นศรัทธาอันงดงามที่แฝงไว้ด้วยธรรมอันลุ่มลึก
จึงกล่าวได้ว่า มูลนิธิพันดารา และศูนย์ขทิรวัน ที่เธอผู้นี้ก่อตั้ง คืออาณาสถานที่สายธารธรรมแห่งวัชรยานและวัฒนธรรมทิเบตได้รับการสืบต่ออย่างมีชีวิตชีวา เปี่ยมด้วยศักดิ์และสิทธิ์พร้อมด้วยศรัทธาอันตั้งมั่นอย่างแท้จริง
……
Text by รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
Photo by อาจารย์กฤษดาวรรณ เมธาวิกุล



กำลังโหลดความคิดเห็น