ดัน ก.ท.ม. สู่มหานครแห่งอาเซียน “เจริญชัยหม้อแปลงฯ” จับมือ “อีโนวา อินทิเกรชั่น” สนับสนุนพื้นที่ทรัพย์สินจุฬาฯ ส่งมอบหม้อแปลงซับเมอร์ส นวัตกรรม “หม้อแปลงฟ้าระบบจำหน่ายชนิดจมน้ำ” พร้อมเซ็น MOU นำสายไฟฟ้าลงดินทั้งระบบ เพื่อการสร้างทัศนีย์ภาพใหม่ในพื้นที่ ชูจุดเช็คอินหม้อแปลงไฟไฮเทคฝั่งดินหนึ่งเดียวในโลก พร้อมดันกรุงเทพฯเป็นมหานครแห่งอาเซียน
เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริษัทเจริญชัยหม้อแปลง ไฟฟ้า จํากัด และบริษัท อีโนวา อินทิเกรชั่น จำกัด โดยมี รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองอธิการบดี ด้านการจัดการทรัพย์สินและกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายประสิทธิ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทเจริญชัยหม้อแปลง ไฟฟ้า จํากัด นายนพชัย ถิรทิตสกุล ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีโนวา อินทิเกรชั่น จำกัด เป็นผู้ลงนาม มี นายกิตติกร โล่ห์สุนทร ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ เลขานุการคณะกรรมาธิการพลังงาน ดร.วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นสักขีพยาน
การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ และพิธีรับมอบหม้อแปลงซับเมอร์ส เจริญชัย “Sustainable Energy Management with IoT based Submersible Transformer” ให้กับจุฬาฯ เพื่อสร้างทัศนียภาพอันสวยงามให้กับมหาวิทยาลัย รวมถึงการการจัดการความมั่นคงด้านพลังงาน ตามนโยบายการเพิ่มศักย์ภาพการเมือง SMART CITY ของกรุงเทพมหานคร เพื่อยกระดับเป็นมหานครแห่งอาเซียน เป็นเมืองท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เกิดความสวยงาม มีการนำระบบไฟฟ้าลงดินทั้งระบบ รวมทั้งหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อการสร้างทัศนีย์ภาพอันสมบูรณ์ของแหล่งท่องเที่ยว ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคง สร้างความปลอดภัยอัคคีภัย ประชาชน นักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน
รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองอธิการบดี ด้านการจัดการทรัพย์สินและกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทางจุฬาฯได้ร่วมกับบริษัทเจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด และบริษัท อีโนวา อินทิเกรชั่น จำกัด ครั้งนี้เพื่อร่วมกันพัฒนาพื้นที่สยามสแควร์ให้เป็นต้นแบบของ สมาร์ท ซิตี้ สำหรับนำหม้อแปลงไฟฟ้าลงใต้ดินเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลให้เป็นเมืองทันสมัยไร้สาย ด้วยการนำสายไฟฟ้าและหม้อแปลงลงดินทั้งระบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2565 ซึ่งจะทำให้พื้นที่แห่งนี้มีภูมิทัศน์สวยงาม และเพื่อความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่แห่งนี้
"สยามสแควร์จะเป็นโครงการนำร่องไร้สายครอบคลุมทั้งหมดกว่า 63 ไร่ ถ้ายกะดับเมืองอัจฉริยะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด หลังจากนี้ ทางจุฬา จะทำการขยายผลต่อให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดที่มีมากกว่า 1 พันไร่ แต่ยังไม่กำหนดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อไหร่ ซึ่งขึ้นอยู่กับงบประมาณที่จุฬาฯ จะได้รับ เพื่อการพัฒนานำสายไฟลงดินทั้งหมด"
อย่างไรก็ตามโครงการนำร่องดังกล่าวนี้ ทั้งบริษัทเอกชนทั้งบริษัท เจริญชัยหม้อแปลง ไฟฟ้า จำกัด และบริษัท อีโนวา อินทิเกรชั่น จำกัด ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณส่วนหนึ่ง โดยบริษัทเจริญชัยหม้อแปลงช่วยบริจาคหม้อแปลงซับเมอร์ส ส่วนอีโนวาช่วยด้านดำเนินการก่อสร้าง นำสายไฟฟ้าลงดิน ซึ่งโครงการนี้คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จไม่เกินเดือนพฤษภาคมนี้
ขณะที่ นายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทเจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด กล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการส่งมอบหม้อแปลงซับเมอร์ส ครั้งนี้ คือบริษัทจะเข้าไปเสริมสร้างระบบสายไฟฟ้าใต้ดินให้แบบสมบูรณ์ที่สุด หลังจากดำเนินการแล้วเสร็จจะไม่เห็นสายไฟฟ้า สายสื่อสารบนดิน ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงความปลอดภัย ทัศนียภาพ เท่านั้นยังจะเป็นการช่วยเพิ่มความทันสมัยให้กับสยามสแควร์ โดยนำเทคโนโลยี IoT ในการควบคุมแรงดันให้เกิดเสถียรภาพ ทำให้การปล่อยกระแสไฟฟ้าเกิดความมั่นคง เมื่อไฟฟ้ามั่นคงการผลักดันให้เกิดเมืองอัจฉริยะ(สมาร์ทซิติ)ที่ทันสมัยยั่งยืนต่อไปด้วย
"อนาคตแลนด์มาร์คสยามสแควร์จะกลายเป็นจุดเช็คอินนำร่องที่จะดึงดูดประชาชนหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวแห่งนี้ว่าเมื่อมาแล้วระบบไฟฟ้าบ้านเรามีความปลอดภัยสูงมากและมีความทันสมัย ตลอดทั้งมีความมั่นคงของระบบไฟฟ้า จากนั้นจะนำระบบคิวอาร์โค้ดในการสื่อสารความปลอดภัยพื้นฐานของระบบสายใต้ดินและองค์ความรู้ของระบบสายใต้ดินเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบ"
นายประจักษ์ กล่าวอีกว่า หม้อแปลงซับเมอร์ส เป็นตัวช่วยเสริมสร้างให้เมืองอัจฉริยะเกิดความสมบูรณ์แบบที่สุด เมื่อนำหม้อแปลงลงใต้ดินแล้วจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มที่ดินให้กับย่านสยามสแควร์แพงเพิ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ดินที่ยังไม่ลงสายไฟใต้ดินแล้วมูลค่าไม่สูงมากนัก ดังนั้นเมื่อไม่มีสายไฟฟ้าบนดินแล้วก็สามารถปลูกต้นไม้ริมถนน หรือ รอบข้างให้เกิดความร่มรื่นได้ เนื่องจากจากการบำรุงรักษาได้ง่ายด้วยเทคโนโลยี IoT ที่สามารถตรวจสอบได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือหากเกิดปัญหาขึ้นมาก็สามารถเข้าไปจัดการผ่านเทคโนโลยี IoT ได้ทันที
ด้านนายนพชัย ถิรทิตสกุล ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีโนวา อินทิเกรชั่น จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายของโครงการนำร่องนำสายไฟฟ้าลงดินย่านสยามแควร์เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เกิดความสวยงามเพื่อเป็นโมเดลออกมาสวยงามที่ดีที่สุดซึ่งจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นก้าวสู่อนาคตไปข้างหน้า ในการผลักดันเป็นจุดเช็คอินของในแต่ละจังหวัดที่สามารถนำต้นแบบไปประยุกต์ใช้ให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่กลายเป็นหน้าตาของแต่ละจังหวัด ที่สำคัญยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนให้กลับมาคึกคัก
ส่วนนายกิตติกร โล่ห์สุนทร ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ที่ผ่านมาโครงการสายไฟฟ้าลงดินทั่วประเทศนั้นรัฐบาลยังไม่มีนโยบายผลักดันอย่างเต็มตัว ส่วนใหญ่เป็นนโยบายนำร่องมากกว่า ซึ่งจะเน้นเมืองท่องเที่ยวโดยที่ผ่านมาจะผลักภาระให้กับท้องถิ่น เช่น เทศบาลเมืองต่างๆหากต้องการนำสายไฟฟ้าลงดินต้องใช้งบฯส่วนท้องถิ่น รัฐบาลไม่จัดสรรให้ ในส่วนงบประมาณนั้น จะทำการจัดสรรผ่านไปยังการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อดำเนินการในการนำสายไฟลงดิน
กรณีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนั้น รัฐบาลจะนำสายไฟฟ้าลงดิน นำร่อง 1 ถนน 1 จังหวัด ซึ่งส่วนนี้จะใช้งบฯการไฟฟ้าภูมิภาคแทน ทั้งนี้ที่ผ่านมาปัญหาที่ไม่สามารถดำเนินการนำสายไฟฟ้าลงดินได้ทั้งหมดเนื่องจากเกิดจากปัญหาด้านงบประมาณที่ต้องใช้จำนวนมหาศาล ดังนั้นจึงต้องเลือกจุดที่เหมาะสมในการนำสายไฟฟ้าลงดิน เช่น จุดที่ต้องการความปลอดภัยสูง จุดที่ชุมชนหนาแน่น จุดที่ต้องการผลักดันให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเที่ยว จุดที่ต้องการภูมิทัศน์ที่สวยงามเพื่อเป็นแลนด์มาร์ค เป็นหน้าเป็นตาของในแต่ละจังหวัด
"การที่จะนำสายไฟฟ้าลงทั้งหมดทั่วประเทศนั้นคงยากเพราะงบฯไม่เพียงพอ และไม่คุ้มค่าการนำงบฯมาใช้ ยกเว้นบางจุดที่เราต้องการโชว์เป็นหน้าต่างของประเทศ โชว์นักท่องเที่ยว อยากปรับปรุงภูมิทัศน์ที่สวยงาม จึงสมควรที่จะทำ หรือบางจุดที่เป็นอันตรายเราก็ควรจะทำ ดังนั้นต้องเริ่มทำเป็นจุดๆไปมากกว่าที่จะเทงบฯมหาศาลเพื่อนำไฟฟ้าลงดินทั้งระบบทั่วประเทศ”นายกิตติกรกล่าว