อดีตพระมหาไพรวัลย์เผยปริศนาธรรม พูดให้จริงเข้าไว้ ถ้ารู้สึกว่าไม่ให้ตอบตรงๆ แถมด้วยเรื่องเล่าจาก "พี่สาว" เตือนเพื่อนไม่ใช่ตัวเงินตัวทอง สอนตัวเองระวังคนกอบโกย หลังข่าวดังสมปองทิดซี้เจอเจ๊ติ๋มแฉแหลก
วันนี้ (5 ก.พ.) จากกรณีที่นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย ผู้ก่อตั้งนิตยสารทีวีพูล แถลงข่าวกรณีที่นายสมปอง นครไธสง หรืออดีตพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ประกาศถอนตัวจากรายการที่ทีวีพูลกรุ๊ปเป็นผู้ผลิต 3 รายการ และขนย้ายข้าวของออกจากบ้าน ทั้งที่ยังติดสัญญา 2 ปี ทั้งๆ ที่ช่วยเหลือหนี้สิน 10.9 ล้านบาท ซื้อเสื้อผ้าให้กว่า 1 แสน ป้อนงานให้ทำ แต่เจ้าตัวทะเยอทะยาน อยากรวยเร็ว อยากเป็นนักร้องลูกทุ่ง ส่วนเจ้าตัวชี้แจงกลับไปว่า ไม่ใช่คนติดหรู ยืนยันไม่ใช่เงินเจ๊ติ๋มไปใช้หนี้ เป็นเงินทำงานตัวเอง ไม่ได้หิวเงินแต่เลือกทำงานให้เหมาะสมกับความเหนื่อย รู้สึกว่างานเยอะไป ไม่มีอิสระ เหนื่อย ไม่ไหว ส่วนที่ดินเป็นของพี่น้อง ยืนยันยังเป็นคนเดิม ไม่ยุ่งธุรกิจสีเทา ไม่ดื่มเหล้า และซื่อสัตย์สุจริต
ล่าสุด นายไพรวัลย์ วรรณบุตร หรืออดีตพระมหาไพรวัลย์ ที่เพิ่งผ่านดรามากับ น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา มาหมาดๆ ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "ไพรวัลย์ วรรณบุตร" ระบุว่า "พูดให้จริงเข้าไว้ และหากรู้สึกว่าไม่ ให้ตอบตรงๆ ว่าไม่ ตามที่รู้สึกอย่างนั้น"
อ่านโพสต์ต้นฉบับ คลิกที่นี่
ต่อมาได้โพสต์ข้อความระบุว่า "#ไพรวัลย์เธอมีเพื่อนแล้วหรือยัง
ได้พบได้เจอ ได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง แล้วก็พลันให้นึกถึงคำพูดของพี่สาวคนหนึ่ง พี่สาวที่น่ารักมากๆ สำหรับผม เมื่อไม่กี่วันมานี้ เราไปทานข้าวด้วยกัน เธอถามผมขึ้นมาประโยคหนึ่ง เป็นประโยคสั้นๆ แต่ทำให้ผมต้องกลับมานั่งคิดตามอยู่จนถึงตอนนี้
เธอถามผมว่า "...ไพรวัลย์ ตั้งแต่สึกมา ตอนนี้เธอมีเพื่อนจริงๆ สักคนหรือยัง..."
ผมตอบเธอไปแบบคนสนิทที่หยอกล้อกันเล่นว่า "...มีเยอะแยะนะแม่ หนูมีคนรู้จักตั้งเยอะ เขาชวนหนูไปกินข้าว ไปทำนั้นทำนี่ แบบนี้เรียกเพื่อนได้ไหม..."
หลังจากที่ผมพูดไปแบบนั้น พี่สาวก็รีบพูดสวนผมขึ้นมาทันทีว่า
"...นั้นไม่ใช่เพื่อนนะไพรวัลย์ เพื่อนต้องไม่ใช่คนที่ชวนเธอไปกินข้าว จากนั้นก็คุยแต่เรื่องธุรกิจตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย เพื่อนไม่ใช่คนที่เห็นว่าเธอเป็นตัวเงินตัวทองสำหรับเขา ไม่ใช่คนที่มองว่า เธอมีมูลค่า เพราะเธอสามารถทำเงินให้เขาได้ ตอนนี้เธอมีเพื่อนหรือยัง..."
อืม น่าคิดมากนะ ในวันที่เราเป็นที่ตั้งของผลประโยชน์ ผู้คนจะยังเข้ามาหาเรา พูดดีกับเรา ปฎิบัติดีต่อเรา หรือแม้แต่เสนอสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้เรา
ในความเป็นเช่นนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เราจำต้องย้ำเตือนตัวเองให้มากๆ นั่นก็คือว่า ทุกคนอาจมีความรัก พวกเขาจึงเดินเข้ามาในชีวิตของเรา แต่ความรักที่ว่านี้ อาจไม่ใช่ความรักในตัวเราอย่างที่เราเข้าใจ มันเป็นความรักในผลประโยชน์ที่เรามี ผลประโยชน์ที่ทุกคนเดินเข้ามา เพื่อตักตวงและกอบโกยมันไปจากเรา
วันไหนที่ผลประโยชน์ได้หมดลงแล้ว วันไหนที่เราไม่ได้ตอบสนองในสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาจะหันหลังให้เรา บางคนอาจหายไปเฉยๆ แต่บางคนอาจทำร้ายเราก่อนไปด้วย
ผมควรต้องเตือนตัวเองให้มากๆ ในเรื่องนี้
ชีวิตไม่สามารถอยู่ได้ หากตัวเราปราศจากผลประโยชน์ร่วมกันกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เราพึ่งพาเขา เขาพึ่งพาเรา จึงอยู่ได้ แต่เพราะเป็นอย่างนี้แหล่ะ เราจึงต้องมีสติและเรียนรู้ที่จะระมัดระวังตัวเมื่อต้องปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นให้มากๆ
เราควรตอบรับเฉพาะแค่ในสิ่งที่เราตอบรับได้ ทำงานให้เท่าที่เราอยากจะทำ รับฟังความเห็นจากคนอื่นที่เสนอแนะ แต่อย่าเชื่อพวกเขา ฟังเสียงตัวเองให้มาก เก็บเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์มาทบทวน อย่าเกรงใจคนอื่น จนความเกรงใจนั้นทำให้ตัวเองต้องลำบากในภายหลัง อย่าทำเพื่อใคร ถ้าไม่เต็มใจหรือรู้สึกว่าอยากจะทำ
ที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม หากรู้สึกว่ากำลังถูกเอาเปรียบ จงรีบแสดงออกตรงๆ จงเปิดเผย และออกห่างใครก็ตามที่เอาเปรียบเรา จงยอมให้คนอื่นเกลียด แต่อย่ายอมให้เขาเอาเปรียบและรังแกเราเด็ดขาด
งานจะทำให้เรามีเงิน แต่ถ้าเราเห็นแก่เงิน จนไม่เลือกงาน หรือไม่เลือกคนที่จะทำงานด้วย สุดท้าย ตัวเราเองนั่นแหล่ะที่จะไม่ได้อะไรจากการทำงานเลย ไม่ได้แม้แต่การเป็นตัวของตัวเองในแบบที่อยากจะเป็น งานไหนก็ตาม ที่ทำด้วยความทนฝืน งานนั้นจะนำความทุกข์และความขาดทุนในการใช้ชีวิตมาให้
เราควรเลือกงานที่เราอยากทำจริงๆ แม้มันจะน้อยอย่าง และไม่ทำให้ร่ำรวยในเร็ววัน แต่งานที่ทำให้เราได้ใช้ความสามารถจริงๆ อย่างที่เราทำได้ จะตอบแทนเราด้วยกำไรคือความสุข
กี่ครั้งแล้ว ที่เราต้องถอนใจและเหนื่อยแรง กี่ครั้งแล้วที่เราฝืนยิ้มให้กับใครก็ไม่รู้ ซึ่งเราไม่ได้รู้สึกสนิทใจกับเขาจริงๆ
"...ไพรวัลย์ เธอต้องมีเพื่อน แต่ตอนนี้ฉันว่าเธอยังไม่มี..." พี่สาวคนนั้นพูดกับผม"
อ่านโพสต์ต้นฉบับ คลิกที่นี่