ประเพณี ก็คือการประพฤติปฏิบัติที่สืบต่อกันมานานของสังคมหนึ่งๆ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามวิถีชีวิตของสังคมนั้นๆ อาจจะเหมือนๆกันกับสังคมอื่น หรือเป็นแบบฉบับของตัวเองจนสังคมอื่นเห็นเป็นเรื่องแปลกพิสดาร แต่เมื่อเป็นการยอมรับสืบต่อกันมาหลายชั่วคน ก็แสดงว่าประเพณีที่คนอื่นว่าพิสดารนั้นเป็นความถูกต้องเหมาะสมที่ทำให้สังคมของเขามีความสงบสุขเรียบร้อย
อย่าง “มิดะ” และ “ลานสาวกอด” ของชาวเขาเผ่าอีก้อหรืออาข่า ซึ่งเป็นที่ฮือฮาของคนในเมืองบนพื้นราบเมื่อหลายปีก่อน ประเพณีที่เปิดกว้างให้อิสระเสรีในความรักหรือความสุขทางเพศแก่หนุ่มสาว ล้ำหน้าสังคมยุคนี้ ทั้งยังแต่งตั้งครูสอนเพศศึกษาภาคปฏิบัติให้ชนิด “ติวเข้มตัวต่อตัวตลอดคืน” ก่อนปล่อยลงสนามหาความสุขทางเพศได้อย่างเสรีก่อนวิวาห์
ประเพณีพิสดารนี้ ถูกนำเปิดเผยให้รู้กันอย่างกว้างขวางครั้งแรกในหนังสือ “๓๐ ชาติในเชียงราย” ของ บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ พิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ.๒๔๙๒ และต่อมายังได้เขียน “ชาวเขาในไทย” พิมพ์ใน พ.ศ.๒๕๐๖ ซึ่งเป็นหนังสือที่โด่งดังมากในยุคนั้น จนคนเขียนได้เป็น ส.ส.เชียงรายในเวลาต่อมา หลังจากนั้นก็มีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาอีกหลายเล่ม ทั้งยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และเป็นเพลงของ จรัล มโนเพ็ชร
สำรับเรื่องที่เขียนนี้ ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากหนังสือเรื่อง “ชาวเขาและกามพิสดารร้อยแปด” โดย นพบุรี พันธุ์พายัพ คนที่เคยทำงานอยู่รอบโต๊ะนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ (ช่างเรียงตัวพิมพ์) ก่อนไปใช้ชีวิตที่เชียงใหม่ และเข้าถึงชาวดอยตามเทือกเขาต่างๆก่อนที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้พิมพ์ออกในปี ๒๕๑๐
ความจริงแล้วประเพณีของอีก้อเข้มงวดในเรื่องความรักความใคร่ของหนุ่มสาวพอควร ห้ามไม่ให้มีการเกี้ยวพาราสีถูกเนื้อต้องตัวแสดงความรักกันภายในบ้าน เว้นแต่ผู้ที่แต่งงานกันแล้วจึงจะใช้บ้านเป็นห้องหอได้ หนุ่มสาวที่ต้องการจะแสดงบทพิศวาสต่อกัน ต้องไปยัง “ลานสาวกอด” หรือ “กะลาล่าเซอ” ซึ่งให้เสรีในเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ลานสาวกอดจะเป็นลานกว้างพอควร มีต้นไม้ร่มรื่น มีขอนไม้วางเรียงรายห่างๆกัน และมีอยู่ทุกหมู่บ้าน เมื่อหนุ่มสาวกลับจากทำไร่ทำนากินข้าวแล้ว พอพลบค่ำพวกหนุ่มๆก็จะไปตามบ้านสาวที่ตนหมายปองพร้อมกับไฟฉาย ส่งสัญญานให้สาวรู้ว่าตนมาแล้ว เมื่อสาวเห็นแสงไฟก็จะลงจากเรือนไปที่ลานสาวกอด
ที่ลานสาวกอดจะมีกองไฟเล็กส่องแสงวอมแวมเท่านั้น เมื่อสาวลงนั่งที่ขอนไม้ หนุ่มที่หมายปองก็จะเข้านั่งเคียง คนที่สวยหน่อยก็อาจจะมีผู้ชายประกบมากกว่าหนึ่ง ต่างคนต่างก็โอบกอดโดยไม่ถือสาหรือวิวาทกัน หนุ่มที่รู้สึกว่าสาวไม่สนตัวก็จะลุกไปกอดสาวอื่น พอได้คู่ถูกใจก็จะพากันหายเข้าไปในป่าหลังลาน พร้อมผ้าห่มที่ฝ่ายชายเตรียมมา รุ่งสางจึงกลับบ้าน นี่ก็เป็นธรรมเนียมที่ไม่ต้องปิดบังอำพราง
แต่ทั้งหนุ่มและสาวที่จะหายเข้าไปในป่าหลังลานสาวกอดได้ จะต้องผ่านคอร์สอบรมของ “มิดะ” เสียก่อน สำหรับหญิง เมื่อเริ่มเป็นสาวพอมีหน้าอก อายุจะตกราว ๑๓-๑๔ พ่อแม่จะส่งตัวไปให้ “คะจีราดะ” หรือที่เรียกันว่า “ปู่จอง” ภาษาไทยใหญ่เรียกว่า “ปู่จี” มีหน้าที่ให้ความรู้ด้านเพศศึกษาด้วยภาคปฏิบัติ
ปู่จองจะเป็นชายวัยกลางคน ผ่านการแต่งงานมาแล้ว แต่ภรรยาเสียชีวิต มีความประพฤติดี มารยาทนิ่มนวล คุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งนี้ ได้รับเลือกโดยที่ประชุมของหัวหน้าครอบครัวในหมู่บ้าน และจะมีเมียไม่ได้ในขณะรับตำแหน่งนี้ ถ้าจะมีก็ต้องสละตำแหน่ง
เมื่อได้รับตัวเด็กสาวมา ปู่จองจะเล้าโลมด้วยถ้อยคำและลูบไล้ จนเด็กสาวอ่อนปวกเปียกแล้วจึงจูงมือเข้าป่าหายเข้าไปทั้งคืน จะทำหน้าที่นี้ได้คืนละคนเท่านั้น เด็กสาวที่ผ่านหลักสูตรนี้แล้วจึงมีสิทธิลงลานสาวกอด มีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างเสรี
การเปิดเสรีทางเพศเช่นนี้ ผู้หญิงที่ผ่านหลักสูตรของคะจีราดะแล้ว เมื่อลงลานสาวกอดอาจผ่านผู้ชายหลายคน เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมาก็จะมีการเรียกผู้ชายที่เธอรู้ว่าทำให้ท้องมาตกลง แต่บางทีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอท้องกับใครแน่ ฝ่ายหญิงชอบผู้ชายคนไหนก็ชี้ตัวไปเลย ซึ่งอาจจะไม่ใช่พ่อของเด็กก็ได้ ผู้ชายก็ต้องยอมรับไม่อาจโต้เถียง หากบ่ายเบี่ยงก็จะถูกปรับหรือถูกลงโทษโดยหมอผี แต่หากเกิดตั้งครรภ์กับปู่จอง ชายที่ได้เธอไปเป็นภรรยากลับยินดี ถือกันว่าเด็กเกิดจากดวงวิญญาณอันประเสริฐ แต่ถ้าหญิงคนใดขัดขืนไม่ยอมให้ปู่จองเบิกพรหมจรรย์ จะถูกด่าทอสาปแช่งทั้งจากชาวบ้านและบิดามารดาของตัวเอง ไม่มีชายใดปรารถนาจะแตะต้อง
สำหรับผู้ชายนั้น พอแตกเนื้อหนุ่มนมขึ้นพาน ก็ต้อง “ขึ้นครู” เหมือนกัน โดยมี “คะจีมิดะ” หญิงที่มีความช่ำชองทางเพศทำหน้าที่เป็นครูเช่นเดียวกับคะจีราดะ โดยได้รับเลือกมาจากที่ประชุมหัวหน้าครอบครัวเช่นกัน คุณสมบัติของคะจีมิดะก็เช่นเดียวกับปู่จอง ต้องเป็นหญิงหม้ายผัวตาย วัยกลางคน ไม่เคยมีบุตร และที่สำคัญต้องมีความสวย ถ้าได้รับเลือกแล้วไม่ยอมรับตำแหน่งก็จะถูกขับออกจากหมู่บ้าน จะพ้นตำแหน่งก็ต่อเมื่อเกิดตั้งครรภ์
หน้าที่ของคะจีมิดะ ต้องคอยสอดส่องหาเด็กหนุ่มที่เข้าเกณฑ์ คือเริ่มมีความรู้สึกทางเพศ และลงลานสาวกอดแล้ว แต่ต้องไม่เคยเสียความบริสุทธิ์มาก่อน คะจีมิดะจะเข้าไปหว่านล้อมแล้วจูงมือเข้าป่าไป ๑ คืน
แต่เรื่องอย่างนี้ผู้หญิงไม่เหมือนชาย คะจีมิดะบางคนก็กระดากอายไม่อยากทำหน้าที่ หลบเลี่ยงอยู่แต่ในบ้าน เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านหรือหมอผีเห็นว่ามีเด็กหนุ่มที่ลงลานสาวกอดและยังไม่เคยผ่านหลักสูตรมาก่อน ก็จะไปจูงมือคะจีมิดะมาจากบ้านให้ไปจับคู่กับเด็กหนุ่มคนนั้น บังคับให้จูงมือกันเข้าป่า
ความจริงในทุกวันนี้ เรื่องเพศของคนบางกลุ่ม บางประเทศ อาจจะเลอะเทอะกันมากกว่านี้เสียอีก แต่ทำเป็นความลับ ปิดบังอำพรางไม่ให้ใครรู้ การเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งเป็นเรื่องน่าอับอาย ชาวอาข่าที่อพยพลงมาจากตอนใต้ของจีนมาอยู่ในภาคเหนือของไทย และได้รับรู้ความเป็นไปของโลกมากขึ้น จึงได้ปรับตัวเข้าสู่สังคมโลก จนเลิกประเพณีนี้ไป บางคนถือกันว่าประเพณีเก่าของบรรพบุรุษเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ปฏิเสธว่าอาข่าไม่เคยมีประเพณีนี้ ลานสาวกอดเป็นลานวัฒนธรรมสำหรับขับร้องเพลง พักผ่อนหย่อนใจในเวลาค่ำ หลังจากการตรากตรำทำกันมาตลอดวัน แต่ความจริงแล้ว ประเพณีนี้แสดงว่าเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และยอมรับความเป็นจริง ไม่สนับสนุนให้ปิดบังซ่อนเร้นเหมือนสังคมอื่น อีกทั้งยังให้การศึกษา
ในงานเสวนาเรื่อง “ล้านนา ต้นธารวรรณกรรมสยามประเทศ” ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕-๒๖ มกราคม ๒๕๕๔ ดร.อุดร วงษ์ทับทิม นักเขียนสารคดีและอาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า บุญช่วย ศรีสวัสดิ์นั้น ท่านเป็นนักมานุษยวิทยาที่เก่งมากคนหนึ่งของเมืองไทย ข้อมูลที่ท่านพูดถึงเรื่องคะจีราดะและลานสาวกอด มีจริงในพม่า และพม่ามีหลักฐานมาก ชุมชนอาข่าในพม่าจะอยู่บนภูเขาสูง ไม่ค่อยยุ่งกับวัฒนธรรมอื่น รักษาแต่วัฒนธรรมเดิมของตน วัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของอาข่าในพม่าจึงสมบูรณ์ มีเอกสารหลายชิ้นที่เป็นเอกสารวิชาการ นักมานุษยวิทยาคนหนึ่งคือ ดร.หม่อง ถิ่น เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยร่างกุ้ง ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับวิถีของชาติพันธุ์ในพม่า ก็พูดถึงเรื่องคะจีราดะของอาข่า ว่าเป็นผู้หญิงที่จะสอนเรื่องเพศสัมพันธ์ให้กับเด็กผู้ชาย และก็มีผู้ชายอาข่าทำหน้าที่สอนเพศสัมพันธ์ให้กับผู้หญิง ลานสาวกอดก็มี เพราะว่าการสอนเรื่องเพศมีทุกชุมชน คนเมืองก็มีเรียกว่า “ข่วง” ในหมู่บ้านจะมีพื้นที่เปิดโอกาสให้ผู้ชายผู้หญิงพบกัน เป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างทางวัฒนธรรม ส่วนจรัล มโนเพ็ชร เป็นคนเดินตามรอยเท้าของอาจารย์บุญช่วย จรัลเป็นคนชอบเดินป่าเป็นชีวิตจิตใจ และคลุกคลีอยู่กับชาติพันธุ์ เพลงที่แต่งก็มาจากประสบการณ์ตรงในการเดินป่า และเป็นคนรักษาวิถีชีวิตของคนชาติพันธุ์ ดังนั้นเพลงทุกเพลงไม่ว่า “บ้านบนดอย” หรือ “มิดะ” ก็มาจากประสบการณ์ตรงของเขา ยืนยันได้ว่าข้อมูลเขาตรงกับข้อมูลของนักมานุษยวิทยานักวิชาการในพม่า และสารานุกรมที่ฝรั่งเขียนก็มีเรื่องมิดะ หนังสือเล่มนั้นน่าจะชื่อว่า Encyclopedia of Southeast Asian Ethnic Minorities. มีการให้คำจำกัดความเกี่ยวกับคำว่า "มิดะ" และ "คะจิราดะ" ไว้ และจะพบข้อมูลในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย-ภาคเหนือ ฉบับแม่ฟ้าหลวง ที่ ศจ.อุดม รุ่งเรืองศรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดทำไว้ เล่มที่ ๑ ในส่วนของคำว่า "ก้อ" มีการกล่าวถึง "มิดะ" และ "คะจีราดะ" รวมทั้ง "แดข่อง" ไว้ด้วยเช่นกัน จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริง แต่เรื่องจริงใน พ.ศ.โน้น อาจไม่ตรงกับเรื่องจริงใน พ.ศ.นี้”
ใน “ชาวเขาในไทย” ของ บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ ได้กล่าวไว้ว่า
“มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านชอบมีภรรยาสาว เมื่อภรรยาเก่าเสียชีวิตลง ก็ไปสู่ขอสาวสวยวัยรุ่นจากหมู่บ้านข้างเคียงมาเป็นภรรยา แต่ชายชราไม่อาจให้ความสุขกับหญิงสาวได้ เธอจึงมักลอบไปคบกับชายหนุ่มลูกบ้าน สามีรู้เข้าก็กักตัวเอาไว้ วันหนึ่งมีพ่อค้าหนุ่มรูปงามนำสิ่งของบรรทุกหลังม้ามาจากหัวเมืองไกล ได้มาขอแวะพักค้างคืนที่บ้านชายชรา แลกกับข้าวของและสุราข้าวโพดชั้นดี ชายชราจึงยอมอนุญาต พอหญิงสาวได้พบชายหนุ่มก็เกิดหลงรักกัน ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าเป็นลูกสาวเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มพ่อค้าได้นำสุรามามอมชายชราหลับไหลไม่ได้สติ แล้วเข้าหาหญิงผู้เป็นภรรยาเจ้าของบ้านซึ่งเข้าใจว่าเป็นลูกสาว ทั้งคู่ได้เสียกันแล้วก็ชวนกันหนีไปอาศัยอยู่บนภูเขาสูง ห่างจากหมู่บ้านเพื่อไม่ให้สามีนางตามไป ชายหนุ่มโกนผมแล้วไว้จุกอย่างหางม้า นำผ้าสีดำมาโพกศีรษะ แต่งกายสีดำ หญิงสาวก็นุ่งกระโปรงจีบสั้นเหนือเข่า แต่งกายแปลกและพูดภาษาแปลกจากเดิมเมื่อจะไปพบปะกับชาวหมู่บ้านอื่น ทั้งคู่อยู่ร่วมกันให้กำเนิดลูกหลานเป็นต้นตระกูลอาข่าสืบมาจนทุกวันนี้
อาข่าเปิดกว้างให้ลูกชายลูกสาวหาคู่ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องแต่งงานกัน แต่ห้ามเกี้ยวพาราสีหรือได้เสียกันบนบ้าน ถือเป็นการผิดผี มีเด็กสาวอาข่าหลายคนเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วหลายครั้ง มีการเที่ยวสาวและสถานที่อย่างลานสาวกอด "กะลาล่าเซอ" สำหรับให้คู่หนุ่มสาวไปพรอดรักกัน การได้เสียกันถือเป็นเรื่องธรรมดา ผีเรือนและผีหมู่บ้านและบิดามารดาของหญิงสาวไม่ถือสาหาความ เพราะถือคติปล่อยให้หญิงสาว ได้แสวงหาความสุขกับชายหนุ่มที่ชอบเสียก่อนแต่งงานเป็นภรรยาของคนเพียงคนเดียว เพราะไม่อาจหวนกลับมาใช้ชีวิตกับชายอื่นได้อีก อาข่าที่อยู่บนยอดเขาพรมแดนติดต่อรัฐเชียงตุงในพม่า มีประเพณีเลือกชายหนุ่มเพื่อทำหน้าที่สอนการแสวงหาความสุขทางเพศแก่หญิงพรหมจารี เรียกว่า "คะจีราดะ" ชาวไทยใหญ่มักเรียกว่า "ปู่จี" เป็นคนแรกที่ทำหน้าที่เบิกทางพรหมจารีให้หญิงสาว เป็นคนโสดวัยกลางคน จะคอยสอดส่องเด็กรุ่นสาวว่ามีใครที่เริ่มมีพฤติกรรมแบบเด็กสาว ชายหนุ่มคนอื่นจะล่วงเกินได้เสียก่อนคะจีราดะไม่ได้
นอกจากนี้อาข่ายังถือคติว่า ความรักคือความใคร่แยกจากกันไม่ออก ชายหนุ่มหรือเด็กหนุ่มที่เพิ่งเริ่มเป็นหนุ่มก็จะถูกฝึกสอนให้รู้จักแสวงหาความสุขจาก "คะจีมิดะ" หรือ "มิดะ" เป็นสาวโสดแต่ไม่สด จะแต่งงานมีครอบครัวไม่ได้ อาข่าไม่ถือหญิงที่เคยแต่งงานมีบุตรกับชายอื่นมาก่อน เพราะถือเป็นกำไร บุตรที่ไม่มีพ่อเรียกว่า "ลูกผีให้" เพราะอาข่านับถือผี พิธีแต่งงานมักทำกันในครึ่งปีแรก บรรดาชายหนุ่มจะเสาะหาหญิงสาวผู้ที่จะมาเป็นภรรยาเตรียมไว้ ห้ามแต่งงานกันในช่วงปลูกข้าวไร่ ต้องพักไว้ก่อนจนถึงฤดูกรีดฝิ่น มีการเสียเงินค่าสินสอด และกินเลี้ยงในพิธีแต่งงาน หญิงต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย รับใช้ช่วยงานทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระในบ้าน ธรรมเนียมอย่างหนึ่งคือ ชายหญิงจะไม่หลับนอนร่วมห้องกันในบ้าน เพราะยึดคติความเชื่อเดิม แต่อาข่าจะสร้างเรือนหลังเล็กไว้สำหรับบุตรชายและบุตรสะใภ้มาแสวงหาความสุขทางเพศ ตามประสาสามีภรรยากันเรียกว่าเรือนร่วมประเวณี หรือ "เฮินแส่"
ส่วนเพลง “มิดะ” ของ จรัล มโนเพ็ชร มีคำร้องว่า
“บนฟ้ามีเมฆลอย บนดอยมีเมฆบัง มีสาวงามชื่อดัง อยู่หลังแดนดงป่า
มีกะลาล่าเซอ มีหนุ่มๆ เผลอฮ้องหา มีสาวงามขึ้นมา แล้วมี มิดะ
นางนั้นยืนท่าคอย หนุ่มน้อยที่ยังบ่เคยผ่าน ยังไร้ราคีพาน บ่ฮู้การกามโลกีย์
ยั่วยวนวาจาเว้าวอน บอกสอนหื้อละอ่อนนั้นมี ความฮู้กามวิธี แล้วพลีเรือนกาย
งามเหนือคำรำพัน เป็นหมันและเป็นหม้าย ความสวยงามคือภัย ถูกเลือกไว้เป็นมิดะ
หนุ่มใดบ่เกยชิดชม บ่สมสู่ฮู้วิชา หมดหนทางขึ้นมา บนลานสาวกอด
หมดปัญญาดิ้นรน มืดมนเหมือนคนตาบอด คนแล้วคนเล่ากอด ทอดกายในดงดินแดน
จนวัยโรยราล่วงไป คนใหม่มาเป็นมิดะแทน คือเรื่องราวในแดนแผ่นดินอีก้อ…