xs
xsm
sm
md
lg

'ศูนย์พิษวิทยารามาฯ' เตือนผู้บริโภคอย่ากินไส้กรอกระบุแหล่งไม่แน่ชัด เสี่ยงป่วยภาวะเมทฮีโมโกลบิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดีโพสต์เตือนอย่ากินไส้กรอกที่ระบุแหล่งไม่แน่ชัดหรือไม่น่าเชื่อถือ มีผู้ป่วย 6 รายป่วยเป็นภาวะเมทฮีโมโกลบิน หลังมีประวัติกินไส้กรอกซึ่งไม่มียี่ห้อ

วันนี้ (28 ม.ค.) เพจ "Ramathibodi Poison Center" หรือ ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี ได้ออกมาโพสต์เตือนอย่ากินไส้กรอกที่ระบุแหล่งไม่แน่ชัดหรือไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากการผลิตอาจไม่ได้มาตรฐาน หรืออาจผสมไม่ดีทำให้มีบางส่วนมีปริมาณสารสูงเกินไป โดยเฉพาะในเด็กจะไวต่อสารกลุ่มนี้มากกว่าผู้ใหญ่

ทางเพจระบุว่า "สัปดาห์ที่ผ่านมาเด็กป่วยด้วยภาวะเมทฮีโมโกลบิน (Methemoglobin) จำนวน 6 ราย ใน 5 จังหวัด (เชียงใหม่ 2 ราย, เพชรบุรี 1 ราย, สระบุรี 1 ราย, ตรัง 1 ราย, กาญจนบุรี 1 ราย) โดยทั้ง 6 รายมีประวัติกินไส้กรอกซึ่งไม่มียี่ห้อ ไม่มีเอกสารกำกับ อาการของผู้ป่วยคือ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ เหนื่อย หายใจเร็ว เขียว ระดับออกซิเจนที่วัดปลายนิ้วต่ำ ในขณะนี้ยังไม่มีรายใดที่รุนแรงถึงแก่ชีวิต

ภาวะ Methemoglobin เป็นภาวะที่ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงถูกออกซิไดช์โดยสารออกซิแดนต์ต่างๆ กลายเป็น methemoglobin ทำให้สูญเสียความสามารถในการขนส่งออกซิเจน และสีของเม็ดเลือดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำ

ผู้ป่วยจะมีอาการของการขาดออกซิเจน เช่น มึนศีรษะ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หายใจเร็ว เขียว หากรุนแรงจะมีอาการหอบเหนื่อยมาก เลือดเป็นกรด ความดันโลหิตต่ำและเสียชีวิตได้

โดยสารออกซิแดนต์ที่อาจมีการเติมในไส้กรอกหรืออาหารแปรรูปคือสารตระกูลไนเตรท และไนไตรท ซึ่งเป็นวัตถุกันเสีย ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 281 (พ.ศ. 2547) ได้กำหนดปริมาณที่อนุญาตให้ใช้โซเดียมไนไตรทและโซเดียมไนเตรทในอาหารได้ไม่เกิน 125 และ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลำดับ กรณีที่ใช้ทั้งโซเดียมไนไตรทและโซเดียมไนเตรทให้มีปริมาณรวมกันได้ไม่เกิน 125 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ในการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมีการเติมสารไนเตรท-ไนไตรท เยอะกว่าปกติ หรืออาจผสมไม่ดีทำให้มีบางส่วนมีปริมาณสารสูงเกินกว่าที่ควรได้

โปรดเฝ้าระวังการบริโภคไส้กรอกจากแหล่งที่ไม่แน่ชัด/ไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในเด็กเนื่องจากเด็กจะไวต่อสารกลุ่มนี้มากกว่าผู้ใหญ่หากมีอาการผิดปกติควรไปตรวจที่ รพ. หากทาง รพ.สงสัยภาวะ methemoglobinemia สามารถปรึกษาศูนย์พิษวิทยารามาธิบดีได้ที่ 1367 ตลอด 24 ชั่วโมง

ขณะนี้ทางศูนย์​ฯ​ ประสานกองระบาดวิทยา​ กรมควบคุมโรค​ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อดำเนินการสืบค้นแหล่งที่มาของการระบาดเพิ่มเติมแล้ว

เนื้อหาเพิ่มเติม
ปกติร่างกายคนเราได้รับสารออกซิแดนต์ในขนาดน้อยๆ จากแหล่งต่างๆ อยู่แต่ไม่เกิดปัญหาเพราะร่างกายสามารถเปลี่ยน methemoglobin กลับเป็นฮีโมโกลบินปกติได้ แต่หากมีปริมาณ methemoglobin สูงมากๆ (ได้รับสารออกซิแดนต์เยอะเกินไป) ร่างกายจะเปลี่ยน methemoglobin คืนเป็นฮีโมโกลบินปกติไม่ทัน นำไปสู่ภาวะขาดออกซิเจน
ในเด็กความสามารถในการเปลี่ยน methemoglobin กลับเป็นฮีโมโกลบินปกติจะน้อยกว่าในผู้ใหญ่ เด็กจึงเกิด methemoglobin ได้ง่ายกว่า

การตรวจเบื้องต้นจะพบว่าระดับออกซิเจนที่วัดปลายนิ้วจะต่ำ อาจต่ำ 80-85% ได้ แต่เมื่อเจาะตรวจ arterial blood gas จะพบว่าระดับออกซิเจนอยู่ในระดับปกติ เรียกความแตกต่างของการพบระดับออกซิเจนที่ต่างกันจากการตรจทั้งสองวิธีว่า oxygen saturation gap ซึ่งอาจพบในภาวะอื่นได้ด้วยในที่ที่ตรวจ arterial blood gas ไม่ได้ สามารถทำ bedside test โดยเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำของผู้ป่วยมาพ่นออกซิเจน 2 LPM นาน 2 นาที ในคนปกติเลือดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อได้รับออกซิเจน แต่หากเป็นผู้มี methemoglobin เลือดจะยังคงเป็นสีดำ การตรวจยืนยันจำเพาะ สามารถระดับ methemoglobin ด้วย co-oximeter (ในเครื่อง arterial blood gas บางรุ่นจะพัฒนาการตรวจส่วนนี้เข้าไปด้วย)

การรักษาคือหยุดการได้รับสาร ให้ออกซิเจน และในรายที่รุนแรงอาจพิจารณาใช้ยา methylene blue (มีในระบบยาต้านพิษ) ในผู้ป่วยบางรายอาจมีเม็ดเลือดแดงแตกรุนแรงจากการได้รับสารออกซิแดนต์ร่วมด้วย ต้องมีการติดตามระดับเกลือแร่ ให้สารน้ำและเลือดทดแทน"

คลิก>>อ่านโพสต์ต้นฉบับ


กำลังโหลดความคิดเห็น