"วิทเยนทร์ มุตตามระ" วิเคราะห์อนาคตรัฐบาล-ธรรมนัส ชี้มติขับออกจาก พปชร. บรรลุข้อตกลงแบบสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่รัฐบาลประยุทธ์จะอยู่ได้แบบหืดขึ้นคอด้วยเสียงปริ่มน้ำ หากกฎหมายเลือกตั้งแล้วเสร็จแรงกดดันอาจถึงขั้นยุบสภา ส่วน "สมชัย ศรีสุทธิยากร" ชี้รัฐบาลหายไป 21 เสียง พร้อมจมเรือได้ตลอดเวลา พรรคเล็กมีค่าทันที
วันนี้ (19 ม.ค.) จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด มีมติ 78 เสียง ให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อม ส.ส. 21 คน ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค เนื่องจากสร้างความขัดแย้งภายในพรรค โดยจะต้องหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 30 วัน หลังเกิดความขัดแย้งอันเนื่องมาจากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ชุมพร และสงขลา ที่แพ้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมามีไลน์หลุดที่ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐรายหนึ่งแคปฯ หน้าจอไปยังนักข่าว ระบุว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เสนอให้มีการทำโพลหาสาเหตุความตกต่ำของพรรคพลังประชารัฐ ว่าเกี่ยวกับ ร.อ.ธรรมนัส หรือไม่ ทำให้ ร.อ.ธรรมนัสเกิดความไม่พอใจ ยื่นคำขาดขอเก้าอี้รัฐมนตรี แต่ไม่เป็นผล นำไปสู่มติพรรคให้ ร.อ.ธรรมนัสและพวกลาออกจากสมาชิกพรรคในที่สุด
นายวิทเยนทร์ มุตตามระ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ประกาศข่าว โพสต์ข้อความวิเคราะห์อนาคต ร.อ.ธรรมนัส และอนาคตรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเป็นการบรรลุข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย สมประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ เพราะ ร.อ.ธรรมนัสและพวกลาออกไม่ได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (8) หากลาออกจากพรรคการเมือง สมาชิกภาพของ ส.ส.ก็จะสิ้นสุดลงทันที ซึ่งไม่มีใครยอมหลุดจากตำแหน่ง แต่ถ้าถูกขับออกจากพรรค สมาชิกภาพ ส.ส.ยังคงอยู่ เพียงแต่ต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วัน ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (9)
ประการต่อมา พรรคพลังประชารัฐจำเป็นต้องขับ ร.อ.ธรรมนัสออก เพราะยื่นเงื่อนไขต้องได้โควตารัฐมนตรี ถ้าไม่ขับออก ร.อ.ธรรมมนัสและ ส.ส.กว่า 20 คนก็จะกลายเป็นหอกข้างแคร่เป็นฝ่ายค้านในพรรคที่เป็นแกนนำในรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐจึงจำใจต้องขับออกจากพรรค แม้เสียงจะหายไป 20 เสียง แต่เสียงฝ่ายรัฐบาลยังเกินครึ่งแบบปริ่ม คืออยู่ได้แบบห้ามสายลาขาด ห้ามเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวสภาล่ม แต่ภาพลักษณ์พรรคพลังประชารัฐอาจดีขึ้นทันที เพราะการขับ ร.อ.ธรรมมนัสครั้งนี้ จึงสรุปได้ว่าการขับออกจากพรรคเป็นการบรรลุข้อตกลงแบบสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ส่วนอนาคต ร.อ.ธรรมนัสและพวกจะไปไหนนั้น ตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าต้องหาพรรคสังกัดใหม่ใน 30 วัน ไม่ใช่เรื่องยากที่คนระดับ ร.อ.ธรรมนัส จะเทกโอเวอร์พรรคเล็ก หรือส่งใครไปตั้งพรรคเชิด (หุ่นเชิด) รอไว้แล้ว แต่ที่น่าจับตากว่าคืออนาคตรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเมื่อหัก ส.ส. 20 คนออกไปแล้ว รัฐบาลจะเหลือ ส.ส.ในสภาอยู่แค่ประมาณ 250 คน เกินครึ่งแบบปริ่มน้ำ ยังไม่นับพรรคเล็กที่ปัดเศษได้เป็น ส.ส.มาอีกประมาณ 10 คนที่ ร.อ.ธรรมนัสเลี้ยงไว้ในสังกัดอีก
พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ต่อได้ แต่แบบหืดขึ้นคอ การต่อรองแต่ละเสียงแต่ละมือที่จะยกผ่านกฎหมายให้รัฐบาลจะมีค่ามหาศาลขึ้นมาก สภาพอย่างนี้หลังกฎหมายลูก (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง) เลือกตั้งบัตรสองใบผ่านสภาฯ แรงกดดันและแรงต่อรองจะสูงมากจน พล.อ.ประยุทธ์อาจต้องยุบสภา ก่อนถูกเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจในการประชุมสภาฯ สมัยหน้าประมาณกลางปี 2565
อ่านโพสต์ต้นฉบับ คลิกที่นี่
ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความระบุว่า "พรรครัฐบาล 277 เสียง หายไป 21 เสียง เหลือ 256 เสียง ส่วนพรรคฝ่ายค้าน 209 เสียง เพิ่มขึ้น 21 เสียง เป็น 230 เสียง ห่างกัน 26 เสียง รัฐบาลและฝ่ายค้านกลับมาอยู่ในสถานะเสียงแตกต่างกันไม่มากอีกครั้ง ส.ส. 21 เสียงที่ออกมา ถือเป็นกลุ่มก้อนที่พร้อมปฏิบัติการจมเรือได้ตลอดเวลา ส่วนพรรคเล็กพรรคน้อยในฝ่ายรัฐบาล ดูมีค่า มีความหมายขึ้นทันที"
อ่านโพสต์ต้นฉบับ คลิกที่นี่