สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าไว้ในพระนิพนธ์ “ความทรงจำ ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ” ไว้ว่า
“การขยายถนนบำรุงเมืองทั้งนั้นมีเรื่องควรจะเล่าได้เรื่อง ๑ คือ เดิมมีศาลเจ้าของพวกจีนเป็นตึกใหญ่อยู่ริมถนนบำรุงเมืองแห่งหนึ่ง เรียกกันว่า “ศาลเจ้าเสือ” กีดทางที่จะขยายถนน จึงพระราชทานที่หลวงแห่งหนึ่งริมถนนเฟื่องนครให้ย้ายศาลเจ้าเสือมาตั้งและจะสร้างศาลใหม่พระราชทานแทนศาลเดิม แต่พวกจีนไม่พอใจให้ย้าย คิดอุบายให้เจ้าเข้าทรงพูดจาพยากรณ์ว่าจะเกิดภัยอันตรายต่างๆ จนเกิดหวาดหวั่นกันในหมู่พวกจีนในสำเพ็ง ขอแห่เจ้าเอาใจมิให้คิดร้าย ก็พระราชทานให้แห่ตามประสงค์ และเสด็จออกทอดพระเนตร ณ พระที่นั่งสุทไธศวรรย์ ฉันได้ตามเสด็จไปดูแห่ยังจำได้
กระบวนที่แห่นั้นก็เป็นแห่อย่างเจ๊กมีธงทิวและล่อโก๊ะเป็นต้น แปลกแต่มีคนทรงเจ้าแต่งตัวใส่เสื้อกั๊กนุ่งกางเกงและโพกหัวสีแดง นั่งเก้าอี้หามมาในกระบวนสักสองสามคน บางคนก็เอาเข็มเหล็กแทงแก้มทะลุเข็มคาหน้ามาให้คนเห็น บางคนบันดาลให้คนหามเก้าอี้เดินโซเซไม่ตรงถนนได้ เมื่อมาถึงหน้าพระที่นั่งตรัสสั่งให้ตำรวจหามเจ้าโซเซ หามไปได้ตรงๆ คนดูก็สิ้นเลื่อมใส เมื่อเสร็จการแห่แล้วโปรดฯให้กรมการเมืองประกาศว่า ถ้าเจ้ายังขืนพยากรณ์เหตุร้ายจะเอาผิดกับคนทรง ในไม่ช้าเจ้าเสือเข้าคนทรงอีก เจ้าพอใจมาก ศาลเจ้าเสือยังอยู่ริมถนนเฟื่องนครใกล้กับวัดมหรรณพ์ฯจนทุกวันนี้ ในสมัยนั้นไม่แต่จีน ถึงไทยก็ยังเชื่อถือการเชิญเจ้าผีเข้าคนทรงกันมาก เป็นแต่ไม่ทำกันอย่างเปิดเผยเหมือนพวกจีน (แม้จนเวลาเมื่อแต่งหนังสือนี้คนเชื่อถือก็ยังมี)
เมื่อฉันยังเป็นเด็กได้เคยเห็นวิธี “ทรงผี” ที่เขาแอบทำกันในวังหลายครั้ง เวลานั้นขึ้นชื่อเจ้าผีที่คนนับถือมากมี ๓ องค์ เรียกว่าเจ้าพ่อหอกลององค์ ๑ เจ้าพ่อหมูเผือกองค์ ๑ เจ้าพ่อพระประแดงองค์ ๑ การทรงผีอย่างไทยนั้นคนทรงต้องเป็นผู้หญิง มักเป็นคนอายุกลางคน ก่อนจะทำพิธีต้องให้คนทรงอาบน้ำชำระกาย และนุ่งห่มผ้าใหม่ นุ่งผ้าลอยชายห่มแพรแถบพาดสองบ่าเหมือนอย่างผู้ชาย และนั่งขัดสมาธิประนมมือถือธูปจุดมีควัน หลับตานิ่งอยู่ด้วยนึกเชิญเจ้าผีหรืออย่างไรไม่ทราบ พวกคนที่ร่วมคิดก็นั่งคอยดูอยู่รอบตัว พอสักครู่หนึ่งมือคนทรงที่ถือธูปเริ่มสั่นและสั่นมากขึ้นทุกที จนธูปหลุดร่วงไปจากมือ ก็วางมือลงที่หน้าตักนั่งโคลงตัวไปมา เป็นอันเข้าใจกันว่าเจ้าผีมาเข้าทรงแล้ว พวกร่วมคิดคนหนึ่งจึงถามว่าเป็นเจ้าพ่อองค์ไหน คนทรงก็บอกให้ทราบว่าองค์นั้นๆ เมื่อรู้แล้วก็พูดกันต่อไปตามเรื่องธุระประสงค์ ประหลาดอยู่ที่คนพูดกับเจ้าผีต้องเรียกตัวเองว่า “ลูกช้าง” จะหมายความว่ากระไรไม่เคยได้ยินอธิบาย คิดก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเพราะเหตุใด ครั้นพูดกันเสร็จธุระแล้วเมื่อเจ้าผีจะออกนั้น คนทรงพูดขึ้นว่า “ไปละนะ” ว่าแล้วก็ตัวสั่นอีกพักหนึ่งแล้วเลยฟุบนอนหอบหายใจอยู่สักครู่หนึ่งจึงกลับได้สมปฤดี มาคิดดูเวลานี้ ดูเป็นอย่างเดียวกันกับการทรงผี (Seance) ของฝรั่ง ที่ชอบทำกันอยู่แพร่หลายนั้นเอง แต่ชาวเอเชียทำกันมาแล้วตั้งร้อยปีพันปี แต่โบราณไทยเราเรียกว่า “ลงผี” เรียกคนทรงว่า “แม่มด”
เรื่องเกี่ยวกับทรงเจ้าเข้าทรงนี้ ผู้เขียนก็มีเรื่องจะเล่าเหมือนกัน เรื่องนี้เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อปี ๒๕๐๔ มีแม่เฒ่าผู้หนึ่งมีชื่อว่า นางจันทร์ อายุ ๕๑ ปี อยู่ซอยสวนพลู ทุ่งมหาเมฆ กรุงเทพฯ มีอาชีพเป็นคนเข้าทรงของศาลเจ้าพ่อชวดเสือ รับรักษาโรคภัยไข้เจ็บมานานแล้ว โดยเรียกค่ารักษามากน้อยตามแต่โรค
การรักษาของแม่เฒ่าก็ใช้วิธีเข้าทรง และถ้าใครไม่เชื่อถือแม่เฒ่าก็จะสำแดงการแปลงร่างเป็นชายให้ดู ทั้งยังให้จับอวัยวะเพศเป็นการพิสูจน์ได้ ซึ่งก็มีคนกล้าเข้าไปจับ และพบว่าแม่เฒ่ามีอวัยวะเพศชายจริง จึงเกิดการร่ำลือมีคนแห่ไปหาแม่เฒ่ากันล้นหลาม
เรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นก็เมื่อ นางสรวง ซึ่งเจ็บป่วยเรื้อรังมาให้แม่เฒ่ารักษาและเรียกค่ารักษาเป็นทองถึง ๔ บาท นางสรวงก็ยอมจ่าย แต่ทว่ารักษาอยู่ ๒ สัปดาห์ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น จึงสงสัยว่าจะถูกหลอกลวง จึงนำความไปแจ้งกับ ร.ต.อ.ไพบูลย์ สัมมาทัต ร้อยเวร สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๐๔
เมื่อ ตร.ไปถึงบ้าน นางจันทร์ก็แปลงร่างให้พิสูจน์ความกายสิทธิ์ โดยให้ ตร.จับอวัยวะเพศด้วย แต่ ตร.เกิดทำตัวเป็นคนขี้สงสัยจะขอแก้ผ้าดู นางจันทร์ก็อ้างว่าอาย เลยต้องพาตัวไปโรงพักแล้วส่งต่อไปให้โรงพยาบาลตำรวจพิสูจน์
ในที่สุดผลก็ปรากฏออกมาว่า อวัยวะเพศชายของแม่เฒ่าเป็นเพียงถุงยางใส่แป้งไว้ จับดูจึงนิ่มๆ เหมือนของจริงเหี่ยวๆ แม่เฒ่าจึงรับโทษฐานหลอกลวงไป
เรื่องนี้ก็น่าเห็นใจแม่เฒ่า ตอนทรงเป็นเจ้ามีแต่คนกราบไหว้ แต่ทรงเป็นผู้ชายไหง๋ติดคุก ตร.นี่ชั่งขี้สงสัยเสียจริง