xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนรอยคดีโกงซื้อที่ตาบอด "ดร.โจ" กุนซือชัชชาติขาแหย่คุก ก่อนรอดตะรางชั้นฎีกา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ย้อนรอยหนึ่งในคดีอื้อฉาวแห่งเสาชิงช้า การจัดซื้อที่ดินตาบอดย่านบางซื่อเพื่อจอดรถขยะ เสียหายกว่า 36 ล้าน สู้คดี 3 ศาลใช้เวลานานถึง 19 ปี ครั้งหนึ่งผู้ว่าฯ กทม. ที่ชื่อ "พิจิตต รัตตกุล" ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาตัวเต็งอันดับ 1 "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" ขาแหย่คุกในชั้นอุทธรณ์ ก่อนรอดในชั้นฎีกา


รายงานพิเศษ

เมื่อตัวเต็งอันดับ 1 (ตามการจัดอันดับของนิด้าโพล) ศึกชิงพ่อเมืองกรุงเทพฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปิดตัว "ดร.โจ" พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) มาร่วมทีมเสริมทัพ

สปอตไลต์การเมืองจึงส่องไปที่เจ้าของฉายา "ผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี" ขวัญใจฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และม็อบสามนิ้วแบบเฉียบพลัน 

หลังจากที่คู่แข่งอย่าง "ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์" อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สวมเสื้อค่ายแม่พระธรณีบีบมวยผม พรรคประชาธิปัตย์ รำไหว้ครูอย่างสวยงาม แต่สะดุดขาตัวเองกับการไปโม้ว่า "ทายาทสายตรงไอน์สไตน์" แต่ถูกเฉลยว่าเป็นทายาททิพย์

แต่โดยธรรมชาติ ใครเข้ามาเหยียบถนนสายการเมืองเป็นได้ถูกขุดคุ้ย ยิ่งเป็นโลกอินเทอร์เน็ต ยิ่งเร็วพอๆ กับสัญญาณ 5G ใครทำอะไรไม่ดีเป็นต้องถูกโพสต์ประจาน เช่นเดียวกับ ดร.โจ ก็ถูกชาวเน็ตแฉเช่นเดียวกัน

ย้อนรอยคดีการทุจริตการจัดซื้อที่ดินเพื่อทำเป็นที่จอดรถทิ้งขยะอันอื้อฉาว เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2542 เมื่อพนักงานสอบสวนส่วนปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.ตร.) ขออนุมัติ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผบ.ตร. ขณะนั้นให้สอบสวนดำเนินคดีอาญาต่อ นายพิจิตต รัตตกุล ผู้ว่าฯ กทม. นายชวน พัฒนวรานนท์ อดีต ผอ.เขตบางซื่อ พัวพันทุจริตจัดซื้อที่จอดรถขยะในซอยเรียงปรีชา ถนนประชาราษฎร์สาย 1 เขตบางซื่อ จำนวน 9 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา มูลค่า 271 ล้านบาท

โดยพบความผิดปกติที่ดินผืนดังกล่าวกลายเป็นที่ตาบอด เพราะตกลงในข้อสัญญาว่าผู้ขายจะเจรจากับเจ้าของที่ดินเพื่อหาทางเข้าออกในที่ดิน แต่ถูกเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นทางออกไม่อนุญาตจนเกิดฟ้องร้องขึ้นมา นอกจากนี้ การจัดซื้อที่ดินดังกล่าวยังสูงกว่าราคากรมที่ดินประเมิน สูญเสียงบประมาณจำนวนมาก ทั้งที่ช่วงดังกล่าวเป็นยุคหลังฟองสบู่แตก แทนที่จะประกาศให้ผู้สนใจนำที่ดินมาขาย ซึ่งจะได้ราคาที่ถูกกว่านี้

แต่กลับจัดซื้อที่ดินดังกล่าวโดยวิธีพิเศษ ทำให้ราคาที่ดินสูงเกินจริง กทม.สูญเสียผลประโยชน์ถึง 36.8 ล้านบาท

28 ธ.ค. 2544 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณากรณีการจัดซื้อที่ดินดังกล่าว เห็นว่า ดร.พิจิตตกระทำการทุจริตตามคำร้อง แต่ยังสรุปไม่ได้ว่าจะเอาผิดในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือนักการเมือง แต่คดีดังกล่าวค้างใน ป.ป.ช.ไปตั้งนาน โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 แต่ในที่สุดวันที่ 19 ส.ค. 2558 ป.ป.ช.มีมติส่งอัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญาในศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กับนายพิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. พร้อมพวกอีก 10 คน ข้อหาร่วมกันทุจริตการจัดซื้อที่ดินจอดรถขยะ กทม.

จากการไต่สวนพบว่าที่ดินดังกล่าวที่ กทม.จัดซื้อเป็นที่ดินตาบอด ไม่มีทางเข้าออก ทำให้ กทม.ได้รับความเสียหาย ต้องซื้อที่ดินราคาแพงเกินความเป็นจริงมาก นายพิจิตต ซึ่งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ในสมัยนั้นได้ให้ความเห็นชอบจัดซื้อที่ดินดังกล่าว เมื่อเอกชนเจ้าของที่ดินได้รับเงินค่าที่ดินแล้ว ปรากฏว่าได้มีการสั่งจ่ายเงินเป็นเช็คจากเงินที่ขายที่ดินดังกล่าวให้นายชวน พัฒนวรานนท์ อดีต ผอ.เขตบางซื่อ และมีเงินจำนวนหนึ่งฝากเข้าบัญชีของนายพิจิตตและบุคคลที่เกี่ยวข้อง

แต่ปรากฏว่าสำนักงานอัยการสูงสุดตีกลับเรื่องนี้ไปที่ ป.ป.ช. เพราะเห็นว่าความผิดที่เกิดขึ้นน่าจะต้องมีการยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ไม่ใช่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

20 ต.ค. 2553 อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพิจิตต และพวกต่อศาลอาญา รัชดาภิเษก ศาลรับคำฟ้องและสอบคำให้การจำเลย ซึ่งแถลงให้การปฏิเสธ จึงนัดตรวจหลักฐานและให้ประกันตัว

14 พ.ค. 2558 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนายพิจิตต, นายประเสริฐ สมะลาภา อดีตปลัด กทม. ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ พร้อมกับพวกรวม 7 คน เนื่องจากการเสนอขายที่ดินไม่ได้สูงกว่าราคาประเมินจริง มีการสำรวจและประเมินราคาที่ดินจากสำนักงานที่ดิน กทม. และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และเป็นที่ดินพร้อมใช้งานทันที

แต่ นายสมคาด สืบตระกูล อดีตเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบที่ดินหรืออาคารซึ่ง กทม.จัดซื้อหรือเช่าเพื่อประโยชน์ของข้าราชการ กทม. (ตซช.) มีความผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ให้จำคุก 8 ปี ส่วน นายชวน พัฒนวรานนท์ อดีต ผอ.เขตบางซื่อ มีความผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้จำคุก 10 ปี

ศาลเห็นว่าหลังซื้อขายที่ดิน นายสุพจน์ มโนมัยพันธุ์ เจ้าของที่ดินได้ออกเช็ค 18 ล้านบาท ผ่าน นายชูศักดิ์ ศรีประเสริฐ นายหน้าขายที่ดิน ที่อ้างว่าเพื่อจ่ายค่านายหน้า และค่าธรรมเนียมที่ดิน ปรากฏว่านำเช็คเข้าบัญชีส่วนตัวของนายสมคาด และนายชวน ต่อมาศาลอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี นายสมคาด ตีราคาประกัน 8 แสนบาท และนายชวน 1 ล้านบาท

27 ธ.ค. 2559 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแก้ให้จำคุกนายพิจิตต 5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ส่วนนายสมคาด ลดโทษเป็นจำคุก 5 ปี และนายชวน ลดโทษเป็นจำคุก 7 ปี

โดยพบว่านายชวนได้ถอนเงินจำนวน 5 ล้านบาท และนำเงินฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันจำนวน 5 ล้านบาทของนายพิจิตต หลังการซื้อขายที่ดินเพียงไม่กี่วัน ซึ่งศาลอุทธรณ์พิจารณาจากความสัมพันธ์ของนายพิจิตต นายสุพจน์ และเงินที่นายชวนฝากเข้าบัญชีของนายพิจิตต โดยที่ไม่ได้มีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน และไม่ได้ยื่นแบบภาษีเงินได้ที่มีเงินเข้า

แม้นายพิจิตตจะเบิกความว่าเป็นเงินที่มีอยู่เดิม และได้แจ้งต่อ ป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง แต่ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีเงินสดจำนวนดังกล่าวอยู่จริง จึงไม่น่าเชื่อถือ คดีนี้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว นายพิจิตต นายสมคาด โดยตีราคาประกันคนละ 8 แสนบาท และนายชวน 1 ล้านบาท และกำหนดเงื่อนไขนายชวนห้ามเดินทางออกนอกประเทศ


ท้ายที่สุด 15 ส.ค. 2562 ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องนายพิจิตต เนื่องจากนายพิจิตตฎีกาเรื่องเงิน 10 ล้านบาท ศาลเห็นว่าโจทก์มีเพียงพยานปากเดียวมาเบิกความว่าเงิน 10 ล้านบาท น่าจะเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อที่ดินพิพาท เป็นความเชื่อหรือความรู้สึกของพยาน โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมานำสืบเชื่อมโยง

แต่นายพิจิตตก็มีข้อต่อสู้ว่าเป็นเงินที่มีอยู่แต่เดิม แม้จะมีความสงสัยตามสมควรว่านายพิจิตต ร่วมกับนายสมคาด และนายชวน กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ก็ตาม แต่ด้วยเหตุดังกล่าว ศาลฎีกาจึง "ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย" คือนายพิจิตตนั่นเอง

ส่วนนายชวน ได้ฎีกาเรื่องการได้รับเงิน 18 ล้านบาท เป็นค่ามัดจำที่ดิน แต่ภายหลังทราบว่าที่ดินไม่มีทางเข้าออก จึงคืนเงินมัดจำไปแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่านายชวนไม่มีพยานหลักฐานใดมาสืบยืนยันให้รับฟังได้ตามที่กล่าวอ้าง

ส่วนที่ฎีกาว่า นายชวนไม่มีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริงและช่วยเหลือให้ผู้ขายไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เพราะเชื่อโดยสุจริตว่าเมื่อมีการยกสิ่งปลูกสร้างให้ กทม.แล้วจึงไม่ต้องแจ้งนั้น ศาลเห็นว่าแม้นายชวนทราบโดยตลอดว่าที่ดินพิพาทมีสิ่งปลูกสร้าง ย่อมต้องมีหน้าที่แจ้งไปตามความเป็นจริงว่ามีสิ่งปลูกสร้าง

จึงเป็นข้อบ่งชี้ว่านายชวนมีเจตนาปกปิดเพื่อช่วยเหลือให้ผู้ขายไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ส่วนที่นายสมคาดฎีกาเรื่องเงินตามแคชเชียร์เช็ค 4 ฉบับ ที่เปลี่ยนการสั่งจ่ายและพยานโจทก์เบิกความมีพิรุธนั้น ศาลเห็นว่าในขณะเกิดเหตุ พยานโจทก์ หัวหน้าฝ่ายการคลัง สำนักงานเขตบางซื่อ เป็นลูกน้องนายชวน แต่เบิกความไม่รู้จักนายสมคาด ส่วนพยานโจทก์อีกปากเป็นนักศึกษาร่วมรุ่นกับนายสมคาด กรณีไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์ทั้งสองจะแกล้งปรักปรำนายสมคาด

คำเบิกความพยานโจทก์สอดคล้องกันไม่เป็นพิรุธตามที่นายสมคาดกล่าวอ้าง รับฟังได้ว่าเงิน 3 ล้านบาทเป็นเงินส่วนหนึ่งที่นายสมคาดได้รับจากนายชวน จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียกรับทรัพย์สินฯ โดยมิชอบ จึงพิพากษายืนจำคุกนายสมคาด 5 ปี และนายชวน 7 ปีตามศาลอุทธรณ์

อ่านประกอบ : “ดร.โจ” รอด! ศาลฎีกายกฟ้องซื้อที่ดินทิ้งขยะ ยืนจำคุก “สมคาด” 5 ปี อดีต ผอ.เขตบางซื่อ 7 ปี (26 ก.ย. 2562)

นายพิจิตตเปิดเผยหลังศาลฎีกาตัดสินว่า ตลอด 19 ปีที่ต่อสู้คดีมาจนถึงตอนนี้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก แต่ยังคงยืนยันว่าทำเพื่อสังคมด้วยความบริสุทธิ์ใจมาโดยตลอด ไม่เคยหวังผลประโยชน์ หลังจากนี้ก็จะทำสาธารณประโยชน์ต่อไป แต่ยังคงเป็นห่วงเรื่องภัยพิบัติโดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

คุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้นั้น ควรจะมีทีมงานที่มีประสิทธิภาพ และส่วนตัวก็ยินดีที่จะมาช่วยเหลืองานของกรุงเทพมหานคร โดยไม่รับตำแหน่งใดๆ

ส่วนนายสมคาด ที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น นายชยุต สืบตระกูล ต้องพ้นจากเก้าอี้ ส.ว. 250 คน ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ทันที เพราะถูกจำคุกจากคำพิพากษาในศาลฎีกา ไม่สามารถอุทธรณ์ใดๆ ได้อีกแล้ว ต้องเลื่อนลำดับ ส.ว.ที่อยู่ในบัญชีสำรอง คือ นายจัตุรงค์ เสริมสุข ซึ่งอยู่ในบัญชี ส.ว. สายวิชาชีพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มานั่งแทน
กำลังโหลดความคิดเห็น