ตำรวจสอบสวนกลางเผยโทษการปลอมแปลงเอกสาร หลังเกิดปมสาวแอบอ้างเป็นหมอสมัครงานคลินิกดัง

ตำรวจสอบสวนกลางโพสต์ให้ข้อมูลกรณีการปลอมแปลงเอกสารหลังเกิดประเด็นร้อนแรง สาวแอบอ้างเป็นหมอสมัครงานคลินิกของ พิมรี่พาย แม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง ชี้มีโทษทั้งจำและปรับ

จากกรณี น.ส.พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ หรือพิมรี่พาย แม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง และหุ้นส่วนอิสคิวท์คลินิกเวชกรรม สาขาห้วยขวาง เข้าแจ้งความต่อตำรวจกอง บก.ปคบ. หลังถูก น.ส.อาลินดา (สงวนนามสกุล) ใช้เอกสารใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์หญิงรายหนึ่งมาสมัครเป็นแพทย์ของคลินิก เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย

ล่าสุดวันนี้ (17 ธ.ค.) เพจ “ตำรวจสอบสวนกลาง” โพสต์ให้ข้อมูลกรณีการปลอมแปลงเอกสาร มีโทษทั้งจำและปรับ โดยระบุว่า “การปลอมแปลงเอกสารนับวันยิ่งรุนแรงขึ้น ด้วยเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน สามารถปลอมแปลงเอกสารได้อย่างแนบเนียนและรวดเร็ว มีทั้งการรับทำเอกสารปลอมของกลุ่มมิจฉาชีพ การนำเอกสารปลอมไปใช้ในทางที่ผิด เช่น ปลอมวุฒิการศึกษาเพื่อใช้สมัครงาน หรือปลอมเอกสารราชการเพื่อไปหลอกลวงผู้อื่น การกระทำดังกล่าวล้วนเป็นความผิดตามกฎหมายทั้งสิ้น

การปลอมแปลงเอกสารคือ การเติมหรือตัดทอน, ข้อความ, แก้ไข, ประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารจริง ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร

ผู้ที่ทำเอกสารปลอม
- มีความผิด (ป.อาญา ม.264) จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

- เอกสารที่ปลอมขึ้นมา เป็นเอกสารสิทธิ หรือเป็นเอกสารราชการ เช่น หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน, สัญญาซื้อขาย และสัญญาเช่า จะมีความผิด (ป.อาญา ม.265) จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท

- หากเอกสารที่ทำปลอมขึ้นมาเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ เช่น โฉนดที่ดิน, สัญญาจดทะเบียน และพินัยกรรม มีความผิดตาม (ป.อาญา ม.266) ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท

- และการให้ข้อมูลเท็จต่อเจ้าพนักงาน ทำให้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ จะถือว่ามีความผิดตาม (ป.อาญา ม.267) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ที่ใช้เอกสารปลอม มีความผิดตาม (ป.อาญา ม.268) ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้ทำเอกสารปลอม ตามประเภทของเอกสารที่ใช้นั้นๆ ตามมาตรา 264, 265, 266 หรือ 267 ด้วยเช่นกัน”