xs
xsm
sm
md
lg

ศุภโชค ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้รังสรรค์ “ธรรมะร่วมสมัย”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การ์ตูนธรรมะอ่านง่ายสบายตา ที่มีเรื่องราวล่าสุด แสดงภาพเหล่าพระโพธิสัตว์และพระธยานิพุทธเจ้าทรงเหาะเหินด้วยดอกบัวที่ท่านทั้งหลายนำมาใช้ประหนึ่ง ‘สเก็ตบอร์ด’ เรียกว่าแต่ละพระองค์ทรง ‘เซิร์ฟสเก็ต’ ด้วยลีลาที่ไม่มีใครยอมใคร…คงไม่ง่ายนัก ที่จะนำธรรมะมาปรับใช้ให้เข้ากับยุคสมัยได้แบบ ‘สุด Cool!’ ดังเช่นที่ศิลปินผู้นี้สร้างสรรค์ขึ้นด้วยความสุขตลอดระยะเวลาเกือบทศวรรษที่ผ่านมาผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊คที่มีชื่อว่า Zen Smile Zen Wisdom

เขาคือเจ้าของลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ เรียบง่าย สีสันสบายตา หากเนื้อหานั้น แฝงไว้ด้วยหลักธรรมที่นำมาบอกเล่าได้อย่างโดนใจผู้คนหลากหลายวัยไม่ว่าหนุ่มสาว-เยาวรุ่นหรือผู้ใหญ่วัยโตที่สนใจในธรรม บอกเล่าผ่านภาพการ์ตูนและเรื่องราวที่ผูกร้อยได้อย่างสนุกเข้ากับยุคสมัย

เขาคือ ศุภโชค ชุมสาย ณ อยุธยา อาจารย์ประจำ คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ก่อตั้งและแอดมินเพจ Zen Smile Zen Wisdom เป็นศิลปินอิสระ นักแปล นักวาดภาพประกอบ

‘เพลงรักทะไลลามะ’ บทกวีขององค์ทะไลลามะที่ 6 หนังสือเล่มเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ปลากระโดด ซึ่ง ‘ศุภโชค’ แปลได้อย่างไพเราะและวาดภาพประกอบไว้อย่างสวยงาม ยังคงเป็นที่ชื่นชมกล่าวขานและแสวงหา ของเหล่าผู้ที่สนใจรหัสนัยแห่งลำนำรักอันเปรียบประดุจมนตราของผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งทิเบต ซึ่งฉายภาพของความเป็นปุถุชนและผู้อยู่พ้นความหยั่งคาด หนังสือเล่มนี้ เป็นหนึ่งในประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่าเขามีความสนใจในพุทธวัชรยานของทิเบต และถ่ายทอดออกมาได้อย่างลึกซึ้งทั้งในรูปแบบงานศิลป์และตัวอักษร ไม่น้อยไปกว่า พุทธแบบมหายาน เถรวาท หรือเซน ที่เขาสนใจไม่แพ้กัน

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเป็นครูผู้สอนวาดภาพ ‘ทังก้า’ ( หมายเหตุ- THANGKA เป็นภาพวาดทางพุทธศาสนาที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทิเบต เป็นการวาดลงบนผืนผ้า สีที่ใช้มักเป็นแร่ธาตุที่ได้จากธรรมชาติ อาทิ ปะการัง หินโมรา ไพลิน ไข่มุก ทองคำ และอื่นๆ เพื่อให้สีคงอยู่ได้นานหลายศตวรรษ ภาพวาดทังก้ามักบรรยายถึงเรื่องราวของพระพุทธเจ้า เทวะ พระโพธิสัตว์ ตามคติหรือวรรณกรรมของวัชรยาน )

ขณะเดียวกัน เขาก็วาดภาพทังก้าอันเปี่ยมด้วยศรัทธาให้แก่ผู้ที่เขาเคารพ ซึ่งตลอดระยะเวลานานนับสิบปี เขากลับวาดภาพทังก้าที่เสร็จสมบูรณ์ได้เพียง 4 ภาพเท่านั้น นับเป็น ‘พุทธศิลป์’ ที่ไม่มีใครตอบได้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่นานปีกว่าจะมีผู้ได้พบเห็นทังก้าอันรังสรรค์ขึ้นจากใจของชายผู้นี้อีก ซึ่งแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่อาจตอบได้ อย่างไรก็ตาม ผลงานอื่นๆ ที่เขาสร้างขึ้นระหว่างเฝ้ารอกาละอันเหมาะควรนั้น ก็นับได้ว่ามอบแรงดลใจให้ผู้คนและมีคุณค่าความหมายไม่แพ้กัน

‘ผู้จัดการออนไลน์’ สนทนากับ ‘ศุภโชค ชุมสาย ณ อยุธยา’ เพื่อถามไถ่และล้วงลึกถึงกระบวนการสร้างงาน ที่มา แรงดลใจ ความคิดสร้างสรรค์ ศรัทธาแห่งธรรม ความสนใจที่มีต่อศิลปะหลากหลายแขนง ความสนใจในการวาดรูปที่เริ่มขึ้นนับแต่จำความได้ นิยามความหมายของธรรมะร่วมสมัย รวมทั้งสภาวะของจิตขณะสร้างงาน ทั้งไม่ลืมตั้งคำถาม ว่าเหตุใด ภาพทังก้าของเขาจึงใช้เวลายาวนานเหลือเกินในการสร้างสรรค์ภาพที่ 5 ขึ้นมา กระนั้น ศุภโชคก็บอกเล่าให้รับรู้ว่า ‘แรงดลใจ’ ของเขาปรากฎขึ้นแล้ว เพียงรอเวลาที่เหมาะสม…เพื่อมอบให้ใครสักคนที่เขาเคารพบูชา

เหล่านี้ คือถ้อยคำบอกเล่าที่ฉายภาพชีวิตและถ่ายทอดกระบวนการสร้างงานศิลปะหลากรูปแบบที่เชื่อมโยงกับธรรมะอันพ้นยุคสมัยและเหนือกาลเวลา ซึ่งชายคนนี้รังสรรค์ขึ้นมาได้อย่างมีพลัง เปี่ยมชีวิตชีวาและแฝงไว้ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว


แรงดลใจจากนักเขียนชั้นครู

หากถามว่า
จุดเริ่มต้นความสนใจของศุภโชค ที่มีต่อพุทธศาสนา ธรรมะ กระทั่งหันมาสนใจวาดพุทธจิตรกรรมหรือพุทธปรัชญา
ความสนใจนั้น มีจุดเริ่มแรกเมื่อไหร่ อย่างไร

ศุภโชคตอบว่า
ความสนใจดังกล่าวน่าจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา

“ปกติผมเป็นคนวาดรูปมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ตั้งแต่จำความได้ แล้วในช่วงประถมปีที่4 ปีที่5 ปีที่6
มีหนังสือที่ผมอ่านแล้วจำได้ดีคือ หนังสือ ของ ส.พลายน้อย ที่เล่าถึงเรื่องราวของเทวะ เทวนิยาย อมนุษย์นิยาย ใน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แล้วในหนังสือนั้นก็จะมีรูปภาพประกอบ ทั้งภาพวาดและภาพงานประติมากรรม ผมก็เลยสนใจว่ามีงานแบบนี้ด้วยเหรอ ดังนั้น เราก็โตมาด้วยความที่อยากรู้เกี่ยวกับศาสนา เช่น พราหมณ์ ฮินดู โดยมีที่มาคือเริ่มจากหนังสือเล่มนั้น
แล้วความสนใจก็ต่อยอดมาเป็นศาสนาพุทธ ดังนั้น จึงเรียกได้ว่าผมสนใจศาสนาจากศิลปะมากกว่า”

แล้วเริ่มสนใจวาดภาพแนวพุทธศาสนาพุทธปรัชญา เมื่อไหร่

ศุภโชคตอบว่า “ตอนที่ยังเด็กๆ ผมก็วาดรูปทั่วไป กระทั่งโตมาถึงช่วงที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว
ก็เริ่มที่จะรู้และสนใจที่จะทำงานออกมาในแนวไหน ถ้าเป็นแนวพุทธจิตรกรรม พุทธปรัชญา
ผมก็เริ่มสนใจวาดในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย


Zen Smile Zen Wisdom
การ์ตูนธรรมะร่วมสมัย


ถามว่า ลายเส้นวาดภาพพุทธปรัชญา หรือธรรมะร่วมสมัยของศุภโชค มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ ดังเช่นที่เห็นได้ผ่านเพจ Zen Smile Zen Wisdom มีความเฉพาะตัวบางอย่าง หากขอให้อธิบาย พอจะบอกเล่าได้หรือไม่ ว่าลายเส้นของตนเองมีความเฉพาะตัวอย่างไร

ศุภโชคหัวเราะก่อนตอบว่า “จริงๆ แล้ว ถ้าให้อธิบายก็อธิบายลำบากนะครับ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจหรอกว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่า อย่างเช่น เพจการ์ตูน Zen Smile Zen Wisdom นี่ แค่รู้สึกว่าอยากทำงานด้วยความสบาย เราก็เลยเขียนด้วยความรวดเร็วฉับไวหน่อย

ซึ่งจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจนะครับ เพราะถ้าหากย้อนกลับไปอ่านเพจZen Smile Zen Wisdom ตั้งแต่ยุคแรกๆ ลายเส้นไม่ใช่แบบนี้เลยนะครับ ลายเส้นเป็นแบบ แข็งๆ คล้ายเส้นดินสอ แล้วช่วงนั้น ผมก็รู้สึกว่า กว่าจะวาดได้สักตอนหนึ่งเนี่ย เหนื่อยมากเลย ผมก็เลยตัดสินใจว่า ไม่เอาแล้ว วาดให้สนุกดีกว่า ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยน

ส่วนลายเส้นอื่นๆ อย่างที่สอนวาดทังก้าก็ตาม ก็เป็นอะไรที่แตกต่างกันไปตามเป็นบุคลิคในแต่ละงานนั้นๆ ไม่ได้เหมือนกันกับที่วาดการ์ตูน เพราะแต่ละงานที่วาดก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแบบเฉพาะตัว แต่ถ้าถามว่ามีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ไหม ต้องตอบว่า ผมไม่ได้จงใจที่จะให้เป็น แต่เป็นไปตามเนื้องานมากกว่า” ศุภโชคระบุ 


ที่มาและกำเนิดการ์ตูนธรรมะ

เพจ Zen Smile Zen Wisdom ถือว่ามีผู้ให้ความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่านแล้วรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความร่วมสมัย อยากให้ช่วยเล่าถึงจุดกำเนิดเพจดังกล่าว ว่าก่อตั้งมากี่ปีแล้ว มีที่มาที่ไปอย่างไร ศุภโชคตอบว่า จริงๆ แล้ว แรงบันดาลใจเกี่ยวกับธรรมะ ศาสนาหรือปรัชญา เริ่มมาตั้งแต่เด็กผ่านสิ่งที่เขาชื่นชอบอย่างยิ่ง
นั่นก็คือ “การ์ตูน”

“เพราะผมอ่านการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนติดการ์ตูน แล้วก็ในอดีต จะมีหนังสือการ์ตูนศาสนา การ์ตูนปรัชญา ที่วาดโดยอาจารย์‘ไช่จื้อจง’ นักวาดการ์ตูนชาวไต้หวัน ที่ในตอนนั้น มีสำนักพิมพ์ในเมืองไทยที่ยังพิมพ์อยู่ เป็นสไตล์แบบจีนๆ เลย ก็มีคนแปลมา แต่เมื่อผมโตขึ้นมา กลับไม่มีหนังสือแบบนี้แล้ว เพราะอาจไม่ได้เป็นที่นิยม เมื่อผมโตขึ้น ผมก็ได้ไปเห็นฉบับภาษาอังกฤษซึ่งเป็นฉบับที่เมืองไทยยังไม่เคยแปล ผมก็เลยไปลองอ่านดู รู้สึกสนุกดี ควบคู่ไปกับการที่เราสนใจพุทธศาสนาแบบเซนด้วย ผมก็รู้สึกว่างานที่อาจารย์ไช่จื้อจงเขียนนี่ยังไม่หมดนะ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่น่าจะวาดต่อ ผมก็เลยลองวาดเองดูบ้างและโพสต์เฟซบุ๊คในหมู่เพื่อนๆ กัน ก็วาดเองอ่านกันเอง แล้วก็เริ่มมีเพื่อนๆ บอกว่า ไหนๆ ก็วาดแล้ว ก็ทำเพจขั้นมาเลย ก็เริ่มทำเพจขึ้นมาน่าจะสักประมาณ 8-9 ปี ประมาณนั้นครับ”


‘ไช่จื้อจง’ อาจารย์การ์ตูนธรรม

ถามว่าเช่นนั้นแล้ว ก็อาจกล่าวได้ไหมว่า เริ่มแรก ศุภโชคได้แรงบันดาลใจในการวาดการ์ตูนธรรมะปรัชญา มาจากอาจารย์ไช่จื้อจง แล้วระยะเวลาต่อมา ก็สร้างงานขึ้นมาในรูปแบบของตัวเอง

ศุภโชคตอบทันที่ว่า“ใช่ครับ เพจZen Smile Zen Wisdom คือการ์ตูนปรัชญา และท่านไช่จื้อจงนี่เอง คือผู้ที่ผมได้รับอิทธิพลจากท่าน เมื่อผมนึกถึงท่านไช่จื้อจงก็จะนึกถึงการเขียนการ์ตูนปรัชญาของท่าน ที่ท่านสามารถพลิกให้มันเป็นกลายเป็นแก๊กมีมุกตลก เป็นตอนๆ สั้นๆ แล้วเรารู้สึกสนุกมาก คือตอนนั้น ยังเด็กเราไม่รู้หรอกว่าการ์ตูนที่ท่านเขียนนั้นเป็นปรัชญาหรือศาสนา แต่เรารู้สึกสนุกแสดงว่าธรรมหรือปรัชญาก็ทำให้สนุกได้นะ คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการอ่านงานของท่านครับ

ถามว่าการ์ตูนธรรมปรัชญาในเพจZen Smile Zen Wisdom ของศุภโชค ลายเส้นล่าสุดที่ทุกคนได้เห็นคือ ลายเส้นสบายตา ลักษณะของตัวการ์ตูนหรือคาแรคเตอร์และองค์ประกอบ อาทิ มุกตลกต่างๆ มีความร่วมสมัย กระนั้น ในความร่วมสมัย ก็ยังแทรกสาระ ดังในซีรี่ส์ล่าสุด ที่เกี่ยวข้องกับดินแดนสุขาวดี ซึ่งกล่าวถึงการเดินทางของพระโพธิสัตว์และพระธยานิพุทธเจ้าตามคติมหายานและวัชรยานหลายพระองค์ อาทิ พระอมิตาภพุทธะ พระไวโรจนะ พระอักโษภยะ และอีกหลากหลายพระองค์ นั่นหมายความว่า ตัวผู้วาดอย่างศุภโชค จำเป็นต้องมีความรู้แตกฉานในพุทธมหายานหรือพุทธวัชรยานด้วยหรือไม่จึงสามารถเขียนเรื่องราวเหล่านี้ออกมาได้อย่างสนุกและน่าติดตาม ศุภโชคหัวเราะอย่างถ่อมตัว ก่อนจะรีบปฎิเสธว่า “ไม่ครับ ผมว่าอย่าใช้คำว่าแตกฉานเลยครับ ถ้าแตกฉาน ผมก็คงหมดทุกข์หมดโศกไปแล้วครับ (หัวเราะ) 

ผมว่าเป็นความสนใจส่วนตัวมากกว่าครับ และเป็นข้อมูลที่เราเก็บเกี่ยวมาตั้งแต่วัยรุ่นเมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเราก็ยิ่งมีข้อมูลมากขึ้น แล้วพอโตมา เป็นยุคอินเตอร์เน็ตอีก ก็ยิ่งมีข้อมูลให้ศึกษาค้นคว้ามากขึ้น เรียกว่า เป็นความรู้ที่เราพอจะมีอยู่ประมาณหนึ่งแล้วก็พอที่จะนำเอามาเขียนได้ ผมว่าเรียกแบบนี้ดีกว่าครับ แต่ถามว่าแตกฉานในความรู้เรื่องนี้ไหม ผมว่าไม่หรอกครับ มีคนแตกฉานมากกว่าผมเยอะแยะ เพียงแต่ผมนำสิ่งที่ผมสนใจมาวาดเป็นภาพได้เท่านั้นเอง”ศุภโชคบอกเล่าถึงผลงานตนเอง ที่มีส่วนสำคัญคือการสนใจและค้นคว้าหาข้อมูล

ถามกลับไปว่าแม้ศุภโชคจะกล่าวเช่นนั้น แต่เชื่อว่า ผู้ที่อ่านเพจZen Smile Zen Wisdom ก็น่าจะสามารถนำข้อมูลที่ได้รับไปศึกษาหาความรู้ต่อยอดได้ โดยเฉพาะ เป็นแรงบันดาลใจในการค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับพระไวโรจนะ หรือพระธยานิพุทธเจ้าองค์อื่นๆ เพจZen Smile Zen Wisdom จึงนับได้ว่าเป็นอีกแหล่งความรู้ที่น่าสนใจ

ศุภโชคยอมรับว่า“ครับ จริงๆ แล้วผมว่าก็น่าจะเป็นแบบนั้นมากกว่า คงไม่ได้อ่านการ์ตูนแล้ว‘โอ้! หลุดพ้น’ ด้วยการ์ตูนนี้หรอกครับ ( หัวเราะ ) เพราะมันเป็นแค่การ์ตูนสนุกๆแต่ถ้าการ์ตูนที่ผมวาดทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าศาสนาไม่ใช่เรื่องซีเรียสนะ ก็อาจจะไปศึกษาเพิ่มเติมต่อไปครับ” ศุภโชคระบุ


แก่นธรรมแห่งZen Smile Zen Wisdom’


ถามว่าแก่นของ เพจZen Smile Zen Wisdom คืออะไร จะอธิบายว่าอย่างไร

ศุภโชคตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า“คือการ์ตูน‘ธรรมะร่วมสมัย’ ครับ

เมื่อได้ยินคำตอบดังนั้นอดถามไม่ได้ว่า การ์ตูนธรรมะร่วมสมัย ที่ถ่ายทอดผ่านเพจZen Smile Zen Wisdom นั้น เคยเผชิญกับแรงปะทะ หรือแรงกดดันอะไรหรือไม่ เนื่องจากเราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สังคมไทยของเรา ส่วนใหญ่แล้วเป็นพุทธแบบเถรวาทเยอะพอสมควร ซึ่งในบางแง่มุมอาจมีความอนุรักษ์นิยม แต่ขณะเดียวกัน พุทธวัชรยาน ที่ศุภโชคเอ่ยถึงเป็นส่วนใหญ่
แม้จะค่อนข้างจะมีพิธีกรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง แต่ขณะเดียวกัน ก็มีวิถีแห่งความเรียบง่าย มีบางอย่างที่คล้ายกับพุทธนิแบบเซน เช่นนั้นแล้ว ศุภโชคหาจุดกึ่งกลางในการสร้างสรรค์งานอย่างไร เผชิญความยาก ความกดดัน หรือความไม่เข้าใจในการสร้างงาน ผ่านเพจZen Smile Zen Wisdom มากน้อยแค่ไหน อย่างไร

ศุภโชคตอบว่า“อืม…จริงๆ แล้ว ผมก็คิดว่า คงไม่ได้ถึงขนาดว่าเป็นเรื่องกดดันอะไรครับ เพราะจริงๆ แล้วเพจนี้ก็มีระยะเวลาที่ผ่านมานาน 8-9 ปีแล้ว ซึ่งมันก็มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนะครับ แม้จะมีแต่ก็น้อยมาก มีบ้าง สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่ใช่คนที่วาดรูปต่างๆ ขึ้นมาเพื่อท้าทายอะไร ผมไม่ได้มีไอเดียแบบนั้นในหัวเลยครับ แต่ผมตั้งใจวาดพุทธมหายาน วัชรยาน หรือ เซน แต่ก็อาจบ้างบางรูปภาพที่คนเห็นแล้วอาจรู้สึกว่ามัน‘โป๊ะเชะ! ว่า อ้าว ทำไมเป็นแบบนี้’ ทั้งๆ ที่ตัวผมซึ่งเป็นผู้วาดไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่เขาตีความไปอีกแบบก็มีบ้างครับ แต่จากวิวัฒนาการที่ผมเห็นมาเรื่อยๆ ผมเห็นว่าคนที่เข้ามาอ่านในเพจZen Smile Zen Wisdom และคนที่เข้ามาคอมเมนต์ก็ล้วนแต่มีข้อคิดที่ดีที่ช่วยให้เรามีกำลังใจ

เช่น มีคอมเมนต์หนึ่ง เขาบอกว่า เขาเคยเห็นว่ามีการ์ตูนที่ผมวาด กลายเป็นประเด็นขึ้นมา ซึ่งตอนที่เขาได้เห็นครั้งแรกเขาไม่ชอบเลย แล้วเขาก็เลยตามมาดูที่เพจเพื่อที่จะมาด่าผม แต่เมื่อเขาเข้ามาอ่านทีละตอนๆ แล้ว เขากลับรู้สึกว่า ที่นี่ ที่เพจนี้เป็นcommunity ที่เขารู้สึกสบายใจ


ดังนั้น ผมว่า เพจZen Smile Zen Wisdomมันเป็นพื้นที่ที่ให้คนเข้ามาเรียนรู้มากกว่า ผมไม่ได้หวังให้คนอ่านการ์ตูนผมแล้วบรรลุธรรม แต่ว่าเข้ามาเรียนรู้ ว่ามีความคิดแบบไหนบ้าง อาจเห็นด้วยหรือเห็นต่างก็ไม่เป็นไร ซึ่งผมรู้สึกว่าเป็นความโชคดีของผมมากๆ ที่ในเพจนี้ มีคนที่พร้อมจะเข้าใจเยอะมาก ซึ่งปกติแล้ว ในเพจ ผมไม่ค่อยตอบคำถามอะไรมาก เพราะถือว่าเมื่อวาดจบ คือจบแล้ว แต่โชคดีที่มีผู้อ่านหลายคน เขามาอธิบายแทนเรา คอยอธิบายความหมายเวลามีคนถาม หรือมีคนไม่เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อออกไป

ผมเองก็เติบโตมากับพุทธเถรวาทบ้านเรา ถามว่าเป็นอนุรักษ์นิยมไหม ผมว่าเป็นอนุรักษ์นิยมในแง่มุมหนึ่ง แต่โดยธรรมะนั้น ดีอยู่แล้ว ตัวผมเองก็มีครูบาอาจารย์ไม่น้อยที่ผมเคารพทางฝ่ายเถรวาท

แต่เมื่อเป็น Traditionบางอย่าง ก็อาจจะเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะยึดติด ซึ่งผมก็ถือว่าเป็นปกติ และผมก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ผมจะสร้างงานในรูปแบบนี้ที่ผมทำอยู่ เพราะมุมมองของผม ผมไม่ได้มีความคิดที่จะท้าทายใคร ผมไม่มีไอเดียนั้นอยู่เลย เราแค่ทำไปด้วยความตั้งใจที่ดี แล้วเมื่อใดที่มีข้อถกเถียง เราสามารถอธิบายได้ว่าเรามีไอเดียมาจากอะไร ถ้าเราสามารถตอบคำถามได้ ก็พูดง่ายๆ คือเราไม่ได้ตั้งใจไปกวนตีนใครเขา ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำนั้นสามารถตอบคำถามได้แน่นอน และผมว่ามันโอเค มันทำได้” ศุภโชคถ่ายทอดความรู้สึก

ถามว่า ความเชื่อมั่นที่ว่า การ์ตูนธรรมะร่วมสมัยของเขาทำได้ อยู่ได้ในสังคมนี้นั้น สิ่งนั้นก็พิสูจน์ตัวเองมาแล้วด้วยระยะเวลา เกือบทศวรรษ นับเป็นแก่นธรรมที่ทะลุเปลือกของสังคมก็ว่าได้ แต่ศุภโชคก็ยังคงหัวเราะอย่างถ่อมตนเช่นเคย และระบุด้วยว่า “แต่คงไม่ขนาดนั้น หรอกครับ”


สร้างสรรค์‘ซีรี่ส์ศาสนา’ ที่หลากหลาย


ถามว่าเอาแรงบันดาลใจจากไหนมาสร้างงานในเพจ Zen Smile Zen Wisdom ที่ทำมาเกือบทศวรรษแล้ว แต่ก็ยังคงมีไอเดียมากมายปรากฏให้เห็นและผู้วาดก็ยังคงสร้างสรรค์ผลงานต่อเนื่องไม่หยุด

ศุภโชคตอบว่า“เพราะเป็นงานที่เราชอบ และก็ทำมาเรื่อยๆ แต่ยอมรับว่าในช่วงปีที่3- ปีที่4 ที่ทำเพจ ผมเริ่มถามตัวเองว่า‘เราจะไปทางไหนต่อ?’ แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ ผมก็มีทางออกของผม คือเดิมที เพจนี้ เริ่มจากการ์ตูนซึ่งเริ่มแรก ผมก็ทำไปพร้อมกับเฟซบุ๊คส่วนตัวของผมที่ผมนำเอาธรรมะที่เป็นเนื้อหา มาแปล มาโพสต์ หลากหลายศาสนา คราวนี้ในเพจZen Smile
Zen Wisdom ของ
ผม บางทีผมก็ขี้เกียจวาดรูป ผมก็เอาเนื้อหาธรรมะ เนื้อหาศาสนามาโพสต์บ้าง ดังนั้นเนื้อหาในเพจZen Smile Zen Wisdomก็จะมีการสลับกันไปแบบนี้ครับช่วงหลังผมก็เลยรู้สึกว่าทำแบบนี้ก็ดี คือจะอ่านการ์ตูนก็ได้หรือจะอ่านเนื้อหาสาระก็มี เช่น บางคนอาจจะมาดูการ์ตูน แล้วมาเตะตากับเนื้อหาที่เป็นธรรมะแบบนี้ก็โอเคครับเพราะผมคิดว่าคนอ่านก็อาจจะเบื่อได้เหมือนกัน อย่างผมเองก็มีช่วงที่ไอเดียตันๆบ้าง ดังนั้น ก็เลยสร้างซีรี่ส์ศาสนาขึ้นมาบ้างครับ เช่น ซีรี่ส์ศาสนาคริสต์บ้างศาสนาอิสลามซูฟี ( หมายเหตุ-นิกายหนึ่งของศาสนาอิสลาม) เป็นซีรี่ส์ฮินดูบ้างซึ่งซีรี่ส์ทั้งหมดก็คือเป็นการ์ตูนน่ะครับ เป็นการแก้ความเบื่อของตัวเองด้วย อย่างซีรี่ส์ตอนยาวล่าสุด ‘สุขาวดีเรสซิเด้นซ์’ ก็เป็นแก๊กที่ลากยาวมาถึงทุกวันนี้ครับ”


จากจุดเริ่มต้น สู่‘สุขาวดีเรสซิเด้นซ์’
ณ ปัจจุบัน



ถามว่าการ์ตูนธรรมะ‘สุขาวดีเรสซิเด้นซ์’ที่เป็นเรื่องราวการเดินทางของพระโพธิสัตว์และพระธยานิพุทธเจ้าหลายพระองค์ ซึ่งกำลังดำเนินไปอย่างน่าติดตามนั้น มีตอนจบอยู่ในใจแล้วหรือไม่

ศุภโชคตอบว่า“มีครับ แม้ว่าตอนแรก อาจจะไม่ได้คิดเลย แต่เมื่อวาดตอนแรกจบลงก็เริ่มมีพล็อตขึ้นมาในหัวแต่ก็คิดว่าจะทำยังไงให้ตลกและมีสาระแทรกไปด้วย ถ้าถามผมว่าทำยังไงมาได้ตั้ง 9 ปี ผมก็ตอบว่าผมก็ทำไปเรื่อยๆ ครับ”

ศุภโชคหัวเราะอารมณ์ดีและยืนยันทีเล่นทีจริงว่า “ก็คงจะทำต่อไปเรื่อยๆ มั้งครับ”


ถามว่า เคยมีความคิดที่จะรวมเล่ม หรือมีสำนักพิมพ์ไหนติดต่อมาเพื่อที่จะจัดพิมพ์เนื้อหาการ์ตูนของ เพจZen Smile Zen Wisdomบ้างหรือไม่

ศุภโชคยอมรับว่า “ในอดีตมีครับ ตอนนั้น ผมทำเพจมาได้สักประมาณ 1-2 ปี มีสำนักพิมพ์ติดต่อมาหลายแห่งเลย หลายสำนักพิมพ์เลยครับ แต่ว่ามีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น บางสำนักพิมพ์ บอกว่าพิมพ์สีไม่ได้ เปลืองงบประมาณ ขอเป็นพิมพ์แบบขาวดำแทนได้ไหม แต่ผมก็ปฎิเสธไป เพราะว่าบางสี สำหรับบางเรื่องบางตอน ผมตั้งใจดีไซน์ให้เป็นภาพสี แต่หากความเป็นภาพสีหายไป ความหมายบางอย่างก็จะหายไปด้วย ไม่ว่าด้วยองค์ประกอบศิลป์ หรือด้วยสาระของภาพนั้น ผมก็ไม่ทำ
บางสำนักพิมพ์ก็บอกว่า อาจจะต้องมานั่งเรียบเรียงใหม่นะ ซึ่งผมก็บอกไปว่าผมไม่มีเวลามานั่งทำนะ เมื่อผมทำแล้วคือจบ ผมจะไม่มานั่งจัดการใหม่”

เมื่อถามไถ่ไปว่าเข้าใจความรู้สึกของผู้วาด เพราะเมื่อวาดขึ้น ณ วินาทีนั้นๆ มันคือ‘ความสดใหม่ ณ วินาทีนั้น’ ที่ไม่ควรจะต้องแก้ไขอะไรอีกแล้ว เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่ ศุภโชคยืนยันอย่างชัดเจนว่า “ใช่ครับ”


‘ธรรมะ’ ย่อมพ้นยุคสมัยและกาลเวลา

ถามย้ำอีกครั้งว่า แรงบันดาลใจของศุภโชคในการสร้างงานธรรมะร่วมสมัยผ่านเพจZen Smile Zen Wisdom จะยังมีให้เราอ่านต่อไปเรื่อยๆ ใช่ไหม และสำหรับศุภโชคแล้ว นิยามความหมายของคำว่า‘ธรรมะร่วมสมัย’ หรือธรรมะที่สามารถคงอยู่ได้ทุกยุคสมัย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนนั้น

สำหรับคุณแล้ว นั่นคือธรรมะแบบไหน?

ศุภโชคตอบว่า “จริงๆ แล้ว ก็ต้องบอกว่า ผมต้องทำอยู่แล้วครับ เพราะการวาดรูปเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ ( หัวเราะ ) แต่เราเลือกรูปที่เราวาด เราเลือกที่จะวาดเป็นธรรมะนั่นเอง ก็เหมือนกับศิลปินทั่วไปที่จะมีหัวข้อในการทำงาน ซึ่งผมดันชอบในหัวข้อนี้ นั่นคือธรรมะ


แล้วหากถามว่า ธรรมะจะร่วมสมัยแค่ไหม ผมว่าเนื้อหาของธรรมะนั้นคือสิ่งที่เหนือกาลเวลาและเป็นจริงอยู่แล้วครับ เพียงแต่ว่าวิธีที่จะใช้อธิบายให้กับผู้คนแต่ละยุคสมัย แต่ละภูมิประเทศ แต่ละภูมิศาสตร์ก็ย่อมต้องเปลี่ยนไปตามจริต หรือประเพณีของคนในยุคนั้น ในดินแดนนั้น แต่ตัวธรรมะ หรือแก่นของธรรมะนั้นยังเหมือนเดิม ดังนั้นเอง สำหรับผม ในยุคสมัยนี้ ในประเทศไทยนี้ ซึ่งมีความ เปลี่ยนแปลงเยอะแยะไปหมด การอธิบายธรรมะก็น่าจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันด้วย ซึ่งผมก็ถือว่าผมไม่ได้เป็นคนริเริ่ม ผมเชื่อว่ามีคนที่ทำแบบนี้อยู่แล้ว ก็ต้องให้เกียรติพวกท่านเหล่านั้นย้อนกลับไปด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผมแล้ว ผมว่าก็มีท่านพุทธทาสภิกขุ ที่สื่อสารธรรมะด้วยคำที่เรียบง่าย ผมว่ามีคนที่พยายามทำแบบนี้อยู่ทุกยุคสมัย ดังนั้น ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นพุทธแบบมหายาน วัชรยาน จะเป็นเถรวาทก็ได้ เพียงแต่ว่าต้องเข้าใจถึงบริบทของคนในยุคนี้ว่าเขาคิดอะไร และจะพูดกับเขายังไงเท่านั้นเองครับ” ศุภโชคอธิบายถึงนัยความหมายของธรรมะร่วมสมัยได้อย่างน่าสนใจ


ศรัทธาแห่ง‘ทังก้า’(THANGKA)


ไม่เพียงเป็นอาจารย์ประจำคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรและเป็นผู้ก่อตั้งเพจZen Smile Zen Wisdom สร้างสรรค์ผลงานการ์ตูนธรรมะร่วมสมัยอย่างต่อเนื่องมาเกือบ10 ปี ทว่า ศุภโชค ยังมีความสามารถและความสนใจในศิลปะแห่งธรรม หรืองานพุทธศิลป์ ไม่ว่างานปั้นและงานวาดภาพพุทธศิลป์ลงสู่ผืนผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พุทธศิลป์บนผืนผ้าของชาวทิเบต หรือพุทธศาสนาวัชรยานที่เรียกว่า‘ภาพทังก้า’( หมายเหตุ- (THANGKA) เป็นภาพวาดทางพุทธศาสนาที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทิเบต เป็นการวาดลงบนผืนผ้า สีที่ใช้มักเป็นแร่ธาตุที่ได้จากธรรมชาติ อาทิ ปะการัง หินโมรา ไพลิน ไข่มุก ทองคำ และอื่นๆ เพื่อให้สีคงอยู่ได้นานหลายศตวรรษ ภาพวาดทังก้ามักบรรยายถึงเรื่องราวของพระพุทธเจ้า เทวะ พระโพธิสัตว์ ตามคติหรือวรรณกรรมของวัชรยาน )

โดยศุภโชครับหน้าที่เป็นครูผู้สอนปั้น‘พุทธะ’ และวาดภาพทังก้า ที่‘วัชรสิทธาvajrasiddha’ ซึ่งก่อตั้งโดย ‘วิจักขณ์ พานิช’ ( หมายเหตุ-วิจักขณ์ เป็นผู้อำนวยการสถาบันวัชรสิทธา เขาจบปริญญาโท ด้านประวัติศาสตร์ศาสนา จากมหาวิทยาลัยนาโรปะ รัฐโคโรลาโด สหรัฐอเมริกา เป็นศิษย์ของสองธรรมาจารย์ชาวอเมริกันผู้เป็นศิษย์รุ่นแรกของ ‘เชอเกียม ตรุงปะ’ คุรุชาวธิเบต ผู้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในโลกตะวันตก นอกจากนี้ วิจักขณ์ ยังเป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ ‘ปลากระโดด’ ซึ่งจัดพิมพ์หนังสือ‘เพลงรักทะไลลามะ’ บทกวีขององค์ทะไลลามะที่6 ซึ่ง‘ศุภโชค’ แปลได้อย่างไพเราะและวาดภาพประกอบไว้อย่างสวยงาม )


ถามว่ามาเป็นวิทยากรหรือครูผู้สอนวาดภาพทังก้าและปั้นพุทธะ ให้แก่ผู้สนใจ ซึ่งจัดโดยวัชรสิทธาได้อย่างไร
ศุภโชคกล่าวว่า เป็นความสนใจส่วนตัวอยู่แล้ว นอกจากนั้น ก็แสวงหาความรู้เองด้วย

“ต้องบอกว่าที่ผมมาสอนวาดภาพทังก้า ผมไม่ได้เป็นคนที่จบการเรียนทังก้ามาโดยตรง ซึ่งจริงๆ ควรจะเป็นอย่างนั้น อาจจบจากธรรมศาลาหรือสถาบันที่มีการสอนวาดทังก้าโดยตรง ซึ่งควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมเป็นเพียงคนที่วาดรูปได้ และเรียนศิลปะมา แล้วก็เราชอบในงานศิลปะตะวันออก เมื่อดูงานทิเบตมา เราก็จำมาวาด จริงๆ ก็ไม่ได้ต่างจากศิลปะตะวันออกอื่นๆ อย่างไทย หรือ ญี่ปุ่น เพียงแต่ว่ามีคาแรคเตอร์เฉพาะ แต่วิธีเขียน วิธีระบายสีก็เหมือนกันครับ เราก็ลองทำ แล้วสมัยนี้ก็มีคู่มือหลายเล่มให้ความรู้เรื่องนี้

จริงๆ แล้ว แรกเริ่มเลย ครั้งแรกที่ผมสอนวาดทังก้า ผมสอนที่มูลนิธิพันดารา ของอาจารย์กฤษดาวรรณ เมื่อหลายปีมาแล้ว ย้อนกลับไปก็ โอ้โฮ! น่าจะเกือบสิบปีได้แล้วครับ”

( หมายเหตุ-มูลนิธิพันดารา ก่อตั้งโดย ดร.กฤษดาวรรณ เมธาวิกุล มุ่งสืบสานสายธารธรรมจากทิเบตสู่ไทยและธำรงไว้ซึ่งมรดกพุทธศิลป์ทิเบตอันมีเอกลักษณ์ ศึกษา วิจัยส่งเสริมและเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมของทิเบตในประเทศไทย รวมทั้งส่งเสริมการติดต่อสื่อสารและความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างประเพณีทางพระพุทธศาสนาของไทยและทิเบต )


จาก‘พันดารา’ สู่‘วัชรสิทธา’


ศุภโชคกล่าวว่า “แรกๆ เลย ผมเข้าไปช่วยงาน อาจารย์กฤษดาวรรณ ช่วงแรกๆ เลย อาจารย์ก็ถามว่าสนใจลองจัดคอร์สไหม เราก็จัดเป็นการวาดทังก้า แต่ไม่ได้ลงระบายสี เป็นเพียงการวาดเส้นธรรมดา คนก็สนใจกันมาก

หลังจากนั้น เนิ่นนานห่างกันไปก็ไม่ได้จัดอีก กระทั่งในช่วงหลัง ผมก็มีโอกาสมาเจอกับคุณตั้ม-วิจักขณ์ กับคุณคมกฤช ( หมายเหตุ-คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ )คุณตั้มก็ชวนมาวาด มาจัดคอร์สกันไหม ผมก็เลยลองมาจัดคอร์สกับวัชรสิทธาครับ” ศุภโชคระบุความเป็นมา กว่าจะมาสอนวาดและปั้นที่วัชรสิทธา

ถามว่า อะไรทำให้สนใจพุทธศิลป์ทิเบตหรือภาพทังก้า มีเสน่ห์ตรงไหน อย่างไร

ศุภโชคอธิบายว่า “จริงๆ แล้ว ผมก็สนใจศิลปะทุกประเภทนะครับ ด้วยความที่เราโตมากับศิลปะ เรียนศิลปะมาและสอนศิลปะด้วย ถ้าถามจริงๆ ก็คือ ผมสนใจเรื่องศาสนาต่างๆ อยู่แล้ว งานที่เกี่ยวกับศาสนาผมจะชอบเป็นพิเศษ

ด้วยความที่เราสนใจเรื่องศาสนา ก็ค่อยๆ วิวัฒนาการมา โดยอาจเริ่มจากพุทธศาสนาแบบเถรวาทบ้านเรา แล้วในช่วงวัยรุ่น อยากหาความรู้ ก็เริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาวัชรยานที่มีแปลเป็นไทย ก็เริ่มศึกษาจากตรงนั้น แล้วรู้สึกสนุก ชอบ มีความน่าตื่นตาตื่นใจ เมื่อชอบเนื้อหาแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะศึกษางานศิลปะ เพราะทิเบตมีงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาเยอะ เราก็ไปตามดู ก็รู้สึกว่า‘โอ้โฮ!’ ยิ่งเห็นแล้วเราก็ยิ่งชอบใจ ด้วยความที่เราทำงานศิลปะด้วย เมื่อได้เห็นภาพทังก้าเราก็รู้สึกชอบใจ คือประทับใจในความสวยนั่นแหละครับ แต่ในความสวยก็ยังมีความหมายที่ดีด้วย” ศุภโชคระบุถึงความประทับใจที่มีต่อภาพทังก้า


ถามว่า ภาพทังก้า สามารถเรียกว่าเป็น‘พุทธศิลป์บนผืนผ้า’ ได้หรือไม่

ศุภโชคตอบทันทีว่า “ใช่ครับ จริงๆ แล้ว ทังก้าหมายถึงงานจิตรกรรมศาสนาพุทธที่เขียนบนผืนผ้า ถ้าเปรียบกับของไทยเราก็คือภาพ ‘พระบฏ’ เพียงแต่พระบฏของเราอาจจะไม่ได้ฮิตเท่าไหร่ ขณะที่ภาพของทิเบตนั้น เขาค่อนข้างถือเป็น Tradition ที่สืบทอดต่อกันมา เหมือนเป็นวิถีของเขาและเขาเคารพอย่างมากครับ” ศุภโชคระบุ

ถามว่า ภาพทังก้าที่ศุภโชคจัดคอร์สสอนวาดที่วัชรสิทธา หรือที่เคยวาดเมื่อครั้งทำงานกับมูลนิธิพันดารานั้น ศุภโชคใช้สีอะไร เพราะเท่าที่ทราบมา ภาพทังก้าที่แท้จริงนับแต่โบราณ เดิมทีจะใช้สีจากแร่ธรรมชาติ แล้วในยุคปัจจุบัน สามารถใช้สีอะไรได้บ้างในการวาดทังก้า

ศุภโชคตอบว่า ในอดีต อาจมีข้อจำกัดของการหาวัสดุหรือวัตถุดิบในการใช้งาน จึงต้องใช้สีธรรมชาติ ซึ่งก็คือสีฝุ่นนั่นเอง ซึ่งเป็นสีที่นำเอาแร่ธรรมชาติมาบดเป็นผง ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กันในงานศิลปะทั่วโลกอยู่แล้ว แม้แต่ในไทย ในอดีต ก็ใช้สีเช่นนี้ กระทั่ง ในเวลาต่อมา เมื่อมีสีวิทยาศาสตร์เข้ามา ศิลปินผู้วาดภาพทังก้าทั่วโลก ในปัจจุบันนี้ จึงมีการใช้สีที่หลากหลาย
“อย่างเช่น ตัวผมเอง ในห้องสอนวาดภาพ ผมก็ใช้สีอะครีลิค เพราะสะดวก ง่าย ไม่ต้องไปผสมกาว หรือไปนั่งเคี่ยวกาวให้เสียเวลา แค่ผสมน้ำก็ใช้ได้เลย จริงๆ แล้วในปัจจุบันนี้ อย่างที่บอกครับ มีสีหลายชนิดที่มีการผลิตโดยใช้วิทยาศาสตร์ ก็สามารถใช้วาดภาพทังก้าได้ เพราะถ้าถามผม สีที่นำมาใช้ก็เป็นเพียงแค่เทคนิค เป็นกระบวนการที่เราจะใช้สีอะไรก็ได้”


‘พระศากยมุนี’ ‘พระอวโลกิเตศวร’ ‘คุรุ ริมโปเช’ ทังก้าที่สรรค์สร้างไม่มากชิ้น


ถามย้อนกลับไปอีกว่า เมื่อครั้งที่วาดภาพทังก้าให้มูลนิธิพันดารา กระทั่งมาวาดให้วัชรสิทธา ภาพที่ศุภโชควาด ท่านผู้ที่ปรากฏในภาพนั้นคือใคร เป็นคุรุท่านใด

ศุภโชคตอบว่า “จริงๆ แล้ว ผมวาดภาพทังก้าน้อยครับ น้อยจริงๆ ที่ผมวาดของตัวเองแล้วเสร็จสมบูรณ์ มีเพียงแค่4 ภาพเท่านั้น

ภาพทังก้าภาพแรกสุดในอดีตที่ผมวาด ผมวาดพระพุทธเจ้า คือพระศากยมุนี เมื่อมาวาดให้พันดาราก็มีพระอวโลกิเตศวร และมีภาพ‘คุรุ ริมโปเช’ อีกสองรูปครับ” (หมายเหตุ-คุรุ ริมโปเช หมายถึง คุรุปัทมสมภพ หรือ คุรุปัทมะสัมภวะ เป็นผู้ที่ชาวพุทธทิเบตถือว่าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่2 เป็นผู้นำพุทธศาสนาเข้าสู่ทิเบตและดินแดนในแถบหิมาลัย เมื่อท่านได้เข้าไปเผยแพร่ธรรมในทิเบตแล้ว ทำให้ประชาชนในทิเบตและในแถบเทือกเขาหิมาลัยหันมาเป็นชาวพุทธ คุรุปัทมสมภพถือกำเนิดเองบนดอกบัว กลางทะเลสาบธนโกษะ แคว้นอุฑิยาน ในอินเดียตะวันตก มิได้กำเนิดจากครรภ์ของสตรีใด )

ศุภโชคกล่าวว่าจริงๆ แล้ว เป้าหมายของการวาดภาพทังก้าในครั้งนั้น คือวาดเพื่อถวายให้กับพระอาจารย์ ซึ่งเป็นลามะที่มูลนิธิพันดาราเชิญมา

“ผมก็วาดถวายให้ท่านไป เป็นภาพ คุรุ ริมโปเช ซึ่งอีกภาพหนึ่ง ก็วาดถวายลามะอีกรูปหนึ่งที่มูลนิธิพันดาราเช่นกัน ดังนั้น จริงๆ แล้ว ผมวาดภาพทังก้าน้อย ไม่ได้วาดเยอะ ขณะที่การวาดทังก้า ในเวลาสอนในคอร์สสอนวาด ก็เป็นเพียงการวาดเป็นตัวอย่างให้เขาดูเท่านั้นเอง แต่ก็วาดไม่เสร็จหรอกครับ” ศุภโชคยอมรับอย่างตรงไปตรงมา


‘สมาธิจิต’ และ ‘ศิลปะ’


เมื่อถามถึงกระบวนการทำงานในการวาดภาพทังก้า เนื่องจากเคยได้ยินคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่า ศิลปินผู้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง หรือภาพจิตรกรรมในอดีต เมื่อถึงเวลาที่จะวาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขาก็มักจะปิดโบสถ์ ถือศีล ภาวนา แล้วในกรณีของศุภโชคนั้น ขณะที่วาดทังก้า จำเป็นต้องมีสภาวธรรมระดับไหน จิตนิ่งในระดับไหน ต้องทำสมาธิหรือไม่

เมื่อได้ยินคำถาม ศุภโชคหัวเราะอย่างอารมณ์ดี และตอบว่า “ผมไม่มีหรอกครับ ( หัวเราะ ) แต่ในความเป็นจริง ถ้าเป็นTraditionจริงๆ ของทิเบต ผมว่าก็เหมือนกับงานพุทธศิลป์ทั่วไปในตะวันออก ในทิเบตถ้าเป็นTraditionแบบโบราณเลยนะครับ ในวันที่เขาจะเขียนทังก้า เขาจะอาบน้ำให้สะอาด สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ ตริตรึกนึกถึงภาพเทวะ หรือพระพุทธเจ้าที่จะวาด เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ แต่ปัจจุบัน คงไม่ใช่ขนาดนั้นแล้ว คงเป็นการเขียนรูปทั่วไป

แต่เนื่องจากผมเป็นคนวาดรูปมาตั้งแต่เด็กแล้ว และทำงานศิลปะมา ผมก็ต้องตอบว่า จริงๆ แล้ว คำถามนี้ ก็เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยนะครับ ผมก็จะขอตอบว่า การวาดรูปนั้นถือเป็นสมาธิในตัวเองอยู่แล้ว หมายถึง เราวาดรูปไปเพลินๆ รู้ตัวอีกที แป๊บเดียว ผ่านไป4 ชั่วโมงแล้ว แบบนี้ก็มี นั่นเพราะเรามีสมาธิ สำหรับผม สมาธิเกิดจากความชอบ ความจดจ่อ ไม่ได้เกิดจากการเคี่ยวเข็ญ เหมือนเวลาที่สอนวาดทังก้าในคลาสเรียน เผลอแป๊บเดียวผ่านไป4 ชั่วโมงแล้ว ทุกคนก็มักจะบอกว่า‘แหม เวลาผ่านไปเร็วจังยังไม่ได้ทันทำอะไรเลย’ ดังนั้น การวาดภาพจึงเป็นสมาธิอยู่แล้ว ไม่ว่าภาพศาสนา หรือภาพร่วมสมัยทั่วไป ก็มีสมาธิอยู่ในตัวเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเป็นภาพศาสนา

เป็นTradition เป็นความเชื่อ ถ้าสามารถนั่งสมาธิก่อนวาด ทำจิตใจให้ผ่องใสก่อนวาด ผมว่าก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าถามผม สำหรับผม ผมว่าผมไม่ได้เป็นคนซีเรียสขนาดนั้นนะครับ ( หัวเราะ )” เป็นอีกครั้งที่ศิลปินหนุ่มผู้นี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา


สอนปั้น‘พุทธะ’ สัมผัสคุณลักษณ์ภายในตน


นอกจากสอนวาดภาพทังก้าแล้ว ศุภโชคยังสอนปั้นพุทธะด้วย ถามว่าหลักในการปั้นจะต่างจากการวาดภาพทังก้าอย่างไร สำหรับผู้ที่มาเรียนในคอร์สที่ศุภโชคสอนนั้น ได้ให้หลักการในเรื่องนี้อย่างไร

ศุภโชคตอบว่า “ในเวลาสอน ผมยอมรับว่าก็มีการให้ผู้เข้าเรียน ได้ทำสมาธิก่อน เพื่อความเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมจะบอกทุกครั้ง ก่อนที่จะสอนไม่ว่าจะสอนปั้นหรือวาด ว่าภาพพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์ที่ใช้ในแง่มุมหนึ่งคือเป็นรูปสำหรับเคารพ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง เวลาเราเขียนรูปพระ หรือปั้นรูป นั่นไม่ได้เป็นการปั้น พอร์ตเทรต (portrait) ของพระศากยมุนี แต่คือSymbolic เป็นตัวแทน ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือ‘ภาพสะท้อนของตัวเรา’ ซึ่งเมื่อใดที่วาดหรือปั้น นั่นไม่ใช่การวาดพระพุทธเจ้าที่ไหน แต่เป็นการวาดหรือปั้นคุณสมบัติที่อยู่ในตัวเรา ที่ควรจะหลุดพ้น ดังนั้น ถ้าจะทำสมาธิ ก็แน่นอน ผมก็จะบอกแบบนี้ว่า‘เราไม่ได้ปั้นให้เหมือนใคร แต่คือคุณสมบัติที่คุณถ่ายทอดออกมา ถ้าคุณมีใจสงบนิ่ง ก็จะเห็นในเนื้องานนั้นเอง’

รูปแบบ ประเพณี งานศิลปะ ประเพณีต่างๆ มีรูปแบบของมัน แต่รายละเอียดอื่นๆ มันออกมาจากตัวของผู้ปั้นนั่นเอง ก็ไม่อยากให้ซีเรียสว่าเราต้องปั้นให้สวยงาม” ศุภโชคบอกเล่าถึงหลักการ กระบวนการในการสร้างงานที่เขาบอกกล่าวแนะแนวทางแก่ผู้มาเรียน

ศุภโชคยืนยันว่า หลักการของเขาทั้งในการสอนปั้นและสอนวาดภาพทังก้าก็คล้ายๆ กัน ซึ่งต้องยอมรับว่า ข้อดีของการทำงานกับวัชรสิทธาคือ มีมุมมองคล้ายกันในประเด็นนี้

“ด้วยเหตุนั้น การสอนวาดและปั้นที่วัชรสิทธา เราจึงตั้งชื่อคอร์สว่า‘วาดพุทธะ’หรือ‘ปั้นพุทธะ’ เพราะเราไม่ได้บอกว่า เราปั้นหรือวาด‘พระพุทธเจ้า’ แต่คำว่า‘วาดหรือปั้น พุทธะ’ ชัดว่าค่อนข้างพูดถึงตัวเองมากกว่า ดังนั้น เมื่อเราวาดหรือปั้น นั่นจึงเป็นการสะท้อนพระพุทธเจ้าที่อยู่ในใจเราออกมา นั่นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะเป็นหัวข้อสำคัญในการสอนของผมมากกว่า” ศุภโชคระบุ


‘ทังก้า’ แห่งรัก เคารพ และศรัทธา
บทสนทนายังคงต่อเนื่อง และย้อนกลับมาอยู่ที่ภาพทังก้า อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดภาพทังก้าที่ศุภโชควาดเสร็จสมบูรณ์จึงมีเพียงแค่4 ภาพเท่านั้น ในระยะเวลาที่ยาวนานมาแล้วถึงเกือบสิบปี ทว่า กลับยังไม่ปรากฏผลงานภาพทังก้าภาพใหม่ที่เสร็จสมบูรณ์ มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้วาดได้ทังก้าได้เพียงน้อยภาพเท่านั้น ในระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา

ศุภโชคหัวเราะอย่างอารมณืดีเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน ก่อนจะตอบว่า “นั่นสิครับ ( หัวเราะ---อีกแล้ว ) อาจจะเป็นเพราะว่า ผมไม่ได้เป็นช่างวาดภาพทังก้าแบบที่เป็นช่างวาด จริงๆ หรือเป็นศิลปินจริงๆ ที่มีคนมาจ้างวาด ผมก็ไม่ใช่แบบนั้น
แต่เมื่อผมวาด ผมวาดเพื่อมอบให้ หรือถวายให้กับผู้ที่เราบูชาหรือศรัทธา

เช่นทังก้าภาพแรก เป็นรูปพระศากยมุนี ผมให้อาจารย์ท่านหนึ่งไป เป็นผู้ที่ผมเคารพ ตอนนั้นท่านป่วย นั่นเป็นรูปแรกเลยครับที่ผมวาด และได้มอบให้ผู้ที่ผมเคารพไป เป็นรูปสมัยแรกๆ ตอนที่ผมเรียนจบใหม่ๆ

ส่วนรูปทังก้าพระอวโลกิเตศวร เป็นรูปเดียวที่ผมเหลืออยู่กับตัวครับ เพราะตอนที่วาดรูปนี้ ในครั้งนั้นมูลนิธิพันดารานำไว้ปรินท์และเพื่อแจกให้กับคนที่มาทำบุญในยุคแรกๆ ส่วนรูปคุรุริมโปเช มอบให้กับพระฑาคินีท่านหนึ่งและมอบให้ท่านลามะอีกรูปหนึ่ง
ผมวาดแต่ละภาพขึ้นมาด้วยเป้าหมายว่าจะมอบให้ใคร เพื่ออะไร แต่เมื่อไม่มีเป้าหมาย เมื่อไม่มีเหตุ ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะมานั่งวาด หรือรู้สึก‘อยากวาดจังเลย’ ซึ่งจริงๆ ก็มีบางท่านที่เคยอยากให้ผมวาดให้ ซึ่งผมก็ติดค้างท่านเหล่านั้นอยู่ แต่ก็ยังไม่มีจังหวะที่จะวาดทังก้าให้กับท่าน เพราะทังก้ารูปหนึ่งใช้เวลานานเป็นเดือน ระยะเวลาที่นานก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งด้วย แล้วเราก็อาจจะวุ่นวายพอสมควร ในช่วงหลังๆ” ศุภโชคระบุถึง‘เวลา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการวาดทังก้า


นิรมาณกายปางพิโรธ แรงดลใจครั้งใหม่


ถามว่า มีพุทธะ คุรุ เทวะหรือพระโพธิสัตว์องค์ใด ในใจที่อยากวาดเป็นทังก้าหรือไม่

ศุภโชคตอบว่า “มีประพิมประพายอยู่บ้างครับ มีภาพที่อยากจะลองวาด แต่ก็ยังไม่ได้อยากวาดขนาดนั้น
เป็นเทวะปางพิโรธ ซึ่งผมเคยพยายามที่จะวาดครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ท่านเป็นคล้ายๆ นิรมาณกายปางพิโรธของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ถือว่าเป็นเทวะ แต่ไม่ใช่เทวะในความหมายของฮินดูที่เราคุ้นเคย แต่เทวะในแง่มุมนี้ คือ นิรมาณกายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปางพิโรธ เป็นปางที่แสดงความดุๆ ออกมา ถ้าวาดขึ้นมาแล้วก็อาจจะมีเหตุที่ต้องมอบให้กับใครสักคน แต่ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ครับ” คือคำตอบของศิลปิน เจ้าของเพจการ์ตูนธรรมะร่วมสมัย และผู้ที่รอคอยแรงดลใจครั้งใหม่ในการวาด‘ทังก้า’

พุทธศิลป์บนผืนผ้าที่ไม่มีใครตอบได้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่นานปีกว่าจะมีผู้ได้พบเห็นผลงานอันศักดิ์สิทธิ์จากใจของชายผู้นี้อีกครั้ง แต่กระนั้น…ก็คุ้มค่าที่จะเฝ้ารอ






Text by รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล

Photo by ศุภโชค ชุมสาย ณ อยุธยา และภาพการ์ตูนจากเพจZen Smile Zen Wisdom



กำลังโหลดความคิดเห็น