ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ ยืนยันการฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังไม่ใช่เพียงประหยัดอย่างเดียว แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด และป้องกันการแพร่เชื้อแบบข้ามสายพันธุ์ได้ด้วย
วันนี้ (19 พ.ย.) เฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ ได้โพสต์ระบุข้อความว่า “การฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังไม่ใช่ประหยัดอย่างเดียว แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุดด้วย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ประหลาดมหัศจรรย์ในการนำวัคซีนทุกประเภทมาใช้ในการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง
ทั้งนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับนั้นคือการที่จะสามารถประหยัดวัคซีนลงได้มหาศาล โดยเฉพาะในเรื่องของวัคซีนโควิด ซึ่งข้อมูลในปัจจุบันยืนยันกันแล้วว่าต้องสามารถฉีดให้ได้ 90 เปอร์เซ็นต์ของคนในพื้นที่หรือในประเทศภายในระยะเวลาอันสั้น นั่นคือไม่เกินสามเดือน ทั้งนี้ เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ไวรัสมีการแพร่เป็นลูกโซ่ออกไปต่อ ซึ่งในระหว่างการแพร่นั้นจะมีการพัฒนาตนเองให้เก่งกาจมากขึ้น ทั้งในการติดง่ายซึ่งหมายถึงหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของมนุษย์ตามธรรมชาติและดื้อต่อภูมิที่ได้จากวัคซีน และยังรวมทั้งดื้อต่อภูมิที่ได้จากการติดเชื้อที่เกิดขึ้นมาก่อนและทำให้อาการหนัก ตายมากขึ้น
โดยเห็นตัวอย่างมากมายแล้วว่าการติดเชื้อซ้ำครั้งที่สองยังเกิดได้ตั้งแต่หนึ่งเดือนครึ่งเป็นต้นไป และจะชัดเจนขึ้นตั้งแต่สามเดือนไปแล้ว แม้ว่าชื่อไวรัสยังคงเป็นยี่ห้อเดิมเช่นเดลตา ถ้าเป็นเดลตาที่มีทั้งไมเนอร์และเมเจอร์เชนจ์ แบบรถยนต์ที่ออกใหม่ที่มีเปลี่ยนไฟหลังไฟหน้าเบาะคอนโซล เป็นต้น นั่นเป็นผลจากการปล่อยให้มีการระบาดอย่างต่อเนื่องโดยควบคุมป้องกันไม่ทัน จากการที่สามารถใช้วัคซีนปริมาณน้อย เลยทำให้สามารถเผื่อแผ่วัคซีนให้กับคนอื่นได้ทั่วถึง โดยที่วัคซีนแอสตราฯ นั้นหนึ่งโดสจะกลายเป็นห้า โมเดอร์นาจากหนึ่งจะกลายเป็นสิบ และไฟเซอร์จากหนึ่งจะกลายเป็นสาม และวัคซีนเชื้อตายก็เช่นกัน
โดยที่จะเป็นการฉีดกระตุ้นเข็มที่สาม หรือแม้แต่จะเป็นการฉีดตั้งแต่เข็มที่หนึ่งก็ตาม ยกเว้นในกรณีของวัคซีนเชื้อตายถ้าจะใช้ควรใช้เป็นเข็มที่หนึ่งและสองไม่ควรใช้เป็นตัวกระตุ้นเข็มที่สามเนื่องจากไม่ได้มูลค่าเพิ่มหรือกำไรเพิ่ม เพราะเชื้อตายนั้นมีประโยชน์เพื่อวางเป็นรากฐานและให้วัคซีนยี่ห้ออื่นต่อยอด ซึ่งการต่อยอดโดยยี่ห้ออื่นนี้จะทำให้ภูมิคุ้มกันที่ตกลงอย่างรวดเร็วภายในสองเดือนหลังจากเข็มที่สองของเชื้อตายพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาสองสัปดาห์และอยู่ในระดับสูงมากของภูมิที่ยับยั้งไวรัสได้
และนอกจากนั้นยังสามารถคลุมข้ามสายพันธุ์ดั้งเดิมคือสายจีนมาเป็นสายอังกฤษและเดลตาได้ วัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามนั้น เมื่อฉีดตามเข็มที่หนึ่งและสองของเชื้อตาย ถ้าใช้แอสตร้าฯ จะป้องกันสายแอฟริกาไม่ได้ซึ่งอาจหมายรวมถึงสายเปรูด้วย ในขณะที่เข็มที่สามถ้าเป็นไฟเซอร์จะคุมสายแอฟริกาได้ด้วย แม้ว่าจะไม่ดีนักก็ตาม ซึ่งอาจจะอนุมานได้ว่าวัคซีนโมเดอร์นาควรจะมีประสิทธิภาพคล้ายกัน
สำหรับวัคซีนเข็มที่หนึ่งและที่สองในกรณีของเชื้อตายที่ทางการนำมาฉีดไขว้ คือชิโนแวคต่อด้วยแอสตร้าฯ ตามหลักแล้วจะไม่ค่อยได้กำไรหรือไม่ได้เลย เพราะหลักการฉีดไขว้นั้นหมายความว่าวัคซีนชนิดนั้นเข็มเดียวต้องเริ่มได้ผลแล้วและยอมรับกันแล้วว่าเข็มแรกแอสตร้าฯ ซึ่งก็ทำให้ภูมิขึ้นได้แล้วและต่อด้วยไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา ซึ่งเข็มเดียวก็ได้ผลบ้างอยู่แล้ว เมื่อนำมาฉีดต่อกันจะทำให้การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันขึ้นดีกว่ายี่ห้อเดี่ยวสองเข็ม
ประโยชน์ที่สำคัญอีกประการคือในเรื่องของความปลอดภัยและผลแทรกซ้อน การฉีดเข้าชั้นผิวหนังจะใช้ปริมาณน้อยมาก
ดังนั้น การกระตุ้นทำให้เกิดผลแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจะน้อยกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นยังสามารถอธิบายได้จากการที่การฉีดเข้าชั้นผิวหนังนั้นกลไกในการกระตุ้นภูมิจะแยกออกอีกสายที่เรียกว่าเป็น Th2 ในขณะที่การฉีดเข้ากล้ามการกระตุ้นจะเป็นสาย Th1 และสาย Th1 นี้เองที่เป็นขั้นตอนกระบวนการของโควิดที่ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง ต่อจากเม็ดเลือดขาว นิวโตรฟิล (กระบวนการ NETS สุขภาพพรรษา กลไกที่ทำให้เกิดเสมหะเหนียวขุ่นคลั่กและพังผืด) และต่อเนื่องจนกระทั่งเกิดมีลิ่มเลือดอุดตันหรือเนื้อเยื่อและอวัยวะอักเสบทั่วร่างกาย รวมกระทั่งถึงกล้ามเนื้อหัวใจและสมองอักเสบที่เราเรียกว่ามรสุมภูมิวิกฤต (cytokine storm)
ทั้งนี้ เราทุกคนต้องไม่ลืมว่าวัคซีนนั้นคือร่างจำลองของไวรัสโควิดนั่นเอง และส่วนที่วัคซีนทุกยี่ห้อนำมาใช้นั้นจะมีส่วนหรือชิ้นของไวรัสที่เกาะติดกับเซลล์มนุษย์และเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่ทำให้เกิดการอักเสบจาก ACE2 รวมกระทั่งถึงการทำให้มีความเบี่ยงเบน ขาดสมดุลระหว่าง Th1 กับ Th2 โดยออกไปทาง Th1 และต่อด้วยอีกหลายสายย่อยรวมทั้ง 17 เป็นตัน
การฉีดเข้าชั้นผิวหนังเริ่มตั้งแต่ 37 ปีที่แล้ว โดยที่คณะของเราพยายามแก้ปัญหาที่ต้องการเลิกใช้วัคซีนเชื้อตายพิษสุนัขบ้าที่ทำจากสมองสัตว์และเกิดสมองอักเสบมากมาย แต่เมื่อจะใช้วัคซีนชนิดดีก็มีราคาแพงจึงได้ปรับเปลี่ยนเป็นการฉีดเข้าชั้นผิวหนังและเริ่มใช้ที่สถานเสาวภาก่อนในปี 1987 และขยายไปใช้ทั่วประเทศ และได้แสดงให้ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันปาสเตอร์ของฝรั่งเศส จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ และสถาบันไวรัสเอสเซิน ของเยอรมนี ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ รับทราบ และในที่สุดองค์การอนามัยโลกยอมรับให้ใช้ทั่วโลกในปี 1991 จากนั้นมีการทบทวนและการติดตามความปลอดภัยและประโยชน์ที่ได้รับเป็นระยะทุก 4-5 ปี และจวบจนกระทั่งครั้งสุดท้ายมีการจัดประชุมขององค์การอนามัยโลกที่คณะแพทยศาสตร์จุฬา ในปี 2017 และออกคู่มือคำแนะนำในปี 2018 ก็ยังยืนยันการฉีดเข้าชั้นผิวหนังอยู่เช่นเดิม จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ โดยที่มีคณะทำงานอิสระภายใต้องค์การอนามัยโลกทำการประเมินและรายงานในปี 2018 เช่นกัน
ทั้งนี้ ได้มีการติดตามวิเคราะห์ข้อมูลทั่วโลก โดยยืนยันว่าคนที่ถูกสุนัขกัดที่สงสัยหรือพิสูจน์ว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า 30,000 รายรอดชีวิตทั้งหมด การฉีดเข้าชั้นผิวหนังยังนำมาใช้ในทวีปแอฟริกากับวัคซีนไข้เหลือง และยังรวมไปจนถึงวัคซีนสมองอักเสบ JE วัคซีนตับอักเสบบี และแม้แต่วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ได้อนุมัติจากองค์การอนามัยโลกและสหรัฐฯ ที่ใช้จนถึงปัจจุบันนี้ก็ใช้วิธีการฉีดเข้าชั้นผิวหนังเช่นกัน มีผู้สงสัยอยู่ว่า แล้วทำไมไม่เอาวิธีการฉีดเข้าชั้นผิวหนังตั้งแต่ต้น
คำถามนี้เป็นคำถามตั้งแต่ 37 ปีที่แล้ว และเราก็ได้ทราบคำตอบจากบริษัทวัคซีนหลายแห่งว่าเพราะขายได้น้อยลง แต่เราก็ช่วยอธิบายว่าถ้าสามารถใช้ได้ทั่วทุกคนจำนวนที่ขายแท้จริงแล้วก็ไม่ได้ลดลงและอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
คำถามที่ว่าการฉีดยุ่งยาก แท้จริงแล้วเป็นการฉีดที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข พยาบาลปฏิบัติกันด้วยความช่ำชอง ยกตัวอย่างเช่น การฉีดวัคซีนบีซีจีในเด็กแรกเกิด เป็นต้น และแม้แต่การฝึกการฉีดเพียง 15 นาทีหรือครึ่งชั่วโมงก็ฉีดเป็น โดยใช้กระบอกฉีดยาที่ใช้ฉีดในคนเป็นเบาหวานและใช้เข็มขนาดเล็กมาก โดยประโยชน์ที่ได้รับและทำให้คนเข้าถึงได้ทุกคนเท่าเทียมกันในระยะเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งมีความปลอดภัยมากกว่า
ทั้งนี้ จนกระทั่งถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2564 คณะทำงานประสานทีมต่างๆ ของเรา อันประกอบไปด้วย อาจารย์หมอเขตต์ ศรีประทักษ์ สถาบันโรคทรวงอก อาจารย์หมอทยา กิติยากร โรงพยาบาลรามาธิบดี และอาจารย์ด็อกเตอร์ อนันต์ จงแก้ววัฒนา ไบโอเทค สวทช. และหมอเองและคณะศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ ได้ทำการทดสอบการฉีดเข้าชั้นผิวหนังไม่ต่ำกว่า 400 ราย ได้ผลดีและมีผลข้างเคียงเป็นเฉพาะที่ตุ่มแดงหรือคัน โดยผลข้างเคียงรุนแรงไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อย และอาการร้ายแรงอื่นๆ ไม่ปรากฏหรือน้อยมาก ซึ่งประสบการณ์การศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และจากโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ก็ได้แสดงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในลักษณะเดียวกัน โดยผลข้างเคียงที่เกิดแก่ระบบทั่วร่างกายต่ำกว่าการฉีดเข้ากล้าม 10 เท่า หรือมากกว่า
จนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้คงต้องเป็นเรื่องที่ทางการต้องรีบตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้งประเทศ และความปลอดภัยสูงสุด
คลิกโพสต์ต้นฉบับ