xs
xsm
sm
md
lg

13 ปีที่รอยคอย การกลับมาของ "แฮงแมน" พร้อมซิงเกิลใหม่ "ถ้าเธอยังรอ"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นับตั้งแต่ซิงเกิลแบบเป็นทางการ อย่าง ‘นิดนิด’ ที่ปล่อยออกมาในปี 2551 ก็ไล่เวลาถึง 13 ปี ที่ทางวง ‘แฮงแมน’ ไม่มีผลงานออกมาเลย จนกระทั่งฟรอนต์แมนของวงอย่าง โต-วีรชน ศรัทธายิ่ง ได้เลิกราจากไป วงดนตรีวงนี้ก็อันตรธานหายไปชั่วขณะ จนกระทั่งพวกเขาที่มี เก๋-อรรคพล ทรัพยอาจิณ (กีต้าร์), แจ๊ค-พงศ์วิภาค เหมะ (กีต้าร์) และ แสบ-สายัณห์ สุวรรณเมธา (กลอง) ได้กลับมาเล่นดนตรีร่วมกันอีกครั้ง พ่วงด้วยนักร้องนำคนใหม่ คือ แซม-เสริมศาสตร์ เดอะโรซาริโอ นั่นจึงทำให้เป็นผลลัพธ์ออกมาเป็นซิงเกิลใหม่อย่าง ‘ถ้าเธอยังรอ’ ตอบรับกับทั้งในการเดินทางครั้งใหม่ และ คลายความรอคอยของแฟนเพลงไปในคราวเดียวกัน

หลังจากซิงเกิล ‘นิดนิด’ สมาชิกของวงได้ไปทำอะไรกันมาบ้าง

อรรคพล : ถ้าเป็นส่วนตัวผมเอง ผมไปทำอย่างอื่นเลย ไปทำซาวนด์เอนจิเนียร์ ไปทำคลื่นวิทยุ ไปเป็นนักพากย์ แล้วก้ไปสายพากย์หนังแบบจริงจังเลย ใช้ชีวิตกับงานเบื้องหลัง แล้วก็ไปร้องเพลงด้วย ร้องเพลงการ์ตูน หรือว่าร้องเพลงในการ์ตูน หรือว่าหนังที่เขามีในพากย์หนังน่ะครับ ก็แทบจะไม่ได้อยู่ในวงการเพลงเลย เพราะว่าตอนที่พากย์หนัง ถ้าว่ากันง่ายๆ มันก็เป็นในเรื่องของ audio เหมือนกัน เป็นเรื่องของเสียง เป็นเรื่องของความรู้สึกเหมือนกัน แต่เปลี่ยนจากเป็นเครื่องดนตรี กลับกลายเป็นเราเป็นแทน เพราะว่าเราต้องใช้เสียง เราต้องออกอารมณ์ คือแค่เปลี่ยนจาก ชสิ่งที่เราเล่นด้วยนิ้ว มาเป็นการถ่ายทอดด้วยเสียง ด้วยการพูดหรือการร้องเพลง ถามว่ามันมีความแตกต่างกันมั้ย มีความแตกต่างแน่นอนครับ เพราะว่า เราต้องใช้การพูดและเสียงของเรา เราต้องใช้ประสาทสัมผัสเยอะกว่าเดิม ซึ่งแต่ก่อนเราเล่นกีต้าร์ สุขภาพร่างกายของเรา ถ้านอนไม่พอ ก็อาจจะพอเล่นไหว แต่ถ้าเป็นพากย์หนัง หรือ นอนไม่พอ เสียงก็อาจจฟ้อง ร่างกายก็อาจจะยืนได้ไม่นานในการทำงาน เพราะฉะนั้นเลยสำคัญมาก

สายัณห์ : ก็ยังคงเล่นดนตรีอยู่ครับ พอแฮงแมนพักวงไปในตอนนั้น ผมก็ได้ไปเล่นเบื้องหลังให้กับหลายศิลปิน รวมถึงเล่นดนตรีกลางคืนด้วย ในตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา คือพอไปเป็นเบื้องหลัง ก็เหมือนกับสร้างประสบการณ์ให้ตัวเองด้วย
เพราะว่า แต่ละวงที่ไปเล่นด้วย ก็มีความแตกต่างกันออกไป แต่อย่างหนึ่ง เวลาที่ผมไปเล่นให้กับใคร ก็ยังเป็นตัวเองอยู่ ก็คือเหมือนกับว่า ใครที่จะเอาผมไปตีกลองด้วย เขาก็ต้องรู้ด้วยว่าผมเล่นยังไง ประมาณนี้ครับ ถามว่าแต่ละวงที่ไปเล่นนั้น มันมีความยากง่ายยังไง (นิ่งคิด) จริงๆ สำเนียงในแต่ละวงมันไม่เหมือนกัน อย่างผมเคยเล่นให้วงเอบี นอร์มอล สำเนียงก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่เราเอาความเป็นตัวเองเข้าไปเติมตรงนั้น แล้วก็ปรับให้กับกลมกลืนกับวงในเวลานั้น หรือถ้าเวลาที่ไปเล่นตามที่ต่างๆ ก้แล้วแต่นักร้องของวงนั้นๆ ว่าเป็นยังไง อาจจะเป็นแนวสนุกสนาน หรือ แนวโจ๊ะๆ เราก็ตามเขาไป เผลอๆ ก็ใส่ความเป็นตัวเองอย่างที่บอก อันนี้ที่เจอๆ มาครับ

อย่างทางแซมเอง ถ้าไม่นับไปออกรายการต่างๆ ทราบมาว่าก็เคยมีผลงานมาก่อนเช่นกัน

เสริมศาสตร์ : ใช่ครับ ตอนนั้นมีผลงานในนามวงยูวี (UV) ครับ 14 ปีแล้ว อยู่ในค่าย CMV Record นานมาก การออกผลงานในตอนนั้นถือว่าอยู่ในข่ายอินดี้นอกกระแสเลย ก็มีการทัวร์บ้าง ได้ไปเล่นในที่ต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ ก็มันดีครับ ตอนนั้นทำแนวเพลงแบบอีโมด้วย สนุกสนานตามยุคสมัยครับ ส่วนประสบการณ์ที่ได้ในช่วงนั้นคือ จะเป็นในเรื่องของการทัวร์ที่สนุกมาก ตอนนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ทำงานกับ ไซม่อน ด้วย ซึ่งก็ช่วยอยู่ประมาณ 2-3 ซิงเกิล แล้วก็ได้รับประสบการณ์ในห้องอัดเยอะมาก ในแง่ของการอัดการร้อง การแบ่งจังหวะลมหายใจในการร้อง ซึ่งก็ได้อะไรมาเยอะมากเลยในตอนนั้น หลังจากจบโปรเจกต์ก็มาร้องเพลงกลางคืน หลังจากนั้นก็มาแข่ง The Voice Thailand ในตอนนั้น ซึ่งก็รู้สึกดีใจและสนุกมากด้วยครับ เพราะว่าปกติแล้ว เราไม่ชอบมที่จะไปประกวดอะไรอย่างนี้ แต่ที่ไปเพราะว่าเพื่อนร่วมวงบังคับให้ไป ‘จะให้อยู่บ้านเลี้ยงหมาเฉยๆ เหรอ’ ผมก็ไปเพื่ออัพค่าตัวให้วงละกัน อัพค่าตัวให้ตัวเองอะไรอย่างงี้ ไปถึงก็ฟลุ้คได้เข้ารอบลึกๆ ด้วย ก็ได้ประสบการณ์เพิ่มเติมว่า คนนี้ร้องอย่างงี้ เราก็หยิบเอามาใช้ตรงนี้ได้นะ ‘มันมีวิธีการร้องแบบนี้ด้วยเว้ย’ หยิบแล้วลองมาใช้พัฒนาตัวเองได้ ประมาณนั้น


อยากให้ช่วยพูดถึงการเข้ามาของ ‘แซม’ ครั้งแรกมาพอสังเขปหน่อยครับ

อรรคพล :
แรกเริ่มเลย ผมไม่ได้รู้จักแซมมาก่อน แต่ว่ามีแฟนๆ ของวงที่ยังติดตามผม เขาก็มาถามผมอยู่เรื่อยว่า ‘พี่ เมื่อไหร่จะทำเพลงอีก’ ‘พี่จะทำเพลงอีกมั้ย’ ผมบอกว่า มันยากนะที่จะกลับมาทำอะไร เพราะว่าไม่มีนักร้อง และหลังจากนั้น พอทุกคนนึกว่าเราอยากมีนักร้องมั้ง ทุกคนก็ช่วยกันเลือกมาให้เราว่า ใครเป็นนักร้องที่ดี หลายๆ คน ก็จะส่งแซมมาให้ผมเป็นจำนวนมาก เขาก็จะบอกผมเช่นว่า พี่คนนี้ร้องดี พี่คนนี้ร้องเสียงบังโตได้เลย พี่คนนี้สุดยอดเลย ผมก็ดูว่าเขาร้องเป็นยังไง แต่ก็ห่างหายกันไป ไม่ได้อะไรมาก เพราะตอนนั้นก็ยังไม่คิดจะรวมวงอะไร

แต่มีอยู่งานหนึ่ง คือ แจ๊คเขาชวนไปงานแบบว่า จะมีงานคัฟเวอร์นะ งานคัฟเวอร์ เพลงของซิลลี่ ฟูลส์ เสก โลโซ แล้วก็มีเพลงของแฮงแมนด้วย เขาก็บอกว่า พี่ไปด้วยกันหน่อย เราก็บอกว่า ถ้าไปด้วยกันนี่คือการรวมวงเลยนะ ซึ่งก็คิดว่าต้องมีคนถ่ายคลิปแน่เลยสมัยนี้ แล้วใครจะร้องนำดี เราจะไปเจอใครเหรอ ถ้าเรารวมวง ผมเลยรู้สึกว่า งั้นก็มีน้องคนนี้แหละที่หลายคนแนะนำมา ก็เลยทักไปหาแซม บอกน้องเขาว่า พี่มีงานนึงจะไปเล่นกัน แล้วไม่ได้ซ้อมกันเลย

เสริมศาสตร์ : ไปครับ

อรรคพล : คือเราก็ไม่มีเวลาเลย ทำงานพากย์ทุกวัน แล้วงานนี้ก็ต้องไปเจอที่หน้าเวที เพราะฉะนั้น ผมขออะไรที่ชัวร์ที่สุดละกัน ก็เลยกลายเป็นว่า ได้เห็นศักยภาพของเขาครั้งแรก จนกระทั่งมีข่าวว่า แฮงแมน จะกลับมารวมกัน ครบรอบ 14 ปีของวง ในวันที่ 9 ตุลาคม จากการประกาศของไซม่อน ในรายการป๋าเต็ดทอล์ค ซึ่งแซมก็เป็นนักร้องที่ดีลกันอยู่แล้ว ก็เลย อ่ะ ลองดู ก็เป็นแซม

ตอนที่พี่เก๋ติดต่อมาที่แซม ตอนนั้นมีความกังวลมากมั้ย

เสริมศาสตร์ : ผมไม่กังวลเลย อยากร้องมากเลยครับ คือเราได้เล่นวงเดียวกับไอดอลตัวเองอยู่ แล้วผมก็ฟังงานของพี่ๆ เขาหมด คือความกระสันในการเล่นมันเกิดนล้านอยู่แล้วครับ ก็เลยไม่ต้องคิดเยอะเลยครับ ไปครับ


สรุปว่าการเล่นร่วมกันครั้งแรกในวันนั้น โดยภาพรวมถือว่าเป็นยังไงบ้างครับ

เสริมศาสตร์ : โดยส่วนตัวผม ผมรู้สึกสนุก และผมชอบเคมีของพี่ๆ บนเวทีมากครับ คือความเป็นมิตรและความเอ็นดูของพี่ๆ มันสูงมาก แล้วคือเวลาเรา eye contact หันไปหาใคร คนนั้นก็จะสนุกไปกับเราตลอด เรียกว่าเป็นอีกงานที่เรามีความสุขมากๆ ครับ


ทั้งๆ ที่ไปวัดดวงกันหน้างาน

สายัณห์ : ก็มีการเตรียมตัวนิดหน่อย มีการซาวด์เช็คนิดนึงครับ คือก่อนหน้านั้น ผมก็ไม่รู้จักแซมเหมือนกับทุกคน คือเราก็ไม่รู้ว่าใครจะมาร้องเพลงให้ 3 วันเอง แล้วจะถึงวันงาน เราก็เล่น คือเพลงมันอยู่กับตัวอยู่แล้ว ซึ่งเก๋ก็จะพูดกับผมอยู่บ่อยๆ เวลาที่เราขาดความมั่นใจ ‘พี่เล่นได้ เพลงของพี่เอง’ เราก็ซ้อมส่วนตัวไป ซึ่งก็ยังไม่รู้นะว่าแซมคือใครด้วยซ้ำ

จนมาถึงช่วงซาวน์เช็ค เราก็สบายใจแล้ว รู้ได้ว่าเขาเอาอยู่แน่นอน แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ พอเวลาเล่นสดคือเอาอยู่กับทั้งแฟนเพลงกับวง มันก็ส่งพลังงานกัน แต่การเล่นในวันนั้นก็หลุดนะ แต่เป็นการเล่นที่มันต้องหลุด คือมันเป็นการเล่นสด แล้วเขาก็ไม่เคยเจอเรา ซึ่งมันก็ต้องมีอะไรซักอย่างแหละครับ แต่มันเป็ยนการหลุดแบบนิดหน่อย ซึ่งมันก็ธรรมชาติ ไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่ที่ได้กลับมาคือ แฟนเพลงและพวกเราก็แฮปปี้ คือไม่ได้เล่นกันมานานแล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกขนาดนี้ มีพลังขนาดนี้ รู้สึกอยากทำอะไร แต่หลังจบงานนั้น ก็ยังไม่ได้คุยว่าจะทำเพลง เพียงแค่เราเก็บความรู้สึกดีๆ นั้นกลับมา ว่ามันจะมีอะไร หลังจากนั้นก็เป็นตอนที่ไซม่อนประกาศ ซึ่งวันนั้นไซม่อนก็ไปดูพวกเราเล่นด้วย โดยที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะดู ก็เหมือนกับว่าทุกอย่างถูกจุดประกายในวันนั้น หลังจากนั้นก็เกิดการคุยต่อ


จากวันที่ได้ร่วมงานกันครั้งแรก สู่การทำงานซิงเกิลแรกนี่คือนานแค่ไหน

อรรคพล : นานอยู่นะ เกือบปีเหมือนกัน ก็ต้องบอกตามตรงว่า จริงๆ แล้ว ผมรู้สึกดีที่พี่โตได้ออกสื่อเมื่อช่วงปีก่อน แล้วสิ่งที่พี่โตพูด คนเพิ่งจะเข้าใจว่าแฮงแมนคืออะไร ชีวิตของพี่โตตอนที่ทำวงแฮงแมนเป็นยังไง แล้วเพลงที่วงกำลังทำมันสื่อสารอะไร พอคนเพิ่งเข้าใจ กระแสของวงเลยกลับมาอีกรอบ แล้วคนที่ฟังวันที่แฮงแมน เพิ่งออกจริงๆ ณ วันนั้น เขาเปลี่ยนความคิด อย่างผมเอง ผมอยู่ในวันที่ผลงานชุดแรกวางแผงวันแรก แล้วช่วงเวลานั้น มันยังไม่มีสังคมออนไลน์ มันมีแค่เว็ปไซท์พันทิป แต่ผมอยู่ในวันนั้น การยอมรับจากแฟนเพลงมันไม่เหมือนตอน 14 ปี ต่อมา มันไม่เหมือนกันเลย เพราะว่าหลายคนยังเสียใจกับซิลลี่ ฟูลส์ อยู่เลย หลายคนยังเสียใจกับการแตกวงของพี่โต เพราะฉะนั้น เพลงใหม่ของแฮงแมน เขาจะรู้สึกว่า มันไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง มันไม่เป็นแบบนี้ แต่พอหลังจากทุกสิ่งผ่านไป เขาเริ่มฟังจริงๆ ว่าวงคืออะไร แล้วหลายคนเพิ่งเข้าใจว่าแฮงแมน คืออะไร มันเลยทำให้ ถ้าเขาเพิ่งเข้าใจเรา นั่นแสดงว่า เรากับเขาก็มีความสัมพันธ์อยู่ เพราะว่าทุกคนมีผลตอบรับกลับมาว่า พี่ผมรอพี่นะ ผมอยากเห็นพี่กลับมานะ พี่ช่วยรวมวงกัน แล้วหาใครมาร้องก็ได้ ผมคิดถึง คำเหล่านี้มันเข้ามาทุกวัน หลังจากที่กระแสมันมา มันเลยทำให้ไซม่อนที่กลับมาจากอังกฤษพอดี แล้วมาติดต่อกับผมว่า ทุกคนพร้อมรึยัง เราอยากจะกลับมาพร้อมทำงานกันแล้ว เราอยากจะกลับมาอะไรด้วยกัน ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้ยังไง หรือจะกลับมาทำวงไหนยังไม่รู้เลย แต่ว่ารู้ว่าไซม่อนจะทำด้วย โอเคกระแสมันมาแล้ว

บวกกับ แซมกับไซม่อน ก็ได้คุยกันพอดี ถ้าทำเป็นวง แล้วฝีมืออาจจะหายไปบ้าง แต่ก็จะมีความสนุกเข้ามา ได้ทำเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วมาเจอกับยุคโควิดพอดี ที่ไม่สามารถไปเจอหรือทัวร์คอนเสิร์ตกันได้ ซึ่งถ้าเป้นสภาพปกติ เรามีการขายงานโชว์แล้ว เพราะมันก็เป็นวงที่รับงานได้ แต่ว่าเล่นไม่ได้ว่ะ งั้นต้องทำยังไง วิธีเดียวคือทำเพลง จึงเป็นที่มาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็เลยได้เกิดซิงเกิลนี้ หนึ่งคือ แฟนเพลงคิดถึงและต้องการ สอง คือ เราต้องการจะบอกกับแฟนเพลง เพราะสิ่งที่เรารู้สึกได้มากก็คือ แฟนเพลงรักและรอเราอยู่เหลือเกิน มันเป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษมาก ที่เขาให้กับเรา


พูดถึงการทำงานซิงเกิล “ถ้าเธอยังรอ” ครับ

อรรคพล : การทำงานมันเริ่มจากว่า ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด การทำงานของวงในชุดแรกก็คือ เราต้องทำดนตรีให้ดีที่สุด แล้วเราปล่อยให้พี่โตได้เอ็นจอยกับสิ่งนั้นไปเลย เพราะเมื่อผมอัดเพลงเสร็จ ไซม่อนก็จะมานั่งตัดต่อมิกซ์ให้สมบูรณ์ แล้วพี่โตจะเข้ามานั่งฟังว่า เขาได้ยินอะไร อะไรมันเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเขียนคำว่าอะไร แล้วเขาก็จะอัดร้อง เขียนเนื้อ ทุกอย่างก็เสร็จ แต่ตอนนี้ แซมก็ไม่ได้เป็นนักเขียนเนื้อ แซมเป็นนักร้องที่มีศักยภาพในเรื่องการร้อง ดังนั้น สิ่งที่ขาดก็คือเนื้อเพลง ดังนั้น ผมก็ดูว่าแซมร้องแบบไหน การสื่อสารเป็นยังไง ผมก็ทำเดโม่และเมโลดี้ขึ้นมา แล้วให้แซมกับไซม่อนไปจัดการเมโลดี้ต่อ คราวนี้ก็เข้าสู่การทำเนื้อเพลง

เสริมศาสตร์ : ด้านการทำเนื้อเพลง จริงๆ ตอนแรก ผมก็คิดไม่ออกว่าจะให้ใครเขียน ผมเลยโทรไปปรึกษา พี่โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน พอปรึกษากัน พี่โอ๊ตก็บอกว่า แวมลองคนนี้สิ คนนี้ทีเด็ดเลย ผมก็ถามกลับว่า ใครครับพี่ พี่โอ๊ตก็บอกว่า เป็นพี่ปู๋ วง hens (ปิยวัฒน์ มีเครือ) ครับ ผมเลยได้เบอร์พี่เขามาและทำการติดต่อพี่เขา พอได้โทรคุยกัน ก็รู้สึกว่าคลิกกัน และพี่เขาก็เป็นคนที่คุยง่าย และอัธยาศัยดีด้วยหลายๆ อย่างครับ เลยเป็นที่มาว่าให้พี่เขามาช่วยเขียนเนื้อร้องเพลงให้ครับ

ส่วนแนวเพลง เป็นยังไงครับ

สายันห์ : จริงๆ ก็เป็นแนวร็อคที่เราถนัดกันอยู่แล้วครับ แต่เพิ่มสีสันความทันสมัยเข้าไป เรื่องซาวน์ หรือ ดีไซน์ อะไรทั้งหลายแหล่ เริ่มที่พี่เก๋ และปิดท้ายที่ไซม่อน ก็ทำการแต่งในส่วนนี้ ซึ่งถ้าได้ฟังซิงเกิลนี้นะครับ ถ้าฟังแบบผ่านๆ ปกติ ก็คือเพลงร็อคชั้นยอดของพวกเรา แต่ถ้าฟังโดยละเอียดแล้ว ในเรื่องซาวน์ ก็จะมีเสียงต่างๆ อยู่ในเพลง ซึ่งมันก็เป็นเสน่ห์มาตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้ว แต่ที่มันใหม่จริงๆ ก็คือเสียงแซม สำหรับเพลงนี้ ซึ่งตอนที่ผมฟังครั้งแรก ในแบบที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ก้รู้สึกว่า มันเป็นเสียงร้องที่ยังไม่เกิดขึ้นในบ้านเรา เสียงสูงใครก็สูงได้ แต่ถ้าฟังแล้วรู้ว่าเป็นใคร ตอบโจทย์ แล้วก็อยากฟัง อันนี้ในมุมผม

แล้วภาพโดยรวมทั้งหมด มันมีความเท่ห์ มีความเป็นร็อค และมันก็มีความสวยงามด้วยในทางด้านเมโลดี้ร้อง อีกอย่างหนึ่งที่พิเศษสำหรับเพลงนี้ ถ้าสังเกตดีๆ แฟนๆ แฮงแมนน่าจะรู้ว่า ในผลงานชุดแรก เราจะไม่มีการโซโล่เลย มีโซโล่แค่เพลงเดียว แต่เพลงนี้คือเพลงแรกที่เราโซโล่มาก่อนเลย จากพี่แจ๊ค ซึ่งเขาก็ใช้เวลากับมันพอสมควร เขาปรึกษาทุกคนในวง แม้กระทั่งผม (หัวเราะเบาๆ) เขาก็โทรมาถามว่า พี่โซโล่ยังไง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องใหม่นะ เพราะเราปล่อยทุกอย่างที่เรามี ที่เราอยากให้มันเป็น ทั้งซาวน์ ทั้งเสียง ทุกอย่าง อยู่ในเพลงนี้ ถ้าเกิดใครยังไม่ไปฟัง ก็ฟังได้ครับ


หลังจากที่ปล่อยซิงเกิลนี้ออกมา ปรากฏว่าผลไปในทิศทางบวก โดยส่วนของทางวงรู้สึกยังไงบ้างครับ

เสริมศาสตร์ : ถ้าสำหรับผม ผมถือว่าโล่งเลยครับ แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่เอ็นดูแล้วก็ให้การยอมรับพอสมควรครับก็จะมีหลายๆ คน เข้ามาถามเหมือนกัน มาคอมเมนต์ที่เฟซบุ๊คส่วนตัวผมว่า เขาก็ดูแฮปปี้กันดี ซึ่งผมก็มีความสุขและเอ้นจอยกับสิ่งนี้มากๆ เลยครับ

อรรคพล : สำหรับผม ผมกดดันมากที่สุดอยู่แล้วล่ะ ตั้งแต่ตอนทำเดโม่ ทำเดโม่มาปั๊บ มันจะครบถ้วนควรจะเป็นมั้ย ก็ส่งให้ไซม่อน คนต่อมาก็ส่งให้พี่แสบ แต่พี่แสบฟังก่อน เพราไซม่อนอาจจะยังไม่ว่าง ซึ่งพี่แสบก็บอกกับผมว่า ‘นายกลับมาแล้วว่ะ’

สายันห์ : ก็หลังจากที่ผมฟังเสร็จ ผมก็ตอบกลับเลยว่า ได้ว่ะ เราชอบ มันมีความเป็นแฮงแมนอยู่ ซึ่งตอนที่เราทำงานเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ผมไม่ได้อยู่ในห้องอัด แต่หลังจากที่ผมเล่นทัวร์กับวง ก็คือเราเล่นกันบ่อย เราก็จะรู้สำเนียงของแต่ละคนแล้วว่ามันเป็นยังไง เพราได้ฟังบนเวที แล้วพอเขามาทำเพลงนี้ มันก็ชัดเจนไปหมดเลย คือพอเก๋ทำมา ก็ตามอธิบายไป พอมันเสร็จแล้วมันก็มีหมดทุกอย่างเลยครับ ทั้งเพราะ ทั้งหนัก มันมีอะไรหมดเลย ประมาณนี้ครับ

อรรคพล : คือพอผ่านมาทั้งพี่แสบ และ แซม ซึ่งผมก็คุยกับแซมตลอดว่า เราจะต้องทำเพลงที่เราเล่นเพลงนี้ได้ทุกโชว์นะ เราไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อจะเล่นแล้วก็ปล่อยทิ้ง แต่เราต้องอยากเล่นมันทุกวัน เราต้องอยากเล่นมันหลายปี เพราะฉะนั้น แน่นอนว่าพวกเราต้องชอบก่อน โปรดิวเซอร์เราต้องชอบก่อน แล้วจะไปทำอะไรต่อให้มันดีขึ้น มันเป็นสิ่งที่พวกเราชอบแล้ว มันแฮปปี้แล้ว แล้วเราถ้ามั่นใจว่า 5 คน รวมโปรดิวเซอร์ด้วย คือทุกคนน่าจะมีส่วนรู้สึกกับเรา พองานไปสู่การเข้าห้องอัดเนี่ย สำหรับผมคือ มันเกินกว่าที่ผมคิดไว้เยอะแล้ว มันไปได้ไกล พอออกไป เหมือนที่แซมบอก คือ มันเกิดวันนี้ขึ้นได้จริงๆ ผมมาจากคนที่เลิกเล่นดนตรีและแต่งเพลงไปแล้ว และผมมาจากคนที่เลิกหวังกับวงการดนตรีไทยไปแล้ว แต่ว่าการกลับมาอย่างงี้ ผมก็ยังพูดกับในวงว่า ในความเป็นจริง แฟนๆ อาจจะนึกว่า ‘หายไปเป็น 10 ปี สิ่งที่กลับมามันต้องสุดยอดแน่เลย พี่แต่งตั้งนานกว่าจะกลับมา’ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เราเพิ่งเริ่มกันไม่เกิน 3 เดือนนี่เอง แต่ช่วงเวลาตรงนี้ มันบีบด้วยเวลาไปหมดเลย มันเลยทำให้ความกดดันของผมมันเยอะและสูงมาก และเครียดมาก เลยเข้าใจพี่โตมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าทำไมพี่โตแต่งเพลงแล้วเครียดเหลือเกิน มันเป็นอย่างงี้นี่เอง

ยิ่งวงมีความคาดหวังของแฟนเพลงสูงเท่าไหร่ คนทำยิ่งทำยากขึ้นตามนั้น มันกดดันนะครับ แล้วก้รู้สึกว่า จริงๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากวันนี้ มันคือกำไรแล้ว แล้วแต่ละคนที่ส่งกำลังมาหาเรา เพราะแต่ก่อนแฟนเพลงจะไม่สามารถใกล้ชิดเราได้ขนาดนี้ แต่เดี๋ยวนี้ เข้ายูทูปก็บอกได้แล้วว่าคนคิดยังไง เราอ่านแล้วเราก็กดไลค์ คนด่าหรือไม่ชอบ เราก็กดไลค์ เพราะว่าเราไม่ตัดสินเขาหรอก ว่าเขาคิดยังไง แต่ว่าอย่างน้อยวันหนึ่งคุณจะเข้าใจ เพราะว่าอย่างน้อย เราออกผลงานมาเมื่อ 14 ปีก่อน คุณเพิ่งเข้าใจ ผมก็ดีใจว่าตอนนั้น เราทำอะไรกัน แล้ววันหนึ่งคุณจะเข้าใจว่าเราทำอะไรกัน ผมก็เลยรู้สึกว่า ทุกอย่างมันดีไปหมดสำหรับผม


แน่นอนว่า การกลับมาร่วมงานกับ คุณไซม่อน (เฮนเดอร์สัน : โปรดิวเซอร์) มันมีความเปลี่ยนแปลงจากครั้งนั้นในตอนนี้มั้ย และมีอะไรที่แตกต่างบ้าง

อรรคพล : ไซม่อนเป็นโปรดิวเซอร์ที่มีจิตวิทยาในการทำงานสูง และมีความละเอียดมาก ดังนั้น ยิ่งละเอียดมาก เขาก็จะอยากได้สิ่งดีจากนักดนตรีที่ทำงานกับเขา แต่การจะได้สิ่งที่ดีจากการทำงานกับเขา เขาไม่ได้เป็นคนที่สั่งให้ทำ แต่เขาเป็นคนที่หลอกล่อให้เราสบายใจที่สุด แล้วเราก็เล่นกับเขา เพราะฉะนั้น เมื่อ 14 ปีก่อน ทุกคนเข้าไปอยู่ตรงนั้น นี่คือพี่โต นี่คือไซม่อน (ทำท่าประกอบ) ทุกคนต้องมีสั่น มีกดดัน แต่ทุกคนทำให้เรารู้สึกสบายใจ ทำให้รู้สึกว่า เรากำลังอยู่ในลู่ของเรา ที่เรากำลังจะวิ่งไป

เพราะฉะนั้น ไซม่อนเป็นฝรั่งที่ไม่ได้เคี่ยว แต่ว่าอยากได้งานที่ดี และมีจิตวิทยาที่ทำให้เราได้ปล่อยของดีออกมา เพราะฉะนั้น กลับมาเจอกันอีกทีนีง มันเหมือนกับว่า มันคือเรื่องเดิม แล้วเราก็รู้สึกว่า เรารู้แล้วว่าเขาคิดอะไร เราก็แค่ โอเค อยากได้อย่างงี้ใช่มั้ย เดี๋ยวเราทำให้ เขาก็จะตอบกลับมาว่า ยู สุดยอดมากเลย ก็มีการบิลด์กันไปเรื่อยๆ มันก็เลยกลับไปว่า ไม่ใช่แค่กลับมารวมวง แต่ได้กลับมาทำงานกับโปรดิวเซอร์ที่เราเคยทำ

สายันห์ : ก็ได้มีโอกาสทำงานร่วมกันในซิงเกิล ‘บุญคุณปูดำ’ หลังจากที่อัลบั้มแรกออกมา ผมก็ได้ร่วมงานกับเขา ซึ่งเพลงนี้พี่เก๋เรียบเรียงมา ความรู้สึกในตอนนั้น มันก็เกร็งครับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าพอได้ร่วมงานและอัดจริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด คือเขาก้ให้เราตีไป ทำไป อย่างที่เราเป็นแหละ ทำไปๆๆๆ แล้วเขาแค่จะบอกว่า เพิ่มตรงนี้หน่อยนึง ขอตรงนี้หน่อย เขาก็รู้ว่าเราทำได้ เขาก็จะปล่อยให้เราเล่นไป จนมาถึงซึ่งเกิลนี้ มันก็มีเรื่องตลก คือ ตอนที่ทำเดโม่กับพี่เก๋ ซ้อมไปจากบ้าน เราก็ซ้อมอย่างที่เราทำมา แต่พอไปถึงหน้างาน ไอ้ที่ซ้อมมา กลับไม่ได้ใช้เลย แต่กลับไปใช้เทคที่ผมคิดเดี๋ยวนั้น อันนี้ก็เป้นเรื่องนึงที่ผมมานั่งฟังว่า ตัวเองทำอะไรไป เพราะว่ามันเป็นการคิดหน้างาน คิดสดตอนนั้นเลย แล้วมันก็ออกมาดีด้วย คือพอเวลาไปถึงในห้องอัดน่ะครับ อย่างเสียงที่เราได้ยิน มันก็จะเปลี่ยนไปหลังจากที่ได้ฟัง พอองค์ประกอบเครื่องมันครบ ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว พอเวลาตี เออตรงนี้ดี ก็มีการปรับเปลี่ยนกันไป นี่คือในส่วนของพาร์ทกลอง แล้วก็ตอนแรกก็กังวลว่าจะสื่อสารยาก เพราะในเรื่องภาษา แต่สุดท้ายเขาก็ฟังกันรู้เรื่อง เรื่องจิตวิทยาก็สูงอยู่แล้ว คุยเล่น เต้น สบายๆ ผมตีกลองอยู่ เขาก็ไปเดินเต้นอะไรของเขา (หัวเราะ) ซึ่งมันเป็นอย่างงี้ แต่ผลลัพธ์คือ เขาดูไม่ซีเรียส แต่งานออกมา กลายเป็นงานที่ซีเรียส เป็นงานที่ละเอียดจริงๆ แต่เขาไม่ได้แสดงออกว่าเขาเครียด ประมาณนี้ครับ

เสริมศาสตร์ : ถ้าถามตั้งแต่ทำงานนามวงเก่า เราก็พอรู้ว่าจริงๆ เขาชอบอะไร แต่สิ่งที่เราผ่านมาจากการอัดครั้งแรก ก็คือ ผมไม่มีประสบการณ์อะไรเลย เรียกว่าเป๋ในการอัดเลย วึ่งมันไม่เหมือนกับการร้องสด เพราะว่าการร้องสด กับ ร้องในห้องอัดมันคนละอารมณ์กันเลย แต่พอเวลาผ่านไป ผมได้ผ่านการอัดร้องตามที่ต่างๆ เช่น รายการ the rapper หรือ เพลงประกอบโฆษณาต่างๆ การทำงานในห้องอัดของผมก็จะง่ายขึ้นครับ ไซม่อนก็บอกเราว่า ยูมาห้องอัดสิ ผมก็ตอบกลับไปว่า งั้นไอเข้าไปทุกวันเลยนะ (หัวเราะ) เพราะผมจะชอบเข้าไปดูการทำงานในห้องอัด ชอบซึมซับบรรยากาศ เพื่อเอาบรรยากาศตรงนั้น มาเพิ่มแรงบันดาลใจให้ตัวเองในการอัด เพิ่มแรงบันดาลใจไปเรื่อยๆ ซึ่งผมจะบอกพี่เก๋ตลอดว่า ‘ผมอยากอัดแล้วครับพี่’ (หัวเราะอีกครั้ง) เพราะว่าเรามีความคึกคะนองพอสมควรอยู่แล้ว แล้วด้วยความที่ว่า เราเข้าไปดูทุกวัน เห็นพี่ๆ ได้อัดกันสนุกกัน เราก็คันมาก ก็เลยเป็นการอัดเพลงจำนวน 4 วันเลยครับ

อรรคพล : อันนี้คือเสริมที่แซมพูดมา คือจริงๆ เรามีคิวอัดแค่ 5 วันเท่านั้นเอง วันแรก คืออัดกลอง วันที่สองอัดเบสกับกีต้าร์ และเป็นวันของกีต้าร์จริงๆ 2 วัน เพราะเพลงร็อค กีต้าร์ต้องเน้นหน่อย แล้ววันสุดท้ายจะเป็นการร้อง แต่เราทำกันไปจนถึงวันที่ 4 กีต้าร์เสร็จเร็ว ประมาณ 4 โมงเย็น แล้วแซมก็บ่นว่าจะร้องๆ ตั้งแต่วันอัดกลอง ซึ่งผมก็เจอวัยรุ้นมาเยอะ ก็คอยเบรคๆ ไว้ว่า ใจเย็น แต่สุดท้ายก็เอาจนได้ แซมก็เข้าไปร้อง พอเข้าไปร้อง เราก็ตกใจว่าแซมมันร้องเลยเหรอ เพราะมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมง แล้วกลายเป็นเวอร์ชั่นที่ได้ยินกันอยู่นี่แหละครับ ทั้งร้องหลัก และร้องแบบคอรัส ผมก็รู้สึกว่าไม่เคยเจอ แม้กระทั่งที่เคยทำงานกับพี่โตมา ก็ใช้เวลานาน ในการที่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่เพลงนี้แซมเก่งจริงๆ


แน่นอนว่า ช่วงเวลา 14 ปีที่ผ่านไปของวง ส่งผลต่อทิศทาง และรูปแบบการนำเสนอของวง มากน้อยแค่ไหน

อรรคพล : แน่นอนครับ เพราะว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไป การบริโภคของคนก็เปลี่ยนไป เวลาในการจดจ่อในการฟังของคนฟังก็เปลี่ยนไปเยอะ แต่สมัยก่อน คนไทยจะยังเนิบกว่านี้ คนไทยจะมีเวลาในรการบิลด์อัพนานกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้คนอาจจะใจร้อนขึ้น การตลาดอาจจะเร็วขึ้น 30 วินาที ต้องเกิดอะไรซักอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น การทำเพลงมันเปลี่ยนไปหมด จะเห็นว่า ถ้าใครฟังแฮงแมนในยุคนี้ จะรู้ว่าทำไมเดือดจัง ทำไมถึงไม่เอื้อนเอ่ย นวยนาบ แต่ทำอะไรชัดเจน เพราะว่ามันคือเพลงของยุคนี้ แล้วเรากำลังจะบอกว่า เราไม่ได้กลับมาแบบคุณลุงของปีนั้น แล้วเรากลับมาทำแบบเดิมๆ แต่เราต้องก้าวหน้าไปอีกเรื่อยๆ แฮงแมนเป็นคำจำกัดความที่พวกเรารู้กันอยู่แล้วในวง ว่าวงเราจะไม่ทำเพลงที่ได้ยินได้ฟังกันในปัจจุบัน เราจะทำอะไรที่มันเกินไปอีก เพื่อให้มันเกิดคุณค่าในสิ่งที่เราทำ ซึ่งถ้าเราทำมาว่ายุคนี้เขาฮิตอะไรกัน ถ้าเราทำอย่างงั้นมา ถ้าผ่านไป 2 ปี เรียบร้อย หมด มันก็จะไม่มีคุณค่า เพราะเราทำเพื่อคนวันนั้น แต่จริงๆ แล้ว เราทำเพื่องานที่ดี

เพราะฉะนั้นซิงเกิลนี้ มันยากตรงที่ว่า จากคนที่ไม่ได้แต่งเพลงมา 10 ปี อย่างผม แล้วมาแต่งเพลงในวันที่ความคาดหวังสูง คนใจร้อน คนอยากได้สิ่งที่ต้องการ ซึ่งถ้าไม่ได้ก็อาจจะด่าแบบง่ายๆ มันเป็นเรื่องปกติ แต่ผมก็ไม่ได้ว่าเขา เพราะถ้าวันหนึ่งผมได้ใจเขา เขาก็จะรักผมมาก เพราะฉะนั้น การทำอะไร ทัศนคติควรเปลี่ยนไปตามผู้ฟัง นั่นคือสิ่งที่ยาก เพราะฉะนั้น เทคนิคผมไม่พูดเลย ผมพูดถึงความคิดอย่างเดียว

สายัณห์ : ถ้าเป็นการนำเสนอ ก็ถือว่าไม่เปลี่ยนครับ เพราะมันเป็นตัวเรา มันเปแนสิ่งที่เราทำกันมา เมื่อ 14 ปีก่อน แต่รูปแบบมันเปลี่ยน เหมือนเก๋อธิบายว่า คนเดี๋ยวนี้ใจร้อน แล้วก็ทำอะไรก้ต้องจัดแจ้งชัดเจน แอล้วทุกอย่างก็ตอบดจทย์ในซิงเกิลนี้แล้ว ถ้าเกิดใครได้ฟัง ผมคิดว่า สำหรับแฟนๆ เก่า ก็รู้อยู่แล้วว่าเปลี่ยนมั้ย เปลี่ยน แต่มันก้ไม่เปลี่ยนแบบฟังไม่ได้ หรือไม่ใช่แฮงแมนเลย ส่วนสำหรับแฟนใหม่ที่เข้ามา มันเป็นโลกปัจจุบันพอดี ถ้าคุณแพลนกล้องแล้วหันหูไป ในบ้านเรา เสียงลักษณะนี้ก็ยังไม่ค่อยมีนะที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบัน เหมือนอย่างที่เก๋พูด ทัศนคติแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มทำวงแล้ว ว่า ใหม่ เท่ แปลก ไม่เหมือนใคร แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความป็อปด้วย

เสริมศาสตร์ : สำหรับผมในฐานะที่เคยเป็นแฟนเพลงจนมาร่วมเป็นสมาชิกวง ถ้าพูดในฐานะแรก มันเป็นอะไรที่ล้ำกว่ายุคนั้น ผมรู้สึกว่าคนที่เพิ่งมาเข้าใจแฮงแมนในยุคนี้มันมีเยอะ เพราะว่า เพลงของวงในชุดแรก มันเป็นเพลงที่ข้ามสมัย สำหรับผม ในยุคนั้นก็ถือว่าเร็วไปด้วยซ้ำ แล้วเราก็เป็นนักดนตรีอยู่แล้ว เราฟังแล้วรู้สึกว่าชอบ เพราะอะไรที่มันใหม่ มันก้าวล้ำยุค ซึ่งในยุคนั้นก็มีหลายๆ วงที่ยังไม่ดังในตอนนั้น แต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังได้ในยุคนี้ เพราะว่าเขาทำสิ่งที่ก้าวหน้าในตอนนั้น พอมาตอนนี้เลยทำให้ hangman มีคุณค่ามาก ซึ่งพอมาในยุคนี้ ตามที่พี่เก๋บอกคือ สมาธิคนมันสั้นลง การที่วงเปลี่ยนไป มันเป็นเพราะพี่ๆ เขา เติบโต ประสบการณ์มากขึ้น เทสต์ในการฟังเพลงของแต่ละคนก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันก็เลยออกมาเป็นเพลงนี้

แล้วก็ในการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดก็คือผมที่เข้ามาแทนพี่โต แต่ผมก็จะบอกว่าผมไม่ได้เข้ามาแทนใคร ผมเข้ามาเป็นตัวผมแล้วมาร่วมกับพี่เขา มันก็เลยกลายเป็นแนวเพลงที่มีความเป็นผมด้วย แล้วก็มีความเป็นแบบพี่ๆ เขาด้วยครับ ก็จะมาลงตัวด้วยกันครับ หลายๆ คน ก็จะมองว่า ทำไมไม่เหมือนเมื่อก่อน ต้องบอกก่อนว่า เทสต์การฟังเพลงของผมกับพี่โตมันแตกต่างอยู่แล้ว วงที่ฟัง หรือว่าอะไรก็ตามมันไม่เหมือนกันอยู่แล้วครับ มันก็เลยออกมาเป็นเพลงนี้ เพลงนี้เลยออกมาเป็นผมและพี่ๆ เขาที่สุด


ขณะเดียวกัน ทิศทางซาวน์ของวงในยุคใหม่ คิดว่าจะไปในทิศทางไหน หลังจากซิงเกิลนี้

อรรคพล : แน่นอนครับว่า หลังจากที่เรากลับมารวมกัน เราจะกลับมาศึกษากันและกันอีกครั้ง เพราะว่าหลายปีที่ผ่านมา ที่เราไม่ได้เจอกันเอง แต่ละคนก็เปลี่ยนไปเยอะ ผมก็เปลี่ยนไปเยอะ พอมาเจอแซมอีก ก็เป็นสิ่งใหม่ที่เราต้องรู้จักกัน บางทีเพลงนี้ที่ออกไป มันก็ลงตัวสำหรับพวกเราในวันนี้ที่เราทำ แต่ถ้ามีเพลงใหม่ มันอาจจะมีการลงตัวกว่านี้ก็เป็นได้ เพะราะว่าเรารู้จักกันมากขึ้น เราใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น เราได้มาให้สัมภาษณ์กันบ่อยๆ ก็ได้รู้ว่าแต่ละคนคิดยังไง บางทีมันเป็นเรื่องของเวลาที่เราจะเดินไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น วง เพลงร็อค หรือการทำเพลง มันเป้นเรื่องของชีวิตของคุณเองที่คุณจะถ่ายทอดออกมา เพราะถ้าเราเอาแต่ดังและฮิตอย่างเดียว สุดท้ายคุณจะขาดจิตวิญยาณและตัวตน เพราะฉะนั้น ผมต้องเอาตัวตน จิตวิญญาณ และสำเนียงของแต่ละคนก่อน แล้วค่อยดึงสำเนียงของแต่ละคนจะเอาอะไรมาขายได้ ใครจะซื้อสิ่งที่คุณจะเสนอออกมา เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า หากไม่มีเพลง หรือ มีงานต่อๆ ไป แน่นอนว่า มันจะต้องชัดเจนถึงสำเนียงและการสื่อสารของแต่ละคนมากกว่าเดิม

สายัณห์ : อย่างที่พี่เก๋บอก ทุกอย่างมันอยู่ที่เวลาครับ อย่างแรกเลย เราต้องขอบคุณแฟนเพลงด้วย ณ วันนี้ กระแสตอบรับก็มาเยอะมากมาย เป็นแสนๆ วิว ก็ขอบคุณมากๆ ซึ่งเราก็มาประมวลผลกันในเพลงต่อไป ว่าเราจะไปทางไหนครับ

เสริมศาสตร์ : สำหรับผมเอง ก็อาจจะมีเรื่องที่อยากเล่ามากขึ้น อาจจะมีเรื่องที่จะสื่อสารออกไปให้คนฟังมากขึ้น เพราะ หนึ่ง เราเป็นคนที่เขียนเพลงไม่ได้ แต่อนาคตข้างหน้า ผมอาจจะมานั่งเขียนออกมาก็ได้ มันเป็นเรื่องที่น่าสนุกครับ เพราะว่าผมรู้สึกว่าคนเราไม่มีการหยุดพัฒนาตัวเองอยู่แล้วครับ มันไปได้ข้างหน้าเรื่อยๆ ลองผิดลองถูก อายุแค่ไหนก็เรียนรู้ได้ ฉะนั้น ความคาดหวังในเพลงต่อๆ ไป ก็อาจจะได้เห็นอะไรที่น่าสนุกขึ้นแน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตามในวันนี้ แต่อนาคตข้างหน้า เทสต์การฟังเพลงอาจจะมีอะไรในหัวเพิ่มมาอีกก็ได้ มันน่าสนุกครับ

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ดรงค์ ฤทธิปัญญา



กำลังโหลดความคิดเห็น