พูดถึงเพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” ที่ปลุกใจคนไทยกระหึ่มอยู่ในวันนี้แล้ว ก็ทำให้นึกถึงเพลงปลุกใจอีกหลายเพลงที่เคยปลุกคนไทยตามสถานการณ์ของบ้านเมือง ซึ่งได้เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ ที่ไทยได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และการเมืองในประเทศก็มีการตื่นตัวจนเกิดกบฏจากกลุ่มนายทหารหนุ่มขึ้น
ในยุคนั้นการกระจายเสียงและการบันทึกเสียงเพิ่งเริ่มต้นยังไม่แพร่หลาย จึงแพร่ออกทางบทกลอนในละครที่มีการแสดงอยู่เป็นประจำ ต่อมาจนถึงยุครัชกาลที่ ๘ เอื้อ สุนทรสนาน และนารถ ถาวรบุตร ๒ นักดนตรีของกรมโฆษณาการก็ได้นำบทกลอนบทพระราชนิพนธ์ปลุกใจเหล่านี้ไปใส่ทำนอง เผยแพร่ออกมาหลายเพลง อย่าง สยามานุสติ คำปฏิญาณ ไทยสามัคคี ไทยรวมกำลัง เป็นต้น
ในปี ๒๔๘๔ สมัยสงครามอินโดจีนที่รบกับฝรั่งเศส นอกจากจะมีเพลงปลุกใจให้ข้ามโขงไปทวงดินแดนคืนแล้ว ยังใช้เพลงปลุกใจเสริมสร้างความรักชาติและความสามัคคีของชนในชาติให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียงกัน เพลงปลุกใจในยุคนี้ที่ได้รับความนิยมก็เช่น ใต้ร่มธงไทย ตื่นเถิดชาวไทย รักเมืองไทย เลือดสุพรรณ ต้นตระกูลไทย อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง ฯลฯ
ช่วงหลังปี ๒๕๐๐ มีความแตกแยกอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างหนัก เพลงปลุกใจในยุคนี้จึงมีทั้งความสมัครสมานสามัคคี อย่างเพลงพระราชนิพนธ์ ร.๙ เช่น ความฝันอันสูงสุด เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย แผ่นดินของเรา เราสู้ และ เพลงรักกันไว้เถิด ของนคร ถนอมทรัพย์ ที่ได้รับรางวัลหลายรางวัล แต่เพลงที่ปลุกใจแบบร้อนแรงฟาดฟันอย่างเพลง หนักแผ่นดิน ก็มี
ขณะที่ฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์มีเพลงปลุกใจ ฝ่ายที่มีความคิดตรงกันข้ามก็มี “เพลงเพื่อชีวิต” ทำเป็นตลับเทปวางจำหน่ายใต้ดิน เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้คนชั้นล่างอย่างกรรมกรและชาวนา คนดังในเพลงเพื่อชีวิตยุคนี้ก็คือ หงา คาราวาน ซึ่งต่อมาได้รับเลือกเป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๓ สาขาวรรณศิลป์ และในปี พ.ศ.๒๕๕๔ ยังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้น จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ ที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแก่ผู้กระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนา และประชาชน
หลังจากความขัดแย้งทางการเมืองหมดไป คนที่เข้าป่าจับอาวุธได้วางอาวุธกลับเข้าเมือง เพลงปลุกใจในยุคนี้ไม่ได้เน้นไปที่การเมืองโดยเฉพาะอย่างแต่ก่อน แต่มุ่งไปที่เหตุการณ์วิกฤติของบ้านเมือง ทั้งเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ ปลุกจิตสำนึกของคนไทยให้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยยึดแบบอย่างที่ดีของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เพลงปลุกใจในช่วงนี้ก็อย่างเช่น เมดอินไทยแลนด์ รักเธอประเทศไทย เวลคัมทูไทยแลนด์ พ่อแห่งแผ่นดิน ภูมิแผ่นดิน นวมินทร์มหาราชา รูปที่มีทุกบ้าน
ได้อ่านงานวิจัยของ คุณจุติพร อุ่นใจ เรื่อง “กระบวนการและกลยุทธ์ในการสร้างสรรค์ เพลงปลุกใจ ของ คสช. ศึกษาชุดบทเพลง คืนความสุขให้ประเทศไทย” จึงได้สังเกตเห็นความแปลกใหม่ในการทำเพลงปลุกใจหลังรัฐประหาร ตามปกติหลังการทำปฏิวัติรัฐประหาร หัวหน้าคณะรัฐประหารจะออกแถลงการณ์ถึงเหตุที่ต้องยึดอำนาจ พร้อมกับเปิดเพลงมาร์ชข่มขวัญ แต่ในการทำรัฐประหารในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะ คสช. กลับแต่งเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” ในท่วงทำนองเพลงแนวป๊อบหวานซึ้ง อ้อนวอนขอความเห็นใจจากประชาชนว่าที่ต้องเข้ามาก็เพื่อยุติความขัดแย้งของคน ๒ ฝ่ายที่ยืดเยื้อมานาน ทำให้ประเทศไม่มีความสงบสุข จึงนำความสุขคืนมาให้ประชาชน สามัคคีร่วมใจกันฝ่าวิกฤตความแตกแยกของคนในชาติไปด้วยกัน ทั้งยังตามมาอีกหลายเพลง เช่น “เพราะเธอคือประเทศไทย” “ความหวัง...ความศรัทธา” และ “สะพาน” ซึ่งล้วนเป็นเพลงที่เขียนเนื้อร้องและทำนองโดยหัวหน้าคณะ คสช. และทุกเพลงล้วนแต่ทำนองอ่อนหวานซาบซึ้ง และใช้ลีลาการพรรณนาถึงประเทศเหมือนพูดถึงคนรัก ซึ่งไม่เคยมีหัวหน้าคณะรัฐประหารคนใดเคยทำเช่นนี้
ขอสรุปว่า “ลุงตู่” ไม่ธรรมดาแน่