xs
xsm
sm
md
lg

เกิดในเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา! สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสร้างประวัติศาสตร์ให้ชาติไทย!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค



ในประเทศนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นทั้งนักปราชญ์ นักเขียน นักการเมือง ศิลปินแห่งชาติ เป็นบุคคลสำคัญของโลกใน ๔ สาขาโดยยูเนสโก และเป็นนายกรัฐมนตรีที่สร้างประวัติศาสตร์ให้การเมืองไทยด้วยการเป็นหัวหน้าพรรคที่มี ส.ส.แค่ ๑๘ เสียงในสภาก็ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แม้จะต้องพ่ายฤทธิ์เดชของ ส.ส.ในสภาจนอยู่ในตำแหน่งได้ในช่วงสั้นๆ แต่ก็มีนโยบายที่โด่งดังในเรื่อง “เงินผัน” และดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบพลิกฝ่ามือ จากการ “ตามก้นอเมริกา” ยอมเป็นฐานทัพให้ไปถล่มเพื่อนบ้าน มาเป็นวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักฝ่าฝ่ายใด ฝ่ากฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์นำคณะไปจับมือกับเมาเซตุง ทำให้สงครามใต้ดินที่คนไทยต้องฆ่ากันเองโดยมีกองกำลังต่างชาติร่วมสนับสนุนต้องยุติลงทันที ประเทศกลับคืนสู่ความสงบสุข แต่นายกรัฐมนตรีที่ดำเนินนโยบายนี้กลับต้องตกเก้าอี้
๙ มิถุนายน ๒๕๓๘ เป็นวันที่ท่านถึงอสัญกรรม จึงขอรำลึกถึงปูชนียบุคคลท่านนี้กันอีกครั้ง

ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๔๕๔ ในเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ตำบลบ้านม้า อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ขณะที่พระบิดา คือ พลโทพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ แม่ทัพภาคที่ ๒ กำลังเตรียมการต้อนรับสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระพันปีหลวง สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ ๕ เสด็จพิษณุโลก และต้องการให้ หม่อมแดง ภรรยาจากตระกูลบุนนาคได้เข้าเฝ้าด้วย ขณะนั้นหม่อมแดงกำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอด เมื่อเดินทางไปพิษณุโลกโดยทางเรือถึงตำบลบ้านม้า อำเภออินทรบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ก็คลอดบุตรชายในเรือเมื่อเวลา ๐๗.๒๐ น. จากนั้นก็เดินทางต่อโดยรถไฟไปพิษณุโลก

พลโทพระองค์เจ้าคำรบได้อุ้มบุตรชายเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันปีที่พลับพลารับเสด็จ และสมเด็จพระพันปีได้ทรงรับไปอุ้มด้วย ด้วยท่าทางของทารกน้อยในอุ้งพระหัตถ์ สมเด็จพระพันปีได้รับสั่งว่า

“เจ้าชื่อคึกฤทธิ์แล้ว เอ้า จงทำท่าคึกไป” เด็กน้อยก็เต้นขานรับสั่งต่อหน้าพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ประชาชนเป็นจำนวนมากรอบพลับพลารับเสด็จ
หลังจากเสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ก็ทรงมีพระราชหัตถเลขาฉบับหนึ่งมีความว่า

“ข้าพเจ้าขอรับ คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหลานบุญธรรม ถ้าข้าพเจ้าสิ้นชีวิตลงไป ก็ขอให้ทายาทของข้าพเจ้าทุกคนจงรับทราบโดยทั่วกันว่า ข้าพเจ้ารับคึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหลานย่าของข้าพเจ้า ถ้าคึกฤทธิ์ยากจนลงเมื่อข้าพเจ้าหาชีวิตไม่แล้ว ขอให้ทายาทของข้าพเจ้าทุกคนจงให้ส่วนแบ่งแก่คึกฤทธิ์เท่าหลานย่าของข้าพเจ้าทุกคนด้วยเทอญ...”

นี่เป็นส่วนหนึ่งในหนังสือ “คึกฤทธิ์ ๒๕๒๘” ซึ่ง สละ ลิขิตกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง น.ส.พ.สยามรัฐ กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้มีอายุ ๗๔ ปี

ในสมัยเด็ก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จึงมีโอกาสไปวิ่งเล่นอยู่ในวังพญาไท ที่ประทับของสมเด็จพระพันปี และใกล้ชิดกับชีวิตในวังมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ ซึ่งเป็นประสบการณ์ในการเขียนนวนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน” หนังสือที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ทำอะไรก็ดูจะดังไปทุกเรื่อง แม้แต่ยุคเผด็จการของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม สั่งเซ็นเซ่อร์ น.ส.พ.รายวันทุกฉบับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ยังเอาข่าวไร้สาระมาลงแทน อย่างเช่นพาดหัวว่า “รายงานข่าวด่วนจากคึกฤทธิ์ พระอาทิตย์ขึ้นที่หัวหินผิดทางกับศรีราชา สงสัยพระอาทิตย์มีสองดวง” “ห้ามข้าราชการหญิงลาบวชเด็ดขาด” “พระนอนมาเป็นร้อยปียังไม่ยอมตื่น” ทำให้คนติดตามกันจนคนสั่งเซ็นเซ่อร์อึดอัดที่ถูกเยาะเย้ยทุกวัน จะเซ็นเซ่อร์ก็ไม่ได้ เลยต้องเลิกเซ็นเซอร์

เมื่อแสดงหนังก็ดัง ได้จับคู่กับพระเอกตุ๊กตาทอง มาลอน แบรนโด ที่กำลังสุดขีด ในเรื่อง “อั๊กลี่อเมริกัน” ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเมืองสารขัณฑ์ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรีจริง ๑๒ ปี

การขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑๓ ของประเทศไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้สร้างเรื่องราวไว้ให้กล่าวขานกันเป็นประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย โดยเป็นหัวหน้าพรรคที่มี ส.ส.อยู่แค่ ๑๘ เสียงก็สามารถเดินหมากขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ จนได้รับฉายาทั้ง “เฒ่าสารพัดพิษ” และ “เสาหลักประชาธิปไตย”

ทั้งนี้ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๒๖ มกรคาม ๒๕๑๘ พรรคประชาธิปัตย์ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค ได้รับเลือกตั้ง ๗๒ ที่นั่งจาก ๒๖๙ ที่นั่ง เป็นพรรคที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด จึงได้ร่วมกับพรรคเกษตรสังคมซึ่งมี ๑๙ เสียง จัดตั้งรัฐบาลขึ้นโดยมี “หม่อมพี่” เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในวันแถลงนโยบายไม่ได้รับความไว้วางใจ จึงต้องพ้นตำแหน่ง สละสิทธิ์การตั้งรัฐบาลไป

“หม่อมน้อง” คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งมี ส.ส.อยู่เพียง ๑๘ เสียง แต่มีรัศมีเปร่งประกายกว่าทุกคน จึงได้รับการสนับสนุนจากอีก ๘ พรรคจากทั้งหมด ๒๒ พรรคให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังเป็นเสียงส่วนน้อยอยู่ดี รวมกันได้แค่ ๑๒๘ เสียง คะแนนเกินครึ่งต้อง ๑๓๕ เสียง อาจตกเก้าอี้ในการลงคะแนนไว้วางใจในวันแถลงนโยบายเหมือน “หม่อมพี่” ได้ ด้วยลีลาของ “เฒ่าสารพัดพิษ” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จึงตั้งคณะรัฐมนตรีเพียง ๒๗ ตำแหน่ง จากรัฐธรรมนูญให้ตั้งได้ไม่เกิน ๓๐ ตำแหน่ง เหลือ ๓ ตำแหน่งไว้ล่อใจพรรคที่ยังไม่เข้ามาร่วม ปรากฏว่าวันลงคะแนนไว้วางใจ รัฐบาลของ “หม่อมน้อง” ผ่านฉลุยได้ ๑๔๐ เสียง มีพรรคเข้าร่วม ๑๖ พรรค

นโยบายเด่นอย่างหนึ่งของรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็คือ “เงินผัน” โดยมอบให้ผู้บริหารราชการส่วนท้องถิ่นนำไปพัฒนาท้องถิ่นให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และส่งเสริมการสร้างงานในชนบท ให้ชาวไร่ชาวนามีงานพิเศษทำ ซึ่งต่อมาได้มีคำขวัญว่า “เงินผัน ประกันราคาพืชผล ส่งเสริมสภาตำบล คนจนรักษาฟรี” เป็นที่ชื่นชมของประชาชนทั่วไป แต่ถูกโจมตีอย่างหนักจากฝ่ายค้านเพราะได้คะแนนล้ำหน้า แต่ก็เป็นต้นกำเนิดนโยบายประชานิยมของรัฐบาลต่อๆมา

ผลงานอีกอย่างของรัฐบาลคึกฤทธิ์ที่ถือได้ว่าพลิกฝ่ามือ สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก ก็คือนำคณะฝ่ากฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ไปเปิดสัมพันธ์ไมตรีกับจีน โดยข้อเสนอการเจรจาของฝ่ายไทยคือ การถือสัญชาติของคนจีนในไทย การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ไทยของจีน และการค้าระหว่างไทยกับจีน ส่วนข้อเสนอของจีนคือ ฐานะความเป็นจีนต้องมีรัฐเดียว และการมีฐานทัพอเมริกันอยู่ในไทย เซ็นสัญญากันได้ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๘ โดยทั้ง ๒ ประเทศได้ยอมรับหลักการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และจะต่อต้านการสถาปนาความเป็นใหญ่ของประเทศหรือกลุ่มใดๆ ไทยได้รับรองว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นรัฐบาลอันชอบด้วยกฎหมายของประเทศจีนเพียงรัฐเดียว และไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนจีนที่แบ่งแยกไม่ได้ ส่วนจีนก็ประกาศไม่ยอมรับการถือสองสัญชาติของคนจีนในประเทศไทย
ในเช้าวันที่ ๑ กรกฎาคมขณะที่เติ้งเสี่ยวผิงพาคณะไปเยี่ยมชนเผ่าต่างๆนั้น ก็ได้รับแจ้งว่า ประธานเหมาเจ๋อตุงซึ่งชราภาพมากแล้วได้เชิญไปพบ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์กับ พล.ต.ชาติชาย ชุณหวัน รมต.ต่างประเทศจึงรีบไปพบทันที และได้คุยกันอย่างถูกคอนานถึง ๕๘ นาที ประธานฯเหมาทักทายว่า

“ท่านนายกฯมาหาคอมมิวนิสต์อย่างข้าพเจ้า ไม่รู้สึกกลัวหรือ”

นายกฯคึกฤทธิ์ก็ตอบว่า “หามิได้ ข้าพเจ้าเลื่อมใสท่านประธานมานานแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้มาหาคอมมิวนิสต์ แต่ข้าพเจ้ามาหาเพื่อน”

ในตอนท้ายของการสนทนา ประธานเหมาเจ๋อตุงกล่าวว่า
“ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จะลุกจะนั่งก็ปวด อีกไม่นานก็จะตาย”

นายกฯคึกฤทธิ์จึงกล่าวว่า “อย่าพูดเช่นนี้เลย โลกมิอาจขาดผู้ร้ายหมายเลขหนึ่งอย่างท่านได้”

ทำเอาท่านประธานเหมาหัวเราะชอบใจ

ผลของการเปลี่ยนโฉมหน้าจากศัตรูมาเป็นมิตรในครั้งนี้ ทำให้จีนเลิกการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ทำให้การเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยยุติบทบาทลง และกลับมาเป็นผู้พัฒนาชาติไทยในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ บ้านเมืองกลับมาสู่ความสงบสุข ขณะในปีที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เวียดนามและกำพูชา ต้องเสียเมืองให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์

ส่วนรัฐบาลไทยได้ยื่นคำขาดให้สหรัฐถอนฐานทัพออกจากไทยให้หมดภายใน ๑ ปี

แต่รัฐบาลร้อยพ่อพันแม่ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชอยู่ได้เพียง ๑ ปี ๓๗ วันเท่านั้นก็ถูกตีรวนจนต้องยุบสภา เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่แม้พรรคกิจสังคมจะได้คะแนนเสียเพิ่มขึ้นเป็น ๔๕ เสียง แต่หัวหน้าพรรคก็สอบตกในเขตดุสิต ที่ว่าเป็น “เขตทหาร” กล่าวกันว่าสาเหตุมาจากนโยบายเปิดสัมพันธไมตรีกับจีนแดง ไล่ฐานทัพอเมริกันออกไป ซึ่งทหารในยุคนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐมานาน
นี่ก็เป็นบทบาทของรัฐมนตรีไทยคนหนึ่ง แม้จะมีโอกาสเป็นผู้นำอยู่ในช่วงสั้นๆ แต่ก็มองการณ์ไกลเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และกล้าตัดสินใจที่จะยุติการเข่นฆ่ากันเองของคนในชาติ นำความสงบสุขกลับคืนมาในหน้าประวัติศาสตร์

แต่แม้จะมีพิษอย่างไร ก็ยังพิษน้อยกว่านักการเมืองร้อยพ่อพันแม่ในรัฐบาลของตัวนั่นเอง








กำลังโหลดความคิดเห็น