xs
xsm
sm
md
lg

ททบ.5 เซ็นผลิตข่าวปี 65 ร่วมทีมกนก-ธีระ โต้ข้อหาสื่อกองทัพ ผบ.ทบ.สั่งไม่ทำแตกแยก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ททบ.5 เซ็นสัญญาผลิตข่าวกับจีเอ็มซี” ทีม “กนก-ธีระ” ผลิตข่าว 4 ช่วง 7 ชั่วโมง ผลตอบแทน 65 ล้าน สัญญาปีต่อปี เริ่มปีหน้า แจงคนละนิติบุคคลกับท็อปนิวส์ ผอ.ช่อง 5 เผย ผบ.ทบ.สั่งต้องไม่แตกแยก ไม่สนเรตติ้งแต่ให้คนดูศรัทธา โต้ข้อหาสื่อกองทัพ เปรียบ 4 พิธีกรปลุกยักษ์ให้ตื่น ด้านกนกเปรยไม่เหมือนช่องดาวเทียม มี 4 บก.ข่าวคุมโทน ยังต้องไป-มาต้นสังกัด

วันนี้ (30 ก.ย.) ที่ห้องเบญจนฤมิต ชั้น 4 อาคารเบญจรังสฤษฎ์ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) สนามเป้า เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ท.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 ร่วมกับ นพ.ชัยวัฒน์ เตชะไพฑูรย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กาแล็กซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (จีเอ็มซี) ได้ลงนามความร่วมมือในการผลิตข่าว ททบ.มิติใหม่ ปี 2565 พร้อมเปิดตัว 4 ผู้ประกาศข่าวจากสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์ ได้แก่ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล, นายธีระ ธัญไพบูลย์, นายสันติสุข มะโรงศรี และนายสถาพร เกื้อสกุล และบรรณาธิการข่าว ททบ. ได้แก่ น.ส.ถนิจญาณ์ กุฎอินทร์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการข่าว ฝ่ายข่าว ททบ., นายพันมนตร์ ภักดีพันธ์ บรรณาธิการข่าวสายเศรษฐกิจ, นายจีรศักดิ์ กัณฐสุทธิ์ บรรณาธิการข่าวสายการเมือง และ น.ส.อรวรรณ ทรัพย์ศิริ บรรณาธิการข่าวสายสังคม

พล.ท.รังษีกล่าวว่า การลงนามสัญญาร่วมผลิตรายการข่าวกับจีเอ็มซีในปี 2565 เป็นที่ทราบว่าปัจจุบันประเทศมีวิกฤตหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดโควิด 19 ตามมาด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ ขาดรายได้จากการท่องเที่ยว และการส่งออกหดตัวลง สิ่งที่ช่อง 5 ทำการปรับโดยได้ 4 พิธีกรที่ถือว่าเป็นสื่ออาวุโส มีประสบการณ์ที่ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นมาร่วมงานเป็นความสำเร็จของช่อง 5 ในปี 2565 สิ่งที่จะทำในเรื่องข่าวซึ่งตนได้คุยกับ นพ.ชัยวัฒน์ กับทีมผู้ประกาศข่าวว่า แนวทางของข่าวเมื่อทราบว่าเรามีวิกฤตในหลายด้าน เราต้องการที่จะทำข่าวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน และใช้ข้อมูลที่ฟังจาก ททบ.5 ไปใช้ในการตัดสินใจหรือวางแผนในชีวิตเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้

ในสถานการณ์แบบนี้ข้อมูลข่าวสารใครตรงกว่ากัน ยุทธศาสตร์ของการวางแผนใครดีกว่ากัน คนนั้นชนะ เป้าหมายของเราก็คือ เราจะเอาข่าวที่เป็นความจริงในทุกด้าน เจาะลึกถึงรายละเอียด ที่สำคัญเราจะไม่สร้างความแตกแยกให้แก่สังคม เพราะทุกวันนี้เห็นว่ามีความเห็นไม่ตรงกันทางทัศนคติในหลายด้าน เพราะเราจะไม่ไปเติมเชื้อไฟ เราจะดึงฟืนออกจากกองไฟด้วยซ้ำไป และให้ข้อมูลข่าวสารที่ครอบคลุมทุกด้าน ในทุกมิติของคู่กรณี แม้ว่าจะมีความขัดแย้งเราก็ยังออกข่าว เสนอทั้งสองด้าน ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน

- แจงช่อง 5 ไม่เติมเชื้อไฟ ให้ข้อมูลทุกด้าน

“เราจะเป็นสื่อหลักที่ไม่ตัดสินว่าใครผิดใครถูก แต่จะเสนอข้อมูลให้ครบทุกด้าน ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน เพราะวันนี้คู่แข่งของสื่อหลักเราคือโซเชียลมีเดีย การที่บางคนบอกว่าวันนี้เป็นโลกของโซเชียลมีเดีย ผมไม่เชื่ออย่างนั้น ผมเชื่อว่าสื่อกระแสหลักยังเป็นสื่อที่พึ่งพา เพราะเรามีทีมงานและเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะทำให้ประชาชนหันมาดูช่อง 5 คนที่ชอบมาดูอยู่แล้ว คนที่ไม่ชอบก็ต้องดูช่อง 5 จากนี้ไป เพราะข้อมูลข่าวสารจาก 4 พิธีกร กับทีมบรรณาธิการของผม จะเสนอข้อมูลรอบด้านทุกด้าน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ข้อมูลพวกนี้ไปต่อสู้กับวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นโควิด วิกฤตเศรษฐกิจ หรือความขัดแย้งในสังคม ณ ปัจจุบัน ผมขอให้สัญญากับประชาชนว่า ในปี 2565 ช่อง 5 จะเป็นสื่อที่ให้ความรู้แก่ประชาชนจริงๆ และผมจะไม่เติมฟืน เติมไฟ เติมเชื้อเพลิง หรือผมจะไม่ตัดสิน ผมจะให้ข้อมูลทุกด้านแก่ประชาชน เพื่อให้เรารอดจากวิกฤตโควิดไปด้วยกัน” พล.ท.รังษีกล่าว

- เผย กสทช.ไฟเขียวเปลี่ยนเลขช่อง 5

พล.ท.รังษีกล่าวว่า ททบ.5 ได้ขออนุมัติสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการเปลี่ยนหมายเลขช่อง จากหมายเลข 1 เป็นหมายเลข 5 เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. 2564 เป็นต้นไป เพราะเลข 5 คือเลขอัตลักษณ์ของช่อง เราควรจะกลับไปอยู่หมายเลข 5 เพื่อให้ประชาชนจำง่าย และกลับไปสู่ประวัติศาสตร์ของเราที่ก่อกำเนิดมาปีนี้เป็นปีที่ 63 และจะแถลงผังรายการครั้งใหญ่ของช่อง 5

- ผบ.ทบ.สั่งต้องไม่ทำให้สังคมแตกแยก

เมื่อถามว่าแนวทางในการผลิตข่าวจะเป็นรูปแบบไหน ททบ.5 กับจีเอ็มซี จะแบ่งงานกันอย่างไร พล.ท.รังษีกล่าวว่า อย่าเรียกว่าแบ่งงาน เป็นการทำงานร่วมกัน เพราะพิธีกรทั้ง 4 คนถือเป็นครอบครัวของช่อง 5 บรรณาธิการมีหน้าที่วางแผนว่าจะนำเสนอข่าวตรงไหนในสถานการณ์ที่เหมาะสม ณ เวลานั้น พิธีกรทั้ง 4 คนก็จะร่วมในการประชุมโต๊ะข่าวอยู่แล้วในตอนเช้า ซึ่งช่วงแรกตนจะเข้าไปนั่งประชุมด้วยเพราะอยากจะฟังแนวทาง เพื่อให้รู้เท่าทัน ทันสถานการณ์ มีความจริงครบทุกด้าน เป็นนโยบายของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะประธานกรรมการ (บอร์ด) ของ ททบ.5 ให้นโยบายในเรื่องนี้อย่างชัดเจน

“ก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญา ผมได้นำเรียนท่าน และท่านได้ให้ข้อเสนอมา อย่าว่าเป็นข้อเสนอ เป็นการสั่งการดีกว่า ว่าทิศทางของเราจะต้องชัดเจน ไม่ทำให้สังคมแตกแยก ให้องค์ความรู้แก่ประชาชนในทุกด้าน เพื่อใช้ข้อมูลพวกนี้ไปตัดสินในการวางแผนทำธุรกิจ ในการดำเนินชีวิต” พล.ท.รังษีกล่าว

- ไม่สนเรตติ้ง สนใจความนิยมศรัทธา

เมื่อถามว่า เรื่องเรตติ้ง ททบ.5 อยู่อันดับที่ 18 การปรับเรื่องการนำเสนอข่าวในปีหน้ามั่นใจเรื่องของเรตติ้งอย่างไรบ้าง พล.ท.รังษีกล่าวว่า “คำว่าเรตติ้งผมไม่ค่อยสนใจ ผมสนใจความนิยม หรือความเชื่อมั่นที่จะมาดูช่อง 5 คำว่าเรตติ้งบางทีบางช่องอาจจะมีละครดีๆ ที่เขาเรียกว่าละครน้ำเน่า หรือเกมโชว์ที่ไม่มีสาระแล้วคนไปดูเยอะ แต่ถามว่าได้อะไรไหม มันไม่ได้ สิ่งที่ผมต้องการคือข้อมูลข่าวสาร รูปแบบที่จะให้องค์ความรู้ให้ประชาชนดูแล้วเข้าใจง่ายแล้วนำไปปฏิบัติได้จริง หรือไปตัดสินใจได้จริง แล้วมาดูช่อง 5 ด้วยความศรัทธา ความเชื่อมั่น อันนั้นคือเรตติ้งของผม

ส่วนเรตติ้งที่ว่าจะให้คนมาดูเยอะๆ ไม่ว่ารายการนั้นจะมีสาระหรือไม่มีสาระ หรือจะช่วยกับแนวทางการปรับตัวในการดำเนินชีวิตกับวิกฤตรอบนี้ได้ ผมถือว่าไม่ใช่ภารกิจของผม และไม่ใช่แนวทางผม คือเอาง่ายๆ ตั้งแต่ผมรับตำแหน่ง ผอ.ช่อง 5 ผมพูดเสมอว่าผมไม่สนใจเรื่องเรตติ้ง แต่ถ้า 4 พิธีกรหรือบริษัทกาแลคซี่ มัลติมีเดียฯ สามารถทำให้คนช่อง 5 มาดูช่อง 5 เพราะว่ามีความศรัทธาในข้อมูล มีความเชื่อมั่นในข้อมูล ดูแล้วได้ประโยชน์ เอาตัวเองให้รอดในวิกฤตที่จะเกิดขึ้นภายในปีหน้า ผมถือว่าเป็นความสำเร็จของช่อง 5 เพราะฉะนั้นคำว่าเรตติ้งของผม เป็นเรตติ้งที่ต่างกว่าที่นิลเส็นเป็นคนกำหนด”

- ลั่นช่อง 5 ต้องติดท็อปเท็นใน 3 เดือน

ด้าน นพ.ชัยวัฒน์กล่าวว่า ขอบคุณกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฯ (กอญ.) ยืนยันว่าสิ่งที่ กอญ.มุ่งหวัง ทางจีเอ็มซีกับพิธีกรข่าวทั้ง 4 คนจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ตนยืนยันในเรื่องของเรตติ้งโดยรวม (Overall) อาจจะไม่ได้ถึงกับท็อปไฟว์ แต่เรตติ้งในแง่ข่าวตนมั่นใจว่าพิธีกรข่าวของเรามีผู้ติดตามเยอะ และเรตติ้งของช่อง 5 ก็น่าจะขึ้นมาอยู่ในอันดับท็อปเท็นภายใน 3 เดือน แต่เรตติ้งข่าวเราต้องอยู่ในท็อปทรี หรือว่าอันดับหนึ่งด้วยซ้ำในแง่ข่าว ตนมั่นใจ และจะใช้เรตติ้งตรงนี้ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อให้ผู้ติดตามหรือประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง

“สิ่งที่ กอญ.ย้ำกับผมเสมอคือ ปีหน้าหนักหนาสาหัสมาก ปี 2540 ยอดพีระมิดพัง แต่ปี 65 อาจจะพังพีระมิดทั้งลูก นี่คือสิ่งที่ฟังดูน่ากลัว แต่ว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะตอนนี้ประชาชนเริ่มลำบาก ไม่ใช่เฉพาะโรคติดต่อ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ท่านลองคิดดู บางครอบครัวพ่อแม่ตาย ลูกไปอยู่ไหน หรือถ้าตายคนเดียว ส่วนอื่นๆ ของครอบครัว คนอื่น สมาชิกในครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร นี่คือสิ่งที่เราคาดหวังว่าสื่อจะสามารถช่วยเรื่องนี้ได้ ชี้ทางออกให้ประเทศได้ ไม่ใช่ทะเลาะเบาะแว้งกัน” นพ.ชัยวัฒน์กล่าว

- ผลิตข่าว 4 ช่วง 7 ชั่วโมง ผลตอบแทนปีละ 65 ล้าน

เมื่อถามถึงรูปแบบรายการข่าวมีความแตกต่างจากท็อปนิวส์หรือไม่ พล.ท.รังษีกล่าวว่า ในช่วงข่าวที่เราจะดำเนินการโดย 4 พิธีกร จะมีอยู่ 4 ช่วง ช่วงแรก 06.00-07.00 น. ช่วงที่สองคือ 12.00-14.00 น. ช่วงเย็นคือ 18.00-20.00 น. และช่วงค่ำสุดท้าย 20.30-22.30 น. เป็น 4 ช่วงเวลาของเนื้อหาสาระที่มีความสมบูรณ์ และทำให้เราสามารถเอาข้อมูลไปตัดสินหรือวางแผนในชีวิตเราได้ โดยบรรณาธิการข่าวทั้ง 4 คนจะเป็นผู้ช่วยในการทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์

เมื่อถามถึงผลตอบแทนที่ ททบ.5 จะได้รับ พล.ท.รังษีกล่าวว่า จากช่วงข่าวดังกล่าว ช่อง 5 จะได้รับผลตอบแทนปีละ 65 ล้านบาท โดยเบื้องต้นลงนามสัญญาเป็นระยะเวลา 1 ปี แต่ถ้าจะผลิตรายการต่อก็สามารถต่อสัญญาได้ทุกปี เพราะตามธรรมเนียมของช่อง 5 ทำสัญญาปีต่อปี แต่หลายรายการที่ผลิตรายการมา 20 ปี ก็ทำสัญญาปีต่อปีเหมือนกัน

ด้าน นพ.ชัยวัฒน์กล่าวว่าเรื่องผลประโยชน์เป็นเรื่องรอง กอญ.ไม่ได้เน้นตั้งแต่ต้น แต่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศนี้ พยายามสร้างผลบุญระหว่างช่อง 5 ที่เป็นเจ้าของ กับทีมงานต้องบาลานซ์ให้ได้ และ กอญ.คาดหวังว่าปีหน้าจะแจกรางวัลให้พนักงานที่ช่อง 5 เราหวังเช่นนั้น ส่วนครอบครัวทีมงานของจีเอ็มซีก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องและสร้างดุลยภาพ จริงๆ แล้วคาดการณ์ยังไม่ได้ 100% ว่าจะมีผลประโยชน์เป็นเม็ดเงินมากเท่าใด แต่พยายามสร้างดุลยภาพ ส่วนตัวเห็นว่าพิธีกรทั้ง 4 ที่มากประสบการณ์อยู่ได้สบาย แต่ถ้าจะมีส่วนที่ทำให้ช่อง 5 เป็นที่พึ่งประชาชน นั่นคือเป้าหมายสูงสุด เรื่องผลประโยชน์อื่นๆ กอญ.สามารถบอกได้

พล.ท.รังษีกล่าวว่า เราไม่ได้ปิดบัง กองทัพเดินด้วยท้องฉันใด เจ้าหน้าที่ ททบ.5 ก็เดินด้วยท้องฉันนั้นเหมือนกัน ที่บอกว่าทำแล้วไม่ได้อะไร ผมไม่คบเลย เพราะว่าพูดโกหก ทุกอย่างเป็นค่าใช้จ่าย แต่ต้องเป็นรายได้ที่เหมาะสมและตรงไปตรงมา เรื่องนี้ผมไม่ปิดบัง เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรับทราบ รู้เท่ากัน จะได้รู้ทิศทางของสถานี

- กนกเปรยไม่เหมือนท็อปนิวส์

เมื่อถามว่าพิธีกรข่าวทั้ง 4 คนจะอยู่กับท็อปนิวส์หรือไม่ นายกนกกล่าวว่า ก่อนจะมาถึงวันนี้พวกตนมีโอกาสได้รับฟังนโยบายส่วนตัวกับ พล.ท.รังษี ได้ให้นโยบายและวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองในทุกด้าน ทุกมิติให้ฟัง เราเลยรับรู้หน้าที่ว่าเมื่อมาอยู่ภายใต้ร่มเงาของทาง ททบ.5 ก็จะมีโจทย์อยู่ 2-3 ข้อที่จะต้องทำ คือ จะต้องนำเสนอความจริงทุกด้าน ทุกมิติ ข้อสอง ไม่ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม ไม่มีเฮตสปีช (Hate Speech) และข้อสาม พล.ท.รังษีได้วิเคราะห์สถานการณ์ผลกระทบจากโควิดให้เราฟัง ก็อยากจะให้พวกเรามาทำหน้าที่การเป็นสื่อมวลชนโดยใช้พื้นที่ข่าวช่วยฟื้นฟูประเทศในทุกด้านที่ได้รับจากพิษภัยของโควิด ฉะนั้นเราเข้ามาทำในช่อง 5 แล้วก็จะต้องมีการทำงานผสมผสานกัน

“สิ่งที่เราเคยทำที่สถานีของเรา คือ ท็อปนิวส์ จะเป็นแบบไหนก็ตามแต่ แต่พอมาที่นี่ เราก็ต้องมารับนโยบายและต้องปรับตัว อย่างสมมติว่าเราเคยทำข่าวอยู่ที่ท็อปนิวส์อย่างไร เราเคยนั่งเล่นในโซนของเราอย่างไร พอมาที่นี่ ที่นั่งเล่นที่ทำข่าวมันอาจจะไม่ได้เป็นที่ที่เราเคยอยู่ในตำแหน่งพิกัดเดิม ฉะนั้น เราก็ต้องทำตามนโยบายของทางช่อง 5 ที่เรามากันวันนี้ 4 คน ความจริงเราเป็นตัวแทน เรายังมีมาอีกเพิ่มเติมมากกว่านี้ในปีหน้า เพียงแต่ว่าจะมากันกี่คนก็ตามแต่ พอมาแล้วก็ต้องทำตามนโยบาย 3 ข้อหลักที่ กอญ.ได้ให้เอาไว้” นายกนกกล่าว

- กอญ.ท้าคนดู ทีมกนกจะเปลี่ยนลุคอย่างไร

เมื่อถามถึงเนื้อหารายการและจุดยืนการนำเสนอข่าวนับจากนี้จะเหมือนท็อปนิวส์หรือเป็นแบบช่อง 5 พล.ท.รังษีกล่าวว่า ถ้าอยากรู้อยากเห็น รอวันที่ 3 ม.ค. 2565 ออนแอร์ครั้งแรก พูดไปตอนนี้สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ไม่เท่าหูฟัง เปิดมาดูช่อง 5 สักยี่สิบล้านคน มาดูว่าทีมกนกจะเปลี่ยนลุคอย่างไร อันนี้บอกไม่ได้เพราะเป็นเรื่องการตลาดด้วย

เมื่อถามว่า จากเดิมสัดส่วนรายการข่าวของ ททบ.5 คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ปี 2565 รายการข่าวจะปรับผังเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ พล.ท.รังษีกล่าวว่า ตามใบอนุญาตทีวีดิจิทัลประเภท 2 ที่ได้จาก กสทช.เนื้อหาสาระต้อง 70% บันเทิงแค่ 30% เพราะฉะนั้นก็จะทำตามที่ได้ใบอนุญาต มีคนถามเสมอว่า ช่อง 5 อยู่ในสถานะไหน ก็คืออยู่ในสถานะที่เป็นสถานีที่ได้รับใบอนุญาต

- โต้ข้อกล่าวหาเป็นสื่อของกองทัพ

“ถามว่าช่อง 5 อยู่อย่างไร ก็เราเป็นสื่อ และเราได้รับใบอนุญาตประเภท 2 ฉะนั้นวันนี้เราเป็นสถานีที่ถูกต้องทุกอย่าง เพราะเราโดนโจมตีตลอดเวลา และเราไม่ใช่สื่อของกองทัพ เราเป็นสื่อของประชาชน และผมก็ทำตามนโยบายของกองทัพบก เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน วันนี้มีโอกาสแล้ว ผมขอพูดให้ทุกคนสามารถรับรู้และกระจ่างชัดโดยที่ไม่ต้องมีข้อถาม วันนี้อยากให้ผู้สื่อข่าวถามเยอะๆ จริงๆ เพราะผมไม่ชอบวิธีการที่ไปลงโซเชียลมีเดีย แล้วก็จิกกัดในโซเชียลมีเดีย มันไม่มีประโยชน์ วันนี้ประเทศเราต้องการความร่วมมือ แล้วก็ต้องการสื่อที่เป็นหลักจริงๆ

วันนี้ประชาชนค่อนข้างสับสน ว่าแล้วตกลงจากนี้จะอยู่กันอย่างไร เพราะโควิดก็ไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ ของก็ขายไม่ได้ รถที่ผ่อนอยู่กำลังจะถูกยึด วันนี้ผมเจอแต่คำถามนี้ แล้วทหารช่วยอะไรบ้าง เดี๋ยวน้ำท่วมเราก็ต้องไปช่วย แล้วจะแก้น้ำท่วมอย่างไร เพราะเดี๋ยวหน้าตุลาฯ น้ำท่วม พอมีนาฯ ฝนแล้งอีก เพิ่งท่วมหยกๆ มันแล้งอีกแล้ว เราจะทำอย่างไรประเทศนี้ ต่อไปช่อง 5 จะพูดถึงวิธีการแก้ด้วย ไม่ใช่จะมาเล่าแค่ปัญหา วันนี้ผมอยากจะปรับหรือพัฒนาข่าวของเราให้วงการสื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนจริงๆ” พล.ท.รังษีกล่าว

- ไม่เชื่อเป็นโลกของโซเชียลมีเดีย

“ผมไม่อยากจะเห็นสื่อแบ่งข้าง ไม่มีประโยชน์จริงๆ เพราะสื่อเป็นฐานันดรที่สังคมหรือในโลกยอมรับ แต่วันนี้เราทำตัวเราให้ตกต่ำลง โดยที่ไปเอาข้อมูลผิดๆ หรือไปมีอคติอะไร ที่ผมพูดวันนี้คือผมเป็นสื่อเหมือนกัน ผมเป็น ผอ.ช่อง 5 ผมก็คือสื่อ ผมไม่ได้พูดในฐานะทหาร ผมเศร้าใจมากวันนี้ที่เห็นวงการสื่อตกต่ำไปเยอะ

แล้วทุกคนก็บอกว่าเป็นโลกของโซเชียลมีเดีย ผมไม่เชื่อ ไม่มีใครหรอกมานั่งดูโทรศัพท์ทั้งวัน ทีวีเปิดดูคุณจะผัดกับข้าวยังมีเสียง แล้วชะโงกหัวมาดูภาพได้ ผมจึงถือว่าสื่อกระแสหลักยังเป็นสื่อหลักของประเทศนี้ แล้วประชาชนหรือประเทศเราจะรอด คือการเสพจากสื่อหลักที่มีคุณภาพ” พล.ท.รังษีกล่าว

- เปรียบกนก-ธีระปลุกยักษ์ให้ตื่นขึ้น

เมื่อถามถึงผลประกอบการของ ททบ.5 ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ พล.ท.รังษีกล่าวว่า เอาเป็นว่าปีนี้ช่อง 5 ไปรอดสำหรับปีนี้ แต่ปีหน้าไม่ทราบ แต่ตัวเลขทางธุรกิจไม่สามารถเปิดเผยได้ทั้งหมดเพราะเป็นความลับของการทำธุรกิจ ถ้าตนบอกขาดทุน คนก็บอกไม่มีฝีมือ พอบอกว่ากำไร ก็ถามว่าแล้วเอาเงินไปทำอะไร เอาเป็นว่าตนสามารถที่จะอยู่ได้ ทำให้พัฒนาช่อง 5 ให้ดีขึ้น ปีนี้ดีแค่ 5 ปีหน้าจะดีถึง 10 ลองคิดดูถ้าช่อง 5 ไม่มีอนาคต ทางกาแลคซี่ฯ คงไม่มากับตน

“วันนี้เราเดินถูกทาง นพ.ชัยวัฒน์บอก ผมมาเสริมทัพให้ ซึ่งผมก็ยินดี และเป็นความโชคดีของช่อง 5 จริงๆ ที่ได้พิธีกรทั้ง 4 มา ซึ่งก็ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกัน เพราะช่องเราเหมือนยักษ์ที่หลับอยู่ หลับมานานแล้ว จะโดนวางยาหรือจะโดนอะไรก็ช่าง แต่วันนี้เชื่อว่าทางกาแลคซี่ฯ จะมาช่วยปลุกยักษ์ตัวนี้ให้ตื่นขึ้นมา และมาทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติในด้านความรู้หรือทางสื่อ” พล.ท.รังษีกล่าว

- สันติสุข : อย่าเพิ่งตัดสินจากสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ

เมื่อถามว่าปีหน้ายังเจอนายกนกที่ท็อปนิวส์หรือเปล่า นายกนกกล่าวว่า ยังเจอ เพราะเรามาที่นี่เพียงวันละ 7 ชั่วโมง เนื้อหาส่วนใหญ่ของทางช่อง 5 ยังอยู่ที่บรรณาธิการทั้ง 4 คนจะต้องนำพาไป เรามาเพียงแค่วันละ 7 ชั่วโมง ส่วนน้อยมาก ยังต้องไปทำหน้าที่กับทางท็อปนิวส์ ด้านนายสันติสุขกล่าวว่า อย่าเพิ่งตัดสินเราจากสิ่งที่เรายังไม่ได้ทำ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะมาเติมความเท็จในสังคม เรามีแต่ความจริง และเจตนาที่ดีต่อบ้านเมือง ให้ความจริง ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ส่วนเนื้อหาสาระทิศทางเป็นอย่างไร ข่าวก็คือข่าว แต่สิ่งที่เราจะเติมคือความรอบด้าน และความถูกต้อง บุคลิกเนื้อหาจะเป็นอย่างไรให้รอดู

ส่วนนายธีระกล่าวว่า ความจริงกับความแตกแยกไม่เหมือนกัน เราเน้นความจริง ไม่เน้นความแตกแยก พร้อมที่จะเสนอความจริง ขณะที่นายสถาพรกล่าวว่า บทบาทในท็อปนิวส์ ข่าวไม่ได้มีแค่เกิดขึ้นรอบตัวในประเทศเท่านั้น ข่าวจากต่างประเทศก็เป็นส่วนหนึ่งที่นำพาให้เรานั้นจะต้องคิดและนำไปสู่การตัดสินใจ ดังนั้น เรื่องราวจากรอบโลกเป็นสิ่งสำคัญ ตรงนี้ตนมองว่าเราสามารถที่จะมาเติมเต็ม และทำให้ความจริงจากทั่วทุกมุมโลกปรากฏต่อสายตาของคนไทย

นายกนกกล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า นายสถาพรจะดำเนินรายการข่าวต่างประเทศในช่วงเช้า เพราะเป็นช่วงเวลาที่ข่าวต่างประเทศสุกงอมแล้วตั้งแต่กลางคืน ตอนเช้าจะอัปเดตว่าเกิดอะไรขึ้นทั่วโลก ภายในชั่วโมงแรกที่มารับหน้าที่

- กนก : ไอโอคืออะไรยังไม่รู้เลย

นายกนกกล่าวว่า ที่ ผอ.ช่อง 5 กล่าวว่า เรื่องของความแตกแยก ถ้าความแตกแยกจริงๆ ต้องดูให้ดี มันจะมาจากสื่อโซเชียลฯ แต่ไม่ได้มาจากสื่อกระแสหลัก แต่สื่อกระแสหลักอย่างเราหรือท็อปนิวส์ ก็ไปเจอสิ่งที่มันเป็นเฟกนิวส์ ที่ ผอ.บอกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะไปเหน็บ ไปจิกกัด ไปด่า แต่ในโซเชียลฯ ทุกวันนี้มันมีแบบนี้เยอะ แล้วพวกเราเวลาไปเห็นอะไรแบบนี้แล้ว เราก็ไปช่วยอธิบาย เพราะความจริงสิ่งที่เราเห็นในโลกโซเชียลฯ โลกทวิตเตอร์มันไม่ใช่ ความจริงมันคือแบบนี้ แล้วเรามาอธิบายออกหน้าจอของเรา ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นว่ามีคนบอกเราว่าเราเป็นกระบอกเสียงให้กับรัฐบาล เพียงแต่อธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโซเชียลฯ มันไม่ใช่ นายสันติสุขก็จะมีทุกวัน อธิบายว่าความจริงเป็นแบบนี้ ไปๆ มาๆ ก็มีคนบอกว่าน่าจะไปเป็นโฆษกรัฐบาล มันก็เป็นแบบนั้น

แต่ความจริงก็คือโลกโซเชียลฯ เป็นโลกที่ให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ตรงข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่เสมอ แล้วเราคือสื่อ เราเห็นแบบนี้ แล้วเรารู้ความจริงมันคืออะไร เราก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้ เราก็นำเสนอไป ซึ่งสิ่งที่เราจะทำ เราก็จะมาทำบางส่วนที่นี่ด้วย อะไรที่มันไม่จริง เราก็จะมาอธิบายให้ฟังว่า ที่จริงมันคืออะไร ไม่ได้เน้นแตกแยก อย่างที่นายธีระกล่าวว่า ความจริงเรื่องของความจริงกับความแตกแยกมันคนละเรื่องกัน เราเพียงแต่นำเสนอความจริงให้ทราบแค่นั้น

เมื่อถามว่า สรุปที่โซเชียลฯ บอกว่าเป็นไอโอ (Information Operation หรือหน่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร) นั้นเป็นความจริงหรืออย่างไร นายกนกกล่าวติดตลกว่า “ไอโอคืออะไรยังไม่รู้เลย จริงๆ ครับ ไอโอคืออะไรยังไม่ทราบเลย ก็อธิบายให้ฟังแค่นี้” ระหว่างนั้นนายสันติสุขหัวเราะไปด้วย

- แจงจีเอ็มซีคนละนิติบุคคลกับท็อปนิวส์

เมื่อถามว่าจีเอ็มซีที่จะมาร่วมกับช่อง 5 คือท็อปนิวส์หรือไม่ นพ.ชัยวัฒน์กล่าวว่า จีเอ็มซีกับท็อปนิวส์เป็นคนละนิติบุคคล กลุ่มทุนก็ไม่เหมือนกัน ตนเองเป็นลูกจ้างของจีเอ็มซี ว่าจ้างให้มาบริหาร พิธีกรข่าวทั้ง 4 คนก็มาทำงานกับจีเอ็มซี และทำงานท็อปนิวส์ เหมือนตนเองที่ทำงานหลายบริษัท หลายองค์กร เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามคุณธรรมและกฎหมาย เราไม่ได้ผิดอะไร ทีนี้เวลาเราไปทำอะไรที่ไหน เราก็ทำตามนโยบายของแต่ละที่ แต่ละสถาบัน ตนมาทำที่ช่อง 5 ก็ต้องดูกฎ กติกา มารยาทของที่นี่ด้วย ทั้ง 4 คนมาทำงานที่นี่ก็ต้องทำตามกฎกติกา ตามแนวนโยบายของ กอญ. ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่การนำเสนอออกไปเชื่อว่าจะแตกต่างกันกับอีกที่หนึ่งเสมอ

“เพราะฉะนั้นจีเอ็มซีกับท็อปนิวส์เป็นคนละนิติบุคคล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เพียงแต่มีคนทำงานที่อาจจะซ้ำกันบ้าง ตัวผมเองก็เป็นเพื่อนของคุณสนธิญาณ (ชื่นฤทัยในธรรม) ก็โทร.ปรึกษากัน บางทีเห็นด้วยบ้าง ไม่เห็นด้วยบ้าง แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับเขาทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับผมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่เราอยู่ได้เพราะว่าเราดำรงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน อันนี้คือสิ่งที่เรายึดมั่นไว้ จีเอ็มซีกับท็อปนิวส์เป็นคนละนิติบุคคล ชัดเจนในแง่ของการขึ้นทะเบียนแล้ว การปฏิบัติงานก็เช่นกัน” นพ.ชัยวัฒน์กล่าว

จากนั้น พล.ท.รังษีกล่าวว่า “ทั้งหมดอยู่ที่การกระทำกับการปฏิบัติ เชื่อผมเถอะ อย่าไปยึดติดว่าจะท็อปนิวส์จะกาแลคซี่ ผมก็ไม่ได้สนใจประเด็นนั้น ผมสนใจว่าเมื่อมาทำแล้ว ประชาชนได้อะไร ประเทศได้อะไร ตรงนั้นผมว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของสื่อมวลชนด้วย”












กำลังโหลดความคิดเห็น