xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 19-25 ก.ย.2564

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."แขก คำ ผกา" ทำทัวร์ลง "น้ำพริกนิตยา" กล่าวหาไม่ต้อนรับคนเสื้อแดง แต่ไร้ผล ยอดติดตามเพจร้านพุ่ง-ยอดขายปัง!

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. กระแสโซเชียลออนไลน์ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่ น.ส.ลักขณา ปันวิชัย หรือแขก คำ ผกา นักเขียนและพิธีกรชื่อดัง และ น.ส.จรรยา วงศ์สุรวัฒน์ หรือโรซี่ พี่สาวของ จอห์น-วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ ไปถ่ายทำรายการลักษณะไลฟ์สดที่ร้าน “น้ำพริกนิตยา" น้ำพริกชื่อดังย่านบางลำพู กรุงเทพฯ แต่ถูกเจ้าของร้านปฏิเสธระหว่างถ่ายทำรายการ แขก คำ ผกา จึงโวยวายกล่าวหาว่า เจ้าของร้านไม่ต้อนรับคนเสื้อแดง

ทั้งนี้ เนื้อหาตามคลิปรายการช่วงหนึ่ง คุณป้าเจ้าของร้านได้กล่าวกับแขก คำ ผกา อย่างสุภาพและเกรงใจว่า “พอดีอย่างนี้นะคะ คุณป้าต้องขอโทษด้วย คุณป้าไม่เคยดูรายการของหนู เพราะฉะนั้นคุณป้าต้องขอดูรายการก่อนที่หนูจะถ่ายออกไป วันนี้ป้าไม่สะดวก ป้าต้องขอโทษอย่างรุนแรงเลย เพราะว่าป้าไม่รู้ เพราะว่าป้าไม่เคยมีโอกาสที่จะได้เข้าไปดู คุณป้ากว่าจะกลับบ้านทุ่มหนึ่ง แล้วคุณป้าไม่ได้ดู อย่างไรก็ตามป้าขอดูรายการหนูก่อน แล้วค่อยมาสัมภาษณ์”

หลังจากนั้น แขก คำ ผกา และโรซี่กล่าวว่า “ได้ค่ะ ไม่เป็นไรเลยค่ะ” เจ้าของร้านกล่าวว่า “ไม่ๆ ป้าต้องบอกก่อน ขอโทษจริงๆ ...วันนี้จะรับประทานอะไรคุณป้าให้” ทั้งสองกล่าวว่า ไม่เป็นไร โดยแขก คำ ผกา กล่าวว่า “หนูมีตังค์ซื้อกินเอง ไม่เป็นแล้วค่ะคุณผู้ชม ไม่เป็นแล้ว เพราะว่ารายการเราติดต่อมาล่วงหน้า 1 เดือนนะคะ แล้วคุณป้าก็อนุญาตแล้ว ตอนหลังรู้ว่าแขกเป็นเสื้อแดงค่ะ คุณป้าก็เลยไม่อนุญาตให้แขกมาถ่าย จบเลยนะคะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อแขก คำ ผกา เดินออกมาหน้าร้านแล้ว ยังกล่าวโวยวายอีกว่า “ร้านนี้ไม่ต้อนรับคนเสื้อแดงนะคะ ร้านนี้ไม่ต้อนรับคนรักประชาธิปไตยนะคะ..."

หลังรายการดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่า แฟนคลับแขก คำ ผกา ต่างออกมาบอยคอตร้านน้ำพริกนิตยาจำนวนมาก รวมทั้งเพจเฟซบุ๊กของร้านยังมีคนที่สนับสนุนแขก คำ ผกา ตามไปทัวร์ลงอีกด้วย กล่าวหาว่าไม่แยกแยะเรื่องการเมือง ด้อยค่าว่าเป็นสลิ่ม และสาปแช่งให้ร้านตกอับ ขายไม่ได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม กระแสได้ตีกลับ เพราะผู้ที่ได้ดูคลิปรายการจำนวนมาก ต่างเข้าใจเจ้าของร้าน เนื่องจากเห็นชัดเจนว่า เจ้าของร้านพูดสุภาพมาก และให้เหตุผลว่า ขอดูรายการก่อน ไม่ได้พูดว่า ไม่ต้อนรับเสื้อแดงอย่างที่แขก คำ ผกา อ้างแต่อย่างใด นอกจากนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังส่งผลให้ออเดอร์สั่งซื้อน้ำพริกจากร้านนิตยาเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จนสินค้าหมด ขายไม่ทัน รวมถึงยอดติดตามเพจของร้านน้ำพริกก็พุ่งสูงขึ้นมากเช่นกัน โดยเพิ่มจาก 5,000 กว่าคน เป็น 8.9 หมื่นคน

ทั้งนี้ หลานสาวของเจ้าของร้าน ได้ชี้แจงโดยยืนยันว่า "คุณป้าไม่เคยยุ่งกับการเมืองเลย ไม่รู้จักคุณแขก ไม่มีแม้กระทั่ง Facebook account ลองคิดดูสิคะว่า ถ้าท่านซีเรียสกับการเมือง แล้วท่านจะตกลงให้สัมภาษณ์ตั้งแต่แรกทําไม คุณป้าเปิดบ้านที่เชียงใหม่ให้คนมานั่งสมาธิ และพักฟรีทานฟรีมา 20 กว่าปีแล้ว ไม่เคยถามถึงทางเลือกทางการเมือง ในคลิปนี้คุณป้าไม่ได้พูดเลยนะคะว่าไม่ต้อนรับเสื้อแดง ถ้ารังเกียจแล้วจะจัดอาหารรองรับไว้ให้ทำไม ขอร้องว่าอย่ากล่าวหาท่านผิดๆ ท่านอาจแยกไม่ออกตาม ที่ได้ยินมาว่ารายการของคุณแขก เป็น lifestyle TV หรือ political TV กันแน่ ซึ่งคุณป้าเห็นตามสมควร แล้วว่าควรทำตัวเป็น กลางซึ่งทำให้ทุกๆ คนเข้าใจผิดแล้วกลายเป็นดรามาของสังคม"

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุการณ์ทัวร์ลงร้านน้ำพริกนิตยาจากผู้สนับสนุนแขก คำ ผกา ทำให้หลายภาคส่วนในสังคม ได้ออกมาสะท้อนความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมสนับสนุนร้านน้ำพริกนิตยา เช่น ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Fuangrabil Narisroj” หรือนายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเล่าว่า “สมัยเรียน มธ.จะต้องแวะมาซื้อของที่ร้านน้ำพริกนิตยา” เพื่อซื้อน้ำพริก อาหาร ขนม กลับไปให้แม่ตลอดเพราะอร่อยมาก ตอนที่ไปประจำการต่างประเทศทุกครั้ง ผมก็ต้องไปซื้อน้ำพริก พริกแกงรสชาติต่างๆ เอาไปใช้ในต่างประเทศเวลาต้องทำอาหารเลี้ยงรับรองแขกต่างชาติ ซึ่งทุกคนก็เอ่ยปากชมว่าอาหารไทยอร่อยมาก"

"ร้านน้ำพริกนิตยาถือเป็น Soft Power ที่สำคัญอีกรูปแบบหนึ่งในการช่วย PR ให้อาหารไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ขอให้กำลังใจคุณป้าเจ้าของร้าน และขอ PR ให้ช่วยกันไปอุดหนุน “ร้านน้ำพริกนิตยา” กันด้วยครับ ปล.ข่าวว่าตอนนี้กำลังมีทัวร์ไปลงที่ร้าน เลยฝากช่วยร้านกันหน่อยครับ”

ทั้งนี้ หลายฝ่ายอดสงสัยไม่ได้ว่า การที่แขก คำ ผกา ไม่ชอบใจและอ้างว่า เจ้าของร้านนิตยาไม่ต้อนรับคนเสื้อแดง เป็นเพราะเห็นว่าคุณป้าเจ้าของร้านใส่สร้อยที่ห้อยเหรียญที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือไม่?

2.ที่ประชุม ก.อ.มีมติตั้ง คกก.สอบวินัยร้ายแรง "เนตร นาคสุข" สั่งไม่ฟ้อง "บอส วรยุทธ" โทษถึงขั้นไล่ออก!


เมื่อวันที่ 21 ก.ย. นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ได้เป็นประธานการประชุม ก.อ. โดยมีวาระสำคัญเกี่ยวกับผลสรุปการสอบสวนทางวินัยนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กรณีที่นายเนตรมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ผู้ต้องหา คดีขับรถยนต์หรูชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อดีต ผบ.หมู่ฝ่ายป้องกันและปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิต ขณะขี่รถจักรยานยนต์ เมื่อเช้ามืดวันที่ 3 ก.ย.2555 ซึ่งคณะกรรมการสอบวินัยชุดที่มีนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธานมีความเห็นก่อนหน้านี้ว่า นายเนตรผิดวินัยไม่ร้ายแรง เนื่องจากไม่พบการทุจริต แต่เป็นความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ เห็นควรงดบำเหน็จหรือไม่เลื่อนขั้นเป็นระยะเวลา 2 ปี และไม่เสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอัยการอาวุโส

โดยการประชุม ก.อ.ครั้งนี้ มีการเลื่อนประชุมมาจากเมื่อวันที่ 10 ก.ย. เนื่องจาก ก.อ.บางคนยังไม่ได้รับเอกสารสรุปผลสอบ ทำให้ ก.อ.บางคนได้รับเอกสารช้า และเอกสารมีจำนวนมากนับร้อยหน้า ทำให้ไม่สามารถอ่านเอกสารได้ทัน นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีวาระการประชุมสำคัญกรณีที่นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) ซึ่งจะเกษียณอายุราชการ 65 ปี ในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการ แจ้งความประสงค์ ไม่ขอเป็นอัยการอาวุโส ให้ที่ประชุม ก.อ. พิจารณาอีกด้วย

โดยหลังประชุมเเล้วเสร็จ นายพชร กล่าวว่า กรณีนายเนตร ที่ประชุม กอ. มีมติ 9 เสียงว่านายเนตร ขาดความรอบคอบ ประมาทเลินเล่อ อย่างค่อนข้างร้ายแรง ซึ่งจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงต่อไป โดยวินัยร้ายเเรงมีโทษทางราชการ โทษสูงสุดคือการไล่ออก หากผู้เสียหายไม่พอใจ ไม่เห็นด้วยสามารถฟ้องต่อศาลปกครองได้

ทั้งนี้ ตามระเบียบ แม้ในอนาคต หากนายเนตรจะลาออกจากราชการก็ไม่มีผล เพราะยังสามารถสอบสวนวินัยร้ายแรงได้ แต่มีระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน โดยที่ประชุม ก.อ.ได้ตั้งนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อดีตอธิบดีสำนักงานอัยการคดีพิเศษ เป็นประธานคณะกรรมการสอบวินัยนายเนตร และหลังจากนี้นายธนพิชญ์จะเป็นคนหากรรมการ อีก 2 คน เเละเลขานุการฯ อีก 1 คน

นายพชร กล่าวว่า วันนี้ถือว่าได้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงนายเนตรแล้ว จะมีระยะเวลาสอบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้น 60 วัน และสามารถขอขยายระยะเวลาได้อีก 2-3 ครั้ง จะสอบในประเด็นการสั่งคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ส่วนประเด็นที่นายเนตรจะยื่นหนังสือลาออกอีกเป็นครั้งที่ 2 นั้น เป็นอำนาจของอัยการสูงสุดจะพิจารณา สำหรับประเด็นที่นายวงศ์สกุล อัยการสูงสุด ยื่นหนังสือต่อ ก.อ.ว่าไม่ประสงค์จะเป็นอัยการอาวุโส ที่ประชุม ก.อ.ได้พิจารณาแล้ว และอนุมัติ โดยจะพ้นวาระการเป็นข้าราชการในวันที่ 30 ก.ย. นี้

เมื่อถามว่า ทาง ก.อ.จะส่งมติว่านายเนตรผิดร้ายแรงให้ทาง ป.ป.ช.หรือไม่ นายพชร กล่าวว่า ทั้งอัยการและ ป.ป.ช. ต่างคนต่างสอบ และอาจมีการรวมสำนวนกันในอนาคตก็ได้ ส่วนกรณีที่มีอัยการเกี่ยวข้องกับเรื่องการเปลี่ยนเเปลงความเร็วนั้น ทางคณะกรรมการสอบวินัยร้ายเเรงนายเนตรที่ตั้งขึ้นมาใหม่ก็จะสอบสวนในประเด็นนี้ไปด้วย หลังจากนั้นก็จะนำเสนอผลสอบให้ ก.อ. พิจารณาลงโทษอัยการคนดังกล่าวด้วย

นายพชร เผยด้วยว่า สำหรับการประชุมวันนี้มีคณะกรรมการอัยการเข้าร่วมประชุม 13 คน จาก 15 คน เนื่องจากลา 2 คน โดยผลการลงมติ เห็นควรให้สอบสวนวินัยร้ายเเรงนายเนตร 9 เสียง เเละงดออกเสียง 3 เสียง คือ นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์, นายไชยา เปรมประเสริฐ รอง อสส. ส่วนนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ ในฐานะประธานกรรมการสอบฯ ต้องออกจากห้องประชุม เเละตนในฐานะเป็นประธาน ก.อ.ก็งดออกเสียง เนื่องจากไม่ใช่การชี้ขาด

ด้านนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ ประธานกรรมการสอบวินัยร้ายแรงนายเนตร เผยว่า ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานสอบวินัยร้ายแรง ตนจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตรวจสอบได้ อย่างที่ตนเคยทำ ระหว่างการสอบจะให้ใครมาแทรกแซงการสอบไม่ได้ จะมาขอรู้ผล ขอทราบความคืบหน้าไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกา ตนเป็นนักกฎหมาย นักกฎหมายทำอะไรตามกฎ เมื่อมีกฎมีข้อบังคับก็ทำตามนั้น สำหรับนายเนตรนาคสุข เป็นอัยการรุ่นน้อง และเป็นรุ่นน้องสมัยเรียนมัธยมด้วย เขาเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อย ก็เป็นรุ่นพี่รุนน้องกันก็รักกัน แต่ว่าถึงคราวจะต้องสอบ เราก็ต้องสอบ

3. ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ยกฟ้องวิศวกร คดีแก๊สระเบิดชั้นใต้ดินตึก SCB คนงานตาย 8 ศพ ปี 59 ชี้ปฏิบัติตามหน้าที่แล้ว!



เมื่อวันที่ 23 ก ย. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีสารเคมีระบบดับเพลิง ไพโรเจนฟุ้งกระจายจนมีผู้เสียชีวิต ที่สำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เมื่อคืนวันที่ 13 มี.ค.2559 จนมีผู้เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บ

ซึ่งคดีดังกล่าว พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 7 และครอบครัวของนายวิรัช ดีดพิณ, นายพีรพัฒน์ กอยประโคน, น.ส.กรรณิการ์ ประจิตร์ หรือสินศิริ คนงานที่เสียชีวิตระหว่างติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัย ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย ณ.พงษ์ สุขสงวน ประธานกรรมการบริษัท เมก้า แพลนเน็ต จำกัด, นายอดิศร โฟดา ผู้บริหาร บจก.เมก้าแพลนเน็ต, นายจิระวัฒน์ เปรมปรีดิ์ วิศวกรโครงการปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยของ บจก.เมก้าฯ, นายสมคิด ตันงาม กรรมการ บจก.โจนส์ แลงฯ, นายสมคิด จันทร์หอม หัวหน้าช่าง บจก.โจนส์ แลงฯ, นายตรีภพ ยังประเสริฐกุล ผู้จัดการดูแลอาคาร บจก.โจนส์ แลงฯ, น.ส.ขจรจิตร พรหมดีราช พนักงานบริษัท เอบิต มัลติซิสเต็ม จำกัด ที่รับช่วงต่อจาก บจก.เมก้า แพลนเน็ต ควบคุมดูแลการวางท่อระบบดับเพลิงภายในอาคาร, นายบุญเสริม กระจาด วิศวกร บจก.เอบิต มัลติซิสเต็ม ที่คุมคนงาน, บริษัท เมก้า แพลนเน็ต จำกัด โดย นาย ณ พงษ์ สุขสงวน และนายอดิสร โฟดา กรรมการผู้มีอำนาจ, บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด โดย นายสมคิด ตันงาม กรรมการผู้มีอำนาจ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานร่วมกันกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2560 ว่า แม้จำเลยที่ 1-2 ซึ่งเป็นผู้บริหาร บจก.เมก้าฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่มีหน้าที่กำกับดูแลให้ บจก.เมก้าฯ จำเลยที่ 9 รักษาความปลอดภัย ขณะที่นายจิระวัฒน์ วิศวกรโครงการปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยของ บจก.เมก้าฯ จำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้างาน มีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลความปลอดภัย แต่กระทำโดยประมาทไม่ปิดระบบดับเพลิงเดิม ไม่ควบคุมในที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1, 2, 3, 9 จึงมีความประมาทร่วมด้วยทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตขึ้น ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทหนักสุด จำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 2 ปี และปรับคนละ 20,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1-3 ไม่เคยต้องโทษมาก่อน อีกทั้งความประมาทที่เกิดขึ้นในการปิดระบบดับเพลิงเดิม ก็นอกเหนือจากความสามารถของจำเลย จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลย โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้คนละ 2 ปี

ส่วน บจก.เมก้าฯ จำเลยที่ 9 ให้ปรับ 20,000 บาท และจำเลยที่ 1-3 และ 9 ให้ร่วมกันชดใช้เงินญาติผู้ตายที่เป็นโจทก์ร่วมด้วย 5 คน รวม 2.1 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันเกิดเหตุ 13 มี.ค.2559 ส่วนจำเลยที่ 4-8 และ 10 พิพากษายกฟ้อง หลังจากนั้น อัยการโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์

ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2562 เป็นว่า ให้ยกฟ้องนาย ณ.พงษ์ และนายอดิศร จำเลยที่ 1-2 และยกคำร้องที่บังคับให้จำเลยที่ 1-2 ชดเชยค่าสินไหมทดแทนด้วย ให้นายจิระวัฒน์ จำเลยที่ 3 และบริษัท เมก้าฯ จำเลยที่ 9 ชำระดอกเบี้ย แก่โจทก์ร่วมที่ 1 นับจากวันฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หลังจากนั้น พนักงานอัยการโจทก์และโจทก์ร่วม รวมทั้งจำเลยที่ 3, 9 ได้ยื่นฎีกา

ทั้งนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า นายจิระวัฒน์ จำเลยที่ 3 วิศวกรโครงการปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยของ บจก.เมก้าฯ ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ โดยก่อนเข้าไปพื้นที่ ก็ได้มีการขออนุญาตและแจ้งให้มีการปิดระบบดับเพลิงแล้ว จากคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า ระบบไพโรเจนน่าจะเสื่อมสภาพ จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 9 จึงไม่ต้องชดเชยค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 พิพากษายกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หลังศาลอ่านคำพิพากษายกฟ้อง นายจิระวัฒน์ จำเลยที่ 3 และผู้บริหารบริษัท เมก้า แพลนเน็ต จำกัด จำเลยที่ 9 ต่างมีใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ ก่อนพากันขึ้นรถเดินทางกลับไปโดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด

4. "บิ๊กตู่" ขอบคุณแพทย์-จนท.-ปชช. ฉีดวัคซีนวันเดียวทะลุ 1.4 ล้านโดส ด้าน ศบค.ชุดใหญ่จ่อคลายล็อก 10 กิจกรรม-ขยับเคอร์ฟิว 4 ทุ่มถึงตี 4 !



สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันมีแนวโน้มลดลง โดยวันที่ 20 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 12,709 ราย มีผู้เสียชีวิต 106 ราย, วันที่ 21 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,919 ราย มีผู้เสียชีวิต 143 ราย, วันที่ 22 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,252 ราย มีผู้เสียชีวิต 141 ราย, วันที่ 23 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,256 ราย มีผู้เสียชีวิต 131 ราย, วันที่ 24 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 12,697 ราย มีผู้เสียชีวิต 132 ราย และล่าสุด 25 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,975 ราย มีผู้เสียชีวิต 127 ราย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา เป็น "วันมหิดล" ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งเป้ารณรงค์ฉีดวัคซีนต้านโควิดให้ประชาชนให้ได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านโดสในวันดังกล่าว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน” ที่ทรงมีคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ โดยมีการระดมฉีดให้ประชาชน ทั้งกลุ่มที่เข้าฉีดเข็มแรก เข็ม 2 และกลุ่มที่ควรได้รับการกระตุ้นเข็ม 3 คือกลุ่มที่ได้รับเข็ม 1-2 เป็นวัคซีนซิโนแวค เมื่อเดือน มี.ค.-พ.ค. จะได้รับเข็มกระตุ้นเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน ซึ่งในที่สุด ก็สามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ทั่วประเทศในวันที่ 24 ก.ย. ทะลุ 1.4 ล้านโดส

ล่าสุด วันนี้ (25 ก.ย.) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณประชาชน บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ร่วมมือร่วมใจกันเข้ารับและให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทำให้เมื่อวันที่ 24 ก.ย. สร้างสถิติยอดฉีดวัคซีนรายวันสูงสุดที่ 1,443,582 โดส เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันมหิดล

นายธนกร เผยด้วยว่า การฉีดวัคซีน 1.4 ล้านโดสดังกล่าว แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 947,290 โดส เข็มที่ 2 จำนวน 320,864 โดส รวมถึงการฉีดเข็มที่ 3 และ 4 กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้ไทยมียอดการฉีดวัคซีนสะสมแล้วกว่า 50 ล้านโดส โดยนายกรัฐมนตรียังเชื่อมั่นในศักยภาพสาธารณสุขไทย จะสามารถบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส คิดเป็น 50 ล้านคน หรือร้อยละ 70 ของประชากรกลุ่มเป้าหมาย ภายในปี 2564 นี้

“นายกรัฐมนตรีฝากขอบคุณประชาชนทุกคนที่เข้ารับการฉีดวัคซีน และชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในทุกพื้นที่ ที่ทำงานแม้จะเป็นวันหยุดราชการ ให้บริการประชาชนที่เข้ามารับการฉีดวัคซีนตามจุดบริการต่าง ๆ นายกรัฐมนตรียังให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลเดินหน้าตามแผนการจัดหาและกระจายวัคซีน เพื่อลดความรุนแรงในการเจ็บป่วยและเสียชีวิตในประชากรกลุ่มเสี่ยง ที่สำคัญยิ่ง คือ หนุนการกลับมาการประกอบกิจการ/กิจกรรม เตรียมพร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รองรับการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ด้วย”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลว่า การประชุม ศบค. ชุดใหญ่ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ก.ย.นี้ จะมีการพิจารณาขยายการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต่อไปอีก 2 เดือน จากเดิมที่จะสิ้นสุดปลายเดือน ก.ย. รวมถึงเตรียมพิจารณาปรับช่วงเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) จาก 21.00-04.00 น. เป็นเวลา 22.00-04.00 น.

นอกจากนี้ ยังเตรียมพิจารณาข้อเสนอให้ผ่อนคลายกิจการกิจกรรม 10 ประเภท ได้แก่ 1.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และวัยก่อนเรียน 2.ห้องสมุดสาธารณะเอกชนและชุมชน 3. พิพิธภัณฑ์ แหล่งประวัติศาสตร์ โบราณสถาน 4.ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม หอศิลป์ 5.การแข่งขันหรือเล่นกีฬาในร่ม หรือในห้องที่มีระบบปรับอากาศ กิจการฟิตเนส 6.ร้านทำเล็บ 7.ร้านสัก 8. ร้านนวด สปาเพื่อสุขภาพ 9.โรงภาพยนตร์ และ 10.การเล่นดนตรีในร้านอาหาร

นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค. ยังเตรียมพิจารณาตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอปรับลดระยะเวลาในการกักกัน การทำกิจกรรมในสถานที่กักกัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2564 โดยผู้ที่มาจากต่างประเทศแล้วเข้ามาในราชอาณาจักรไทยทุกช่องทาง โดยมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบตามเกณฑ์อย่างน้อย 14 วัน ให้กักตัวอย่างน้อย 7 วัน และต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 2 ครั้ง ครั้งแรก วันที่ 0-1 และครั้งที่ 2 วันที่ 6-7

ส่วนผู้เข้าราชอาณาจักรผ่านช่องทางอากาศ โดยไม่มีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน ต้องกักตัวอย่างน้อย 10 วัน และต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 2 ครั้ง ครั้งแรก วันที่ 0-1 ครั้งที่ 2 วันที่ 8-9 และผู้ที่เข้าราชอาณาจักรช่องทางบก โดยไม่มีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน ต้องกักตัวอย่างน้อย 14 วัน และตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 0-1 ครั้งที่ 2 วันที่ 12-13

อีกทั้งเตรียมพิจารณาการเลื่อนกำหนดการเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวนำร่อง (แซนด์บ็อกซ์) ในพื้นที่ 5 จังหวัด กรุงเทพฯ, ชลบุรี, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, เชียงใหม่ จากวันที่ 1 ต.ค. เลื่อนไปเป็นวันที่ 1 พ.ย. รวมถึงจะพิจารณาแนวทางการเปิดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวพื้นที่สีฟ้า ซึ่งเป็นการเปิดให้เดินทางท่องเที่ยวได้ทั้งจังหวัด โดยรูปแบบการท่องเที่ยวขึ้นอยู่กับลักษณะและความพร้อมของพื้นที่ ซึ่งสามารถท่องเที่ยวได้ เฉพาะสถานที่หรือพื้นที่ หรือระหว่างสถานที่หรือพื้นที่โดยมีการเดินทางแบบควบคุม (Sealed Route)

5. ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก "สุธรรม มลิลา" อดีต ผอ.องค์การโทรศัพท์ฯ 6 ปี คดีแก้ไขสัมปทานเอื้อประโยชน์เอไอเอส สั่งชดใช้ 4.6 หมื่นล้าน!



เมื่อวันที่ 21 ก.ย. สำนักข่าวอิศรารายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปี นายสุธรรม มลิลา อดีตผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) และให้ชดใช้เงินกว่า 46,855 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นกว่า 3,030 ล้านบาท นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.2559 ในคดีแก้ไขสัมปทานเพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid Card) ให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) โดยมิชอบ

คดีนี้ นายสุธรรม ได้ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติชี้มูลความผิดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2557 และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฏหมาย

โดยคำฟ้องสรุปว่า จำเลยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ทศท. ทำหน้าที่บริหารงานภายในองค์กร มีหน้าที่ปฏิบัติงานก่อให้เกิดประโยชน์แก่องค์กร เมื่อระหว่างวันที่ 12 เม.ย.2544-15 พ.ค.2544 จำเลยปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการและกรรมการ ทศท. โดยตำแหน่ง กระทำความผิดกฎหมายหลายบท โดยทำสัญญาอนุญาตให้บริษัทเอไอเอสดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งสัญญากำหนดว่า เอไอเอสจะต้องลงทุนอุปกรณ์ทั้งหมด และยกให้ ทศท. ก่อนที่จะนำไปให้บริการแก่ผู้ใช้บริการ และกำหนดให้เอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์ปีที่ 1-5 อัตราร้อยละ 15 ปีที่ 6-10 อัตราร้อยละ 20 ปีที่ 11-15 อัตราร้อยละ 25 และปีที่ 16-20 อัตราร้อยละ 30

ขณะที่เอไอเอสมีหนังสือลงวันที่ 22 ม.ค. 2544 ถึงผู้อำนวยการ ทศท. ขอให้พิจารณาปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า โดยให้เหตุผลว่า ทศท. ปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายกรณีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (Tac) จากเดิมอัตราร้อยละ 200 ต่อเลขหมาย ต่อเดือน เป็นอัตราร้อยละ 18 ของหน้าบัตร แต่นายวิเชียร นาคสีนวล ผอ.บริหารผลประโยชน์ เห็นว่า กรณีมิใช่เป็นการปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่าย แต่เป็นการกำหนดอัตราค่าเชื่อมโยงขึ้นใหม่ และมิใช่การลดส่วนแบ่งรายได้ เหตุผลไม่สมเหตุผล จึงไม่พิจารณาปรับลดส่วนแบ่งรายได้ และเมื่อเทียบกับเงินที่บริษัท Tac จ่ายให้บริษัท กสท. และ ทศท. แล้ว บริษัท Tac จ่ายเงินมากกว่าที่เอไอเอสจ่ายให้ ทศท.

ต่อมา มีการจัดทำกรณีศึกษาแบบอัตราก้าวหน้าและอัตราคงที่ เสนอต่อนางทัศนีย์ มโนรถ รองผู้อำนวยการ ทศท. และนายสายัณห์ ถิ่นสำราญ ผอ.การเงินและงบประมาณได้สั่งให้ศึกษาเพิ่มเติม โดยหลังจากมีการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองวาระการประชุมแล้ว ได้รับข้อเสนอของเอไอเอส และกำหนดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าในอัตราร้อยละ 20 คงที่ตลอดอายุสัญญา และจำเลยได้สั่งการให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ทำเอกสารเสนอกรรมการ ทศท.ให้ทันการประชุมครั้งต่อไป

ซึ่งการประชุม ทศท. ครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2544 ที่ประชุมมีความเห็นว่า ที่เอไอเอสขอลดส่วนแบ่งรายได้จากอัตราร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 20 นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมแล้ว ทศท. และประชาชนน่าจะได้รับประโยชน์โดยตรง จึงมีมติเห็นชอบส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรจ่ายเงินล่วงหน้าวันทูคอลที่ ทศท.จะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตร โดยมีเงื่อนไขให้ ทศท. เจรจากับเอไอเอสให้ได้ข้อยุติก่อน

ส่วนการนำส่งส่วนแบ่งรายได้ให้ ทศท. เป็นรายเดือน และการนำผลประโยชน์ที่เอไอเอสได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการโดยตรง ให้กำหนดเงื่อนไขท้ายสัญญา และให้ ทศท.ติดตามผลการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ล่วงหน้า เพื่อเป็นข้อมูลปรับปรุงหลักเกณฑ์เก็บส่วนแบ่งในโอกาสต่อไป แต่จำเลยมิได้ดำเนินการเสนอผลการศึกษาข้อมูลเพื่อพิจารณาทบทวนอัตราส่วนแบ่งรายได้ของเอไอเอสให้คณะกรรมการ ทศท.พิจารณาอีกครั้ง ตามมติคณะกรรมการ ทศท. จนกระทั่งคณะกรรมการ ทศท.ทั้ง 7 คน พ้นจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค.2545

และจำเลยในฐานะผู้อำนวยการ ทศท. ได้ลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาอนุญาตดำเนินกิจการครั้งที่ 6 ให้กับเอไอเอส และกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ชื่อ วันทูคอล ให้เอไอเอสแบ่งส่วนรายได้อัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตร ทำให้ ทศท.ได้รับส่วนแบ่งรายได้น้อยลงจากเดิมที่ได้รับตามสัญญาหลักในอัตราร้อยละ 25-30

เมื่อเปรียบเทียบส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาหลักกับสัญญาที่แก้ไข ทำให้ ทศท.สูญเสียรายได้ 17,848,130,000 บาท และสูญเสียรายได้ในอนาคตถึงสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน อีกเป็นเงิน 53,490,900,000 บาท รวมเป็นเงิน 71,339,030,000 บาท ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่า การแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมครั้งที่ 6 เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอไอเอส ตามคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ระหว่างอัยการสูงสุดกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และตามรายงาน ปปช.

การที่จำเลยปิดบังข้อเท็จจริงของฝ่ายบริหารผลประโยชน์ของ ทศท. ที่ได้มีความเห็นเสนอจำเลยว่า บริษัท Tac ต้องจ่ายให้ภาครัฐมากกว่าเอไอเอส จำเลยย่อมทราบข้อมูลความแตกต่างการพิจารณาการขอลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ของเอไอเอสเป็นอย่างดีแล้ว แต่มิได้นำเสนอข้อมูลดังกล่าวเสนอให้ ทศท. ทราบถึงความแตกต่าง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 มาตรา 157

ทั้งนี้ บริษัท ทีโอที จำกัด ได้ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 จากการที่จำเลยลงนามข้อตกลงครั้งที่ 6 กับบริษัทเอไอเอส เป็นผลให้ผู้ร้องสูญเสียรายได้ คิดเป็นเงิน 66,060,686,735.94 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงิน 93,710,927,981.84 บาท

ด้านจำเลยให้การปฏิเสธ ก่อนที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง จะพิพากษาให้ยกฟ้อง และยกคำร้องของบริษัท ทีโอที ผู้ร้อง ขณะที่นายอำนาจ พวงชมภู อธิบดีศาลทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในขณะนั้น ได้ทำความเห็นแย้งโดยเห็นควรให้ลงโทษจำเลย หลังจากนั้น โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา

ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) จำคุก 9 ปี แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำเข้าไต่สวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 6 ปี และให้จำเลยชำระเงิน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 33,030,343,367.97 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.2559 กระทั่ง ในที่สุด ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์


กำลังโหลดความคิดเห็น