นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก “ทนายคลายทุกข์” เกี่ยวกับคำถามในโลกโซเชียลว่า หากอดีตผู้กำกับโจ้เป็นไบโพลาร์ต้องรับโทษหรือไม่ เจ้าตัวระบุต้องรับโทษ เพราะหากผู้กำกับโจ้เป็นโรคจิตสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่น่าจะแต่งตั้งเป็นผู้กำกับการ
จากกรณี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ถูกร้องเรียนว่าเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในพื้นที่เป็นเงินจำนวน 2 ล้านบาท แต่ผู้ต้องหายาเสพติดชื่อว่า นายจิระพงศ์ อายุ 24 ปี ไม่ยินยอมเพราะจ่ายได้แค่ 1 ล้านเท่านั้น จึงถูก ผกก.นายดังกล่าวใช้ถุงดำคลุมศีรษะจนเป็นเหตุให้ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตในที่สุด ภายหลังเกิดเหตุ ผกก.ก็ได้มีการบังคับให้ลูกน้องทำสำนวนในเชิงผู้ตายเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ ตามที่ได้รายงานข่าวไปแล้วนั้น
นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ผู้กำกับโจ้ หรือ พ.ต.ต.ธิติสรรค์ มีประวัติเคยรักษาโรคไบโพลาร์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และต้องกินยารักษาอยู่เรื่อยๆ โดยหลายฝ่ายเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ผู้ต้องหาอาจนำประเด็นนี้มาใช้ต่อสู้ในชั้นศาล
ล่าสุดวันนี้ (31 ส.ค.) นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ทนายคลายทุกข์” เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า “อดีตผู้กำกับโจ้อ้างไบโพลาร์เพื่อไม่ต้องรับโทษ ได้หรือไม่” โดยนายเดชาได้อธิบายว่า
“ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65 การที่ผู้กระทำความผิดจะไม่ต้องรับโทษต้องเป็นกรณีที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เลย เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน
แต่ถ้ารู้ผิดชอบอยู่บ้าง บังคับตัวเองได้บ้างยังต้องรับโทษ แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ แต่ถ้าขณะกระทำความผิดรู้ผิดชอบ บังคับตนเองได้ ต้องรับผิดเต็มตามที่กฎหมายกำหนดไม่สามารถลดโทษหรือไม่ต้องรับโทษ ส่วนตัวผมเห็นว่าต้องรับโทษ เพราะหากผู้กำกับโจ้เป็นโรคจิตสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่น่าจะแต่งตั้งเป็นผู้กำกับการนะครับ ความเห็นส่วนตัว”
ล่าสุดมีรายงานเพิ่มเติมว่า มีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์เข้าประเมินสภาพจิตใจอดีต ผกก.โจ้แล้วไม่พบป่วยเป็นจิตเวช แต่ทราบว่าอดีต ผกก.โจ้ กับพวกมีอาการเครียดและซึมเศร้า คาดว่าเกี่ยวข้องกับคดีความ นอนไม่ค่อยหลับ แพทย์จึงได้จัดยาเพื่อคลายความกังวลและช่วยให้นอนหลับได้ ทั้งนี้กำลังเริ่มปรับตัวหลังเข้ามาอยู่ในเรือนจำได้บ้างแล้ว