ในปี ๒๔๘๓ ที่เกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ไม่มีคนไทยคนไหนแม้แต่เด็กจะไม่รู้จักชื่อ “ศานิต นวลมณี” เสืออากาศไทยที่สามารถรวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศให้รักชาติและชื่นชมในวีรกรรมของเขา
ศานิต นวลมณีเป็นชาวอุดรธานี เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมที่ ร.ร.อุดรพิทยานุกูลแล้ว ได้เข้าเรียนต่อเตรียมอุดมที่ ร.ร.เทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ จากนั้นได้เข้าเป็นศิษย์การบินของกองทัพอากาศ และจบการศึกษาในปี ๒๔๘๑ ได้ประดับยศเรืออากาศตรี
ตอนจะเกิดสงครามอินโดจีน ฝรั่งเศสเมืองแม่ถูกเยอรมันบุกยึดครองไปแล้ว ฝรั่งเศสเกรงว่าไทยจะถือโอกาสแก้แค้นส่งทหารเข้ายึดดินแดนในอินโดจีนคืน จึงส่งทหารเข้าข่มขู่ตามชายแดนหวังจะให้ไทยเกรงกลัวอย่างที่เคยทำมาตลอด เมื่อสถานการณ์ชายแดนด้านแม่น้ำโขงไม่น่าไว้วางใจ กองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินขับไล่จำนวนมากไปประจำที่สนามบินอุดรธานี อุบลราชธานี และนครพนม เมื่อเครื่องบินฝรั่งเศสล่วงล้ำเข้ามา เครื่องบินไทยก็บินขึ้นไปขับไล่ ฝรั่งเศสก็หนีไปทุกครั้ง
จนในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๓ เวลา ๐๘.๐๐ น.ฝรั่งเศสได้ส่งฝูงบินเข้ามาทิ้งระเบิดนครพนม เรืออากาศตรีศานิต นวลมณี ซึ่งประจำการอยู่ที่สนามบินหนองขอนกว้าง หรือสนามบินอุดรธานีในปัจจุบัน ได้รับคำสั่งให้นำเครื่องบินคอร์แซร์ที่ไทยสร้างเองขึ้นสกัด โดยมี จ.ท.ประยูร สุกุมลจันทร์ เป็นพลปืนหลัง เครื่องบินโมรานของฝรั่งเศส ๕ เครื่องจึงเข้ารุมทันที พอดีกับที่ พ.จ.อ.ทองใบ พันธุ์สบาย กับ จ.อ.นาม พุ่มรุ่งเรือง นำ ฮอล์ค ๓ เครื่องบินที่ไทยสร้างเองอีกเช่นกัน ๒ เครื่องขึ้นมาช่วย ยุทธการเวหา ๕ ต่อ ๓ จึงเกิดขึ้นเหนือท้องฟ้าจังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ไทยทำสงครามทางอากาศ และเลือกคู่เอาจ้าวเวหาของยุโรปเสียด้วย หลังการต่อสู้นาน ๒๐ นาที ฝรั่งเศสก็หย่อนระเบิดใส่นครพนมได้ ๓ ลูก แล้วบินข้ามโขงกลับไป โดยมีโมรานเครื่องหนึ่งถลาเข้าไปตกในเขตท่าแขกของตน ส่วนเครื่องบินไทยทำไทยใช้ทั้ง ๓ เครื่องกลับลงสนามได้อย่างปลอดภัย
ต่อมาในวันที่ ๘ ธันวาคม เรืออากาศโทศานิต นวลมณี ที่เพิ่งประดับยศใหม่ ได้รับคำสั่งให้ไปโจมตีสนามบินเวียงจันทน์ตอบแทนฝรั่งเศส และออกบินจากสนามบินอุดรธานีไปในเวลา ๖.๐๐ น. แม้ข้าศึกจะเตรียมปืนกลต้อนรับอย่างหนาแน่น ตั้งรังปืนตั้งแต่บนถังน้ำประปาริมฝั่งโขง แต่เรืออากาศโทศานิตก็ฝ่าห่ากระสุนลงทิ้งระเบิดในระยะต่ำเพียง ๒๐๐ เมตร ทำให้ระเบิดเข้าเป้าได้อย่างแม่นยำ สร้างความเสียหายให้ข้าศึกอย่างหนักตามเป้าหมาย แม้เครื่องบินจะถูกยิงหลายแห่งแต่ก็ประคองตัวกลับมาลงสนามบินอุดรได้ และเมื่อสำรวจความเสียหายก็ปรากฏว่าถูกกระสุนปืนกลถึง ๒๐ แห่ง จนปลายปีกด้านซ้ายขาดกระจุย
ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ฝรั่งเศสส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดที่อุดรธานีตั้งแต่ ๐๕.๐๐ น. ทำให้ราษฎรเสียชีวิตไป ๓ คน และบาดเจ็บอีกหลายคน กองทัพอากาศจึงได้ส่งฝูงบินออกจากสนามบินอุดรไปตอบแทนทันที และได้รับการต้อนรับจากฝรั่งเศสเช่นเดิม แต่ก็ไม่ทำให้เสืออากาศไทยหวั่นไหว ปฏิบัติภารกิจอย่างไม่ย่อท้อ และได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ในปฏิบัติการครั้งนี้เครื่องบินของเรืออากาศโทศานิตถูกยิงเข้าที่ถังน้ำมันทำให้ไฟลุกไหม้ นักบินถูกไฟลวกและยังถูกยิงเข้าที่เข่าด้วย ส่วนพลปืนหลัง จ่าอากาศเอกเฉลิม ดำสัมฤทธิ์ถูกไฟลวกหนัก แต่ศานิตก็นำเครื่องบินข้ามโขงกลับมาได้ และกระโดดร่มลงที่หนองน้ำบ้านพรานพร้าว อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลทหารกรุงเทพ และเสียชีวิตในวันที่ ๒๓ ธันวาคมนั้น ขณะที่อายุได้ ๒๓ ปี
คนไทยทั้งประเทศได้ติดตามชื่อของศานิต นวลมณี มาตั้งแต่วันแรกที่ไทยทำสงครามเวหากับฝรั่งเศสอย่างห้าวหาญ ต่างสะใจที่ถูกฝรั่งเศสเอาเรือปืนเข้ามาข่มขู่ยึดเอาดินแดนไปมากมาย แม้ในตอนนั้นทั้ง ฮอร์ค ๓ และคอร์แซร์ที่ไทยซื้อลิขสิทธิ์จากอเมริกามาสร้างเอง และใช้มานานจนถือว่าตกรุ่นไปแล้ว แต่ฝรั่งเศสกำลังเป็นจ้าวเวหาของยุโรป และส่งเครื่องบินขับไล่แบบโมรันกับเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบฟาร์มัง ซึ่งเป็นแบบทันสมัยทั้งคู่มาประจำอยู่ในอินโดจีน มีความเร็วและสมรรถภาพสูงกว่าเครื่องบินไทยมาก แต่ฝรั่งเศสก็เสียเปรียบไทยตรงที่ใจนักบิน ที่รบเพื่อประเทศชาติ กับรบเพื่อรุกรานเขาในดินแดนที่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน นอกจากเสียงของคนไทยทั้งประเทศจะกระหึ่มเชียร์ทหารแล้ว เหล่าทหารต่างก็มีใจฮึกเหิมที่จะปกป้องแผ่นดินเกิดและศักดิ์ศรีคนไทย จนกระทั่งฝรั่งเศสต้องไปขอให้ญี่ปุ่นมาช่วยเจรจาสงบศึก
เมื่อมีการเซ็นสัญญาสงบศึกกันไปแล้ว คณะรัฐมนตรีก็ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณาการสร้างอนุสาวรีย์เชิดชูเกียรติของผู้เสียชีวิตในสงครามอินโดจีน และได้สร้างขึ้นที่บริเวณสี่แยกถนนราชวิถีจรดกับถนนพญาไทและต้นถนนพหลโยธิน ซึ่งตอนนั้นเรียกกันว่า “สี่แยกสนามเป้า” ให้ชื่อว่า “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” โดยมอบให้ ม.ล.ปุ่ม มาลากุล เป็นผู้ออกแบบ
อนุสาวรีย์เป็นรูปดาบปลายปืน อันเป็นอาวุธประจำกายของทหารเวลาเข้าประจัญบานถึงตัวข้าศึก จำนวน ๕ เล่ม ซึ่งหมายถึงนักรบ ๕ เหล่าในสงครามครั้งนี้ คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจสนาม และพลเรือน ตั้งเอาสันดาบจดกันหันคมดาบแยกออกเป็นรูปกลีบมะเฟือง ปลายดาบชี้ขึ้นบนสูงจากพื้นดิน ๕๐ เมตร ส่วนด้ามดาบตั้งอยู่เหนือเพดานห้องโถงซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิของผู้เสียชีวิต
ด้านนอกของโคนดาบปลายปืน มีรูปปั้นหล่อทองแดงขนาด ๒ เท่าของคนธรรมดา เป็นรูปของนักรบ ๕ เหล่าเช่นกัน จากฝีมือของศิลปินผู้ปั้นที่เป็นกลุ่มลูกศิษย์ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่ฐานเป็นแผ่นหินอ่อนจารึกนามผู้เสียชีวิตในการรบครั้งนี้ โดยตัวอักษรหล่อด้วยทองแดง เริ่มแรกมีรายชื่อเพียง ๑๖๐ คน จากสงครามอินโดจีน ต่อมาได้นำรายชื่อของผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ ๒ รวมทั้งเสรีไทย และผู้เสียชีวิตในสงครามเกาหลีมาบรรจุอยู่ด้วย รวมเป็น ๘๐๑ นาย คนเหล่านี้สละได้แม้แต่ชีวิตเพื่อชาติ
ศานิต นวลมณี ประกอบวีรกรรมในสงครามครั้งนี้ไว้แค่ไหน เขาจึงเป็นวีรบุรุษของคนทั้งชาติ ก็ดูได้จากการได้รับการเลื่อนยศจากผู้บังคับบัญชา คือ
วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๓ ได้รับการเลื่อนยศเป็น เรืออากาศโท
วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๓ ได้รับการเลื่อนยศเป็น เรืออากาศเอก
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๔๘๓ ได้รับการเลื่อนยศเป็น นาวาอากาศตรี และได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญ ดุษฎีมาลา เข็มกล้าหาญ
นาวาอากาศตรีศานิต นวลมณี ยังได้รับยกย่องนำชื่อมาตั้งชื่อฝูงบินอุดรว่า “ฝูงบินศานิต” ซึ่งเป็นฝูงบินแรกที่ได้รับประดับสายยงยศไหมสีเขียวประดับฝูง
นี่ก็คือเรื่องราวของวีรชนไทยคนหนึ่งซึ่งสละได้แม้แต่ชีวิต เช่นเดียวกับบรรพบุรุษในอดีตตลอดมา เพื่อให้ลูกหลานไทยมีประเทศอยู่อาศัยอย่างมีศักดิ์ศรีและมีความผาสุกมาจนถึงวันนี้