เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะที่ดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษแล้ว ระหว่างพระราชดำเนินกลับสู่สยามได้ทรงแวะเยี่ยมเยียนประเทศที่มีสัมพันธไมตรีใกล้ชิดกับไทย เสด็จออกจากท่าเรือเมืองเซาธ์แฮมตันเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๔๔๕ ถึงมหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ทรงได้พบกับประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลล์ และ พลเอกเจมส์ เอช วิลสัน แม่ทัพสำคัญคนหนึ่งในสงครามกลางเมืองอเมริกา จากนั้นเสด็จเยี่ยมสถาบันการศึกษาชั้นนำ อาทิเช่น โรงเรียนนายเรือแอนนาโปลิส โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยท์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทั้งยังได้ทอดพระเนตรอาคารรัฐสภา ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค และโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งสภาพบ้านเมืองจากฝั่งตะวันออกไปจรดฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
จากสหรัฐอเมริกา เสด็จออกจากท่าเรือเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกสู่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงกรุงโตเกียว ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระจักพรรดิเมจิและพระจักรพรรดินีโชเกน พร้อมทั้งมกุฎราชกุมารโยชิฮิโตและพระราชวงศ์ญี่ปุ่นหลายพระองค์ นับเป็นครั้งแรกที่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์ไทยกับพระราชวงศ์ญี่ปุ่นที่ยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชยังได้พระราชดำเนินทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นและอารามในพระพุทธศาสนาและศาสนาชินโตหลายแห่ง ทรงปลูกต้นสนเป็นที่ระลึกไว้ที่ลานหน้าพระพุทธรูปใหญ่ “ไดพุตสุ” ที่กามากูระ และที่หน้าประตูวัดพุทธศาสนาในเมืองโยโกฮามา รวมทั้งที่ชาลาวัดนิตไทจิ หรือวัดไทย-ญี่ปุ่น เมืองนาโงยา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบทุนก่อสร้าง เพื่อให้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริธาตุซึ่งขุดได้ในพระสถูปที่เมืองเนปาล ซึ่งเป็นเมืองกบิลพัสดุ์เก่า มีอักษรจารึกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุในส่วนที่กษัตริย์ศากยราชแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ได้รับส่วนแบ่งในคราวถวายพระเพลิงพระทุทธสรีระ และอุปราชอินเดียของอังกฤษได้นำมาถวายให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทั้งหมด เพราะทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นพุทธศาสนูปถัมภกเพียงพระองค์เดียว เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป บรรดาประเทศต่างๆที่นับถือพระพุทธศาสนา มี ญี่ปุ่น พม่า ลังกา และไซบีเรีย ต่างก็ส่งทูตเข้ามาขอ ก็พระราชทานให้ตามประสงค์ ส่วนที่ญี่ปุ่นนี้ยังทรงร่วมสร้างวัดให้เป็นที่ประดิษฐานด้วย
ในระหว่างที่ประทับอยู่ในญี่ปุ่นนี้ พระยาปดิพัทธภูบาล (คอยูเหล ณ ระนอง) ซึ่งเป็นราชเลขานุการในพระองค์ขณะนั้น ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “เรื่องของเจ้าคุณปดิพัทธฯ” ว่า
“...วันหนึ่งอธิบดีกระทรวงวังมาบอกข้าพเจ้าว่า โดยรับสั่งของเอ็มเปอเรอ พระองค์จะถวายพระธิดาหนึ่งในสามพระองค์แก่สมเด็จพระบรมราชโอรส พระธิดาทั้งสามนี้มิใช่พระธิดาของเอมเปรส แต่เรียกเอมเปรสเป็น พระมารดา ส่วนเอมเปรสไม่มีพระธิดา พระธิดาทั้งสามจะเสด็จประพาสสวน ให้เชิญเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชไปทรงเลือกตามพระทัย แต่ให้คนตามเสด็จได้คนเดียวเท่านั้นคือตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าดีใจที่จะได้ไปชมด้วย แต่สมเด็จพระบรมโอรสสั่งว่า “ไม่ได้ กลับไปบอกเขาเถอะว่า เรายังเด็กนักที่จะมีภรรยา” ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ทำไมไม่เสด็จเพราะเป็นโอกาสดี” ทรงตอบว่า “ลิ้นกับฟันยังรู้จักกระทบกัน ถ้าเราเอาลูกสาวเขามา เดี๋ยวเกิดทะเลาะกัน เขาบอกให้พ่อเอาเรือรบมาเมืองเราสัก ๒ ลำ เราก็แย่เท่านั้น”
เรื่องนี้พวกทูตๆ เช่นอังกฤษ เคยถามข้าพเจ้าว่าได้ข่าวเจ้าแผ่นดินญี่ปุ่นจะถวายพระธิดาแก่โอรสของพระมหากษัตริย์ไทยจริงไหม ข้าพเจ้ารับว่าจริงเช่นนั้น...”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯส่งเรือพระที่นั่งมหาจักรีให้ออกไปรอรับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชที่ประเทศญี่ปุ่น และได้เดินทางออกจากญี่ปุ่นในวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๔๕๕ มาถึงปากน้ำเมืองสมุทรปราการในวันที่ ๒๙ มกราคม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนรถไฟพิเศษสายปากน้ำ ประทับเรือพระที่นั่งจักรี เข้าเทียบท่าราชวรดิฐแล้วทั้ง ๒ พระองค์ประทับรถม้าพระที่นั่งไปยังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชทานพระบรมราชโอกาสให้เจ้านายฝ่ายในเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วทรงนำสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชไปส่งที่พระราชวังสราญรมย์ ซึ่งโปรดพระราชทานให้เป็นที่ประทับ
(ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ “พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นนักการทหารและจอมปราชญ์ของโลก” โดย วรชาติ มีชูบท บริษัทสร้างสรรค์บุ๊คส์ จำกัด)