กรมชลประทาน จัดกิจกรรมสื่อสัญจรผ่านระบบออนไลน์ ร่วมกับผอ. สำนักงานชลประทานที่ 7 และสื่อมวลชนทุกแขนง เผยผลการศึกษา “โครงการศึกษาความเหมาะสมเพื่อบรรเทาอุทกภัย จ.อุบลราชธานี” เพื่อบูรณาการแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งอย่างเต็มรูปแบบ สร้างการรับรู้และความร่วมมือทุกภาคส่วน
วันนี้ (3 ส.ค.) นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กรมชลประทานพร้อมนายจักริน ประเสริฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 7 และสื่อมวลชนทุกแขนง เข้าร่วมการกิจกรรมสื่อสัญจรผ่านระบบออนไลน์ (Zoom) โครงการศึกษาความเหมาะสมเพื่อบรรเทาอุทกภัย จ.อุบลราชธานี เพื่อสรุปผลการศึกษาของโครงการ รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง และแจ้งให้สื่อมวลชนได้ทราบถึงการทำงานในด้านต่างๆ ของกรมชลประทานตลอดเวลาเวลาการศึกษางานที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความโปร่งใสพร้อมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมของสาธารณชน
จังหวัดอุบลราชธานีประสบปัญหาอุทกภัยในปี 2562 จากอิทธิพลของพายุโพดุลและพายุคาจิกิทำให้ระดับน้ำในลำน้ำมูลเอ่อท่วมสูงน้ำหลากท่วมพื้นที่เกษตรกรรมและที่อยู่อาศัยของชุมชนในหลายอำเภอประกอบกับในรอบหลายปีที่ผ่านมา เกิดน้ำท่วมบริเวณสองฝั่งแม่น้ำชีและแม่น้ำมูล ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ ทั้งบริเวณ
อ.กันทรารมย์จ.ศรีสะเกษอ.เมืองอุบลราชธานีอ.วารินชำราบและ อ.พิบูลมังสาหารจ.อุบลราชธานีตั้งแต่ปี 2550 ปริมาณน้ำท่วมเกิดขึ้นถึง 8 ครั้งในรอบ 12 ปี
นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กล่าวว่า กรมชลประทานเล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงวางแผนเพื่อบรรเทาปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาถึงสภาพพื้นที่และระบบลำน้ำที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับพื้นที่ลุ่มน้ำข้างเคียงและระบบลุ่มน้ำหลักจำเป็นต้องใช้ระบบบริหารจัดการบูรณาการทั้งปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ในการมุ่งเน้นการบรรเทาปัญหาอุทกภัยอย่างมีประสิทธิภาพพร้อมกับพิจารณาในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งร่วมด้วย นอกจากนี้ทางกรมชลประทานยังมีการจัดมวลชนสัมพันธ์บูรณาการการมีส่วนร่วมของประชาชนและของทุกภาคส่วน เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยและการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ให้แก่ราษฎรอย่างโปร่งใสและสร้างการมีส่วนร่วมของสาธารณชน
จากการศึกษาครอบคลุมพื้นที่บริหารจัดการน้ำและพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการเช่นพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนล่างลุ่มน้ำมูลตอนล่างลำเซบายลำเซบก และลำโดมใหญ่ รวมถึงขอบเขตพื้นที่ดำเนินการครอบคลุมพื้นที่ จังหวัดอุบลราชธานีและพื้นที่เกี่ยวข้องอีก 4 จังหวัดได้แก่ศรีสะเกษ ยโสธรอำนาจเจริญและร้อยเอ็ด
เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จคลองผันน้ำเลี่ยงเมืองอุบลราชธานี มีความสามารถในการระบายน้ำได้รวม 1,200 ลบ.ม./วินาที และระบายกลับลงสู่แม่น้ำมูลผ่านทางห้วยกว้างรวมความยาวคลองผันน้ำ 96.896 กม.ซึ่งจะลดพื้นที่น้ำท่วมได้ 67,264.62 ไร่ ในบริเวณเขต อ.เมืองอุบลราชธานี อ.วารินชำราบ และ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ซึ่งสามารถลดความเสียหายอุทกภัยได้ ประมาณ 1,500 ล้านบาท/ปีโดยคลองผันน้ำดังกล่าว
มีทางรับน้ำเข้าสองแห่งคือ
จุดรับน้ำที่ 1รับน้ำจากห้วยขะยุง (เหนือเขื่อนหัวนา) บริเวณบ้านน้ำคำ หมู่ที่ 8 ต.ห้วยขะยุง อ.วารินชำราบจ.อุบลราชธานี
จุดรับน้ำที่ 2 รับน้ำจากแม่น้ำมูล (ท้ายเขื่อนหัวนา) ผ่านทางห้วยผับ บริเวณบ้านท่าเจริญหมู่ที่ 11 ต.ท่าลาดอ.วารินชำราบจ.อุบลราชธานีและระบายกลับลงสู่แม่น้ำมูลท้ายแก่งสะพือผ่านทางห้วยกว้างบริเวณบ้านหนองเบ็นหมู่ที่ 1 ต.คันไร่อ.สิรินธรจ.อุบลราชธานี
นอกจากนี้กรมชลประทานทำการประชาสัมพันธ์ ตลอดระยะเวลาการศึกษา นับตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2563 - สิงหาคม 2564 เพื่อการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและเปิดรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั้งการเข้าพบหารือกับหัวหน้าส่วนราชการและผู้นำชุมชน,การประชุมปฐมนิเทศโครงการ , การประชุมกลุ่มย่อยทั้ง 2 ครั้ง รวมถึงการประชุมปัจฉิมนิเทศโครงการกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมสื่อสัญจร โดยสรุปข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการประชุมย่อยทั้ง 2 ครั้งคือการแก้ไขปัญหาภาพรวมทั้งลุ่มน้ำมูล ชี และโขง ขณะนี้ที่ปรึกษากำลังอยู่ในขั้นตอนของการสำรวจความกว้างลำน้ำเพื่อนำผลมาประกอบการศึกษา และเรื่องที่ดินของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งตามหลักการชดเชยทรัพย์สินจะมีการตั้งคณะกรรมการโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเป็นประธาน และมีผู้ได้รับผลกระทบหรือตัวแทนร่วมเป็นคณะกรรมการโครงการจะเริ่มดำเนินการเมื่อโครงการศึกษาความเหมาะสมแล้วเสร็จ จะมีการสำรวจและออกแบบรายละเอียดเพื่อการก่อสร้างโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปีหลังได้รับงบประมาณจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 7 ปีและเมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จกรมชลประทานจะเป็นผู้ดูแลโครงการต่อไป