นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว สนับสนุนหลักการกระจายวัคซีน Pfizer สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ด่านหน้า ชี้การเพิ่มเกราะให้นักรบเหมาะสมแล้ว
จากกรณีกรมควบคุมโรคเปิดมติการประชุมคณะทำงานด้านบริหารการจัดการการให้บริการวัคซีนโควิดไฟเซอร์ เกณฑ์การจัดสรรวัคซีน Pfizer ล็อต 1.5 ล้านโดส สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วประเทศเป็นเข็มกระตุ้นเท่านั้น ไม่มีเริ่มเข็ม 1 จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลอย่างมาก เนื่องจากยังมีบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากที่ยังไม่ได้ฉีดเข็มที่ 1 โดยบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ไม่เข้าเกณฑ์รับวัคซีน Pfizer ในล็อตนี้ มีดังนี้
- ได้รับการฉีดวัคซีน AstraZeneca ครบ 2 เข็ม
- ได้รับการฉีดวัคซีน AstraZeneca เข็มกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 แล้ว
- ได้รับการฉีดวัคซีน Sinovac 1 เข็ม และ AstraZeneca 1 เข็ม
- ได้รับการฉีดวัคซีน Sinovac หรือ AstraZeneca มาเพียง 1 เข็ม
- ได้รับการฉีดวัคซีนอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ได้มีชาวเน็ตเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์แนวความคิดดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผวจ.สมุทรสาคร ที่ออกมาโพสต์ข้อความตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคมา หลังมีการตั้งกฎเกณฑ์การฉีดมากมาย ถามสุดท้ายจะเหลือได้ฉีดกี่คน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 ส.ค. นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจฟาร์มปลาสวยงาม ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระจายวัคซีน Pfizer สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ด่านหน้า พร้อมโพสต์ภาพ “คำแนะนำการให้วัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ ในบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Nitipat Bhandhumachinda” โดยได้ระบุข้อความว่า
“หลักการกระจายวัคซีน Pfizer สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ด่านหน้าทุกๆ ท่าน ซึ่งผมมองอย่างคนภายนอกที่รังเกียจดรามาในทุกๆ รูปแบบ และไม่เคยคิดจะไปแย่งวัคซีนอะไรกับใครที่ไหนทั้งสิ้น ก็คิดว่าเป็นการกระจายที่ยุติธรรมและถูกต้องตามหลักสาธารณสุขนะครับ
ซึ่งผมก็ดีใจมากที่เห็นความสำคัญของบุคลากรทางการแพทย์ ว่าแม้วัคซีนที่ได้รับมาก่อนหน้านี้จะป้องกันการติดเชื้อได้ระดับหนึ่ง และป้องกันการป่วยหนักหรือเสียชีวิตได้แล้วก็ตาม แต่การได้รับวัคซีนเพิ่มเป็นเกราะป้องกันตัวเพิ่มเติมให้ลดโอกาสติดเชื้อยิ่งขึ้นไปอีก ก็ย่อมเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ทำหน้าที่อย่างกล้าหาญอยู่กลางด่านหน้าทุกๆ คน
ส่วนถ้าใครคิดว่าตนควรจะได้เข็มสี่ หรือได้ AZ สองเข็มแล้วยังไม่พอใจ ทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้สักเข็ม ก็แล้วแต่ใจของแต่ละปัจเจกชนแล้วล่ะครับ”
สำหรับหลักการกระจายวัคซีนและฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้านั้น ได้ระบุไว้ว่า
“มติคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ครั้งที่ 4/2564 วันที่ 1 สิงหาคม 2564 เรื่อง “คำแนะนำการให้วัคซีนโควิด-19 ของ Pfizer ในบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข” คำแนะนำแนวทางการให้วัคซีน Pfizer จำนวน 700,000 โดส
กลุ่มเป้าหมาย : บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทุกคนที่ต้องสัมผัสผู้ป่วยโควิดจากการปฏิบัติงานทั่วประเทศ รวมทั้งนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ที่ต้องสัมผัสผู้ป่วยโควิดจากการปฏิบัติงาน เช่น แผนกผู้ป่วยนอก แผนกผู้ป่วยใน คลินิกทางเดินหายใจ ห้องฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลสนาม เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่กักกัน หรือปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 อื่นๆ ตามการพิจารณาของสถานพยาบาล/หน่วยงานต้นสังกัด โดยมีหลักการให้วัคซีน ดังนี้
1. ผู้ที่ได้รับวัคซีน Sinovac หรือ Sinopharm ครบ 2 เข็ม พิจารณาให้วัคซีน Pfizer กระตุ้น 1 เข็ม โดยเสนอจัดสรรให้ 600,000 โดส
2. ผู้ที่ได้รับวัคซีนใดๆ มาแล้วเพียง 1 เข็ม พิจารณาให้วัคซีน Pfizer เป็นเข็มที่ 2 โดยกำหนดระยะห่างระหว่างโดสตามชนิดของวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นหลัก โดยเสนอจัดสรรให้ 50,000 โดส
3. ผู้ที่ไม่เคยได้วัคซีนใดๆ มาก่อน พิจารณาให้วัคซีน Pfizer 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ โดยจัดสรรให้ 47,700 โดส (23,850 คน คนละ 2 เข็ม)
4. ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดและไม่เคยได้วัคซีนมาก่อน พิจารณาให้วัศซีน Pfizer 1 เข็ม โดยมีระยะห่างจากวันที่พบการติดเชื้ออย่างน้อย 1 เดือน จัดสรรให้ 2,300 โดส
ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เคยได้รับวัคซีนดังต่อไปนี้
1) วัคซีน Sinovac เข็มแรก และวัคซีน AstraZeneca เข็มที่ 2 หรือ
2) วัคซีน AstraZeneca 2 เข็ม หรือ
3) วัคซีน Sinovac 2 เข็ม และได้รับเข็มกระตุ้นด้วย AstraZeneca 1 เข็ม
คณะอนุกรรมการฯ พิจารณายังไม่แนะนำให้วัคซีน Pfizer เป็นเข็มกระตุ้น เพราะบุคลากรดังกล่าวยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับที่สูงในระยะนี้เนื่องจากเพิ่งฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม จะมีการพิจารณาข้อมูลวิชาการและดำเนินการให้วัคซีน Pfizer แก่บุคลากรกลุ่มนี้ต่อไปเมื่อมีวัคซีนเข้ามาเพิ่ม”