1.“บิ๊กตู่” ลั่น ต้องไม่เห็นคนป่วยตายบนถนนอีก ด้านอธิบดีควบคุมโรค ชี้ หากผู้ติดเชื้อไม่ลด อาจต้องล็อกดาวน์เหมือน “อู่ฮั่น”!
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังพุ่งไม่หยุด โดยเมื่อวันที่ 18 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,397 ราย เสียชีวิต 101 ราย, วันที่ 19 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,784 เสียชีวิต 81 ราย, วันที่ 20 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,305 ราย ผู้เสียชีวิต 80 ราย, วันที่ 21 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,002 ราย ผู้เสียชีวิต 108 ราย, วันที่ 22 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,655 ราย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 87 ราย, วันที่ 23 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,575 ราย ผู้เสียชีวิต 114 ราย ล่าสุด วันที่ 24 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,260 ราย ผู้เสียชีวิต 119 ราย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ก.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ข้อกำหนดตามมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หลัง ศบค.ได้ประกาศยกระดับการล็อกดาวน์ให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อสกัดการระบาดของโควิด โดยเพิ่มจังหวัดเข้ากลุ่มพื้นที่สีแดงเข้มจากเดิม 10 จังหวัด เป็น 13 จังหวัด โดย 10 จังหวัดเดิม ประกอบด้วย กทม. นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา ส่วน 3 จังหวัดที่เพิ่มขึ้นมา คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา
ส่วนข้อกำหนดที่เพิ่มความเข้มข้นขึ้นมา ได้แก่ 1. ให้ประชาชนในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด เลี่ยง จำกัด หรืองดเว้นภารกิจที่ต้องเดินทางออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น และเคอร์ฟิวห้ามออกนอกเคหสถานในเวลา 21.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น 2.ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้เปิดได้ถึง 20.00 น. ห้ามบริโภคในร้าน ให้ซื้อกลับบ้านเท่านั้น 3.ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ให้เปิดบริการได้เฉพาะแผนกซูเปอร์มาร์เก็ต แผนกยา และเวชภัณฑ์ พื้นที่ซึ่งจัดให้บริการฉีดวัคซีน หรือบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่นๆ ของภาครัฐ ให้เปิดได้ถึงเวลา 20.00 น. 4.ร้านสะดวกซื้อและตลาดสด ให้เปิดได้ถึงเวลา 20.00 น.
การขนส่งสาธารณะ ให้จำกัดผู้โดยสารไม่เกิน 50% ของความจุผู้โดยสารของการขนส่งสาธารณะแต่ละประเภท 7.ห้ามจัดกิจกรรมความเสี่ยง ห้ามรวมกลุ่มกันเกิน 5 คน และให้ภาคราชการ ทำงานที่บ้านแบบ 100% สำหรับงานที่ต้องทำในสถานที่ทำงาน ให้ทำได้เท่าที่จำเป็น สำหรับบริษัทเอกชนขอความร่วมมือทำงานที่บ้านอย่างเต็มที่ โดยข้อกำหนดต่างๆ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค.-2 ส.ค. เป็นเวลา 14 วัน
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้เป็นการชะลอไม่ให้ตัวเลขติดเขื้อเพิ่มขึ้น แต่หากไม่มีมาตรการที่เข้มขึ้น จะพบตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น จึงขอความร่วมมือทุกคนในการร่วมมือกันดูแลตัวเอง คาดว่าในอีก 2 สัปดาห์ ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะไม่ลดลง ดังนั้นจึงต้องเพิ่มมาตรการที่เข้มขึ้นเพื่อควบคุมการระบาด “แต่หากแนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อยังสูงต่อเนื่องใน 2 เดือน ก็มีแนวโน้มจะใช้มาตรการคล้ายเมืองอู่ฮั่น ของจีน คือ ล็อกดาวน์เมือง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด นั่นคือ ประชาชนอยู่บ้าน งดการเดินทาง หรือถึงขั้นต้องส่งข้าวส่งน้ำตามบ้าน”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ถึงการยกระดับมาตรการในการคุมโควิดว่า “ต้องขอให้พวกเราทุกคนอดทนกันอีกครั้ง และให้ความร่วมมือกับมาตรการในครั้งนี้อย่างเต็มที่ ...สงครามของโลกกับโควิดยังไม่จบสิ้น การต่อสู้ของไทยในระลอกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้ง 13 จังหวัด ถือเป็นสมรภูมิรบที่จะต้องเอาชนะ และยึดพื้นที่คืนกลับมาจากไวรัสร้ายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีประชาชนต้องเจ็บป่วยล้มตายไปมากกว่านี้ แต่การศึกครั้งนี้ รัฐไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยเพียงลำพัง แต่ต้องเกิดจากความสามัคคีของคนในชาติ หากล็อกดาวน์ตัวเองได้จริงๆ สถานการณ์ควรจะต้องเห็นผลดีขึ้นภายใน 14 วัน และจะผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ไปได้อีกครั้ง”
เป็นที่น่าสังเกตว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มเห็นคนเร่ร่อนและผู้ป่วยโควิดบางคนเสียชีวิตกลางถนน ซึ่งบางราย กว่าจะได้รับการเคลื่อนย้ายศพออกจากจุดเกิดเหตุ ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางและสร้างความหดหู่แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่า ประเทศไทยจะมาถึงจุดนี้
ร้อนถึง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องกล่าวเรื่องนี้ระหว่างการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือ (ศบศ.) เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ว่า “สิ่งที่สำคัญคือ หลักการของผมตรงนี้ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ท่านต้องไปช่วย ผมคิดว่าทำอย่างไรเราจะลดคนติดเชื้อที่อยู่ที่บ้านคอยรถไปรับ จะต้องไม่ให้ไปอยู่ตามถนนหนทาง ต้องไม่ให้เห็นภาพนี้อีกต่อไป ถือเป็นความรับผิดชอบของทุกหน่วยงาน ไม่ใช่แค่สาธารณสุขเพียงอย่างเดียว ให้ช่วยกันทำ และคิดว่าทำอย่างไรจะให้ผู้ป่วยเหล่านี้ได้เดินทางมายังโรงพยาบาลสนาม”
มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในที่ประชุม ศบศ.ด้วยว่า “โดยเฉพาะใน กทม. ต้องไม่ให้เห็นภาพผู้ป่วยนอนเสียชีวิตบนถนนอีก ต้องช่วยกันหาเตียง และพาผู้ป่วยเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลสนาม หรือนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว...”
2.ตำรวจรวบ “ไรเดอร์” คาบ้านพัก ฐานก่อเหตุเผาพระบรมฉายาลักษณ์หลังชุมนุม ด้านแฟนผู้ต้องหาอ้าง ช่วยดับไฟ ไม่ได้เผา!
จากกรณีที่กลุ่มเยาวชนปลดแอก (Free YOUTH) พร้อมกลุ่มแนวร่วมต่างๆ ได้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ลาออกจากตำแหน่งโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ชุมนุมมุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนตั้งจุดสกัด พร้อมใช้รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา เข้าสลายการชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมจุดไฟเผาหุ่นฟางจำลองนายกฯ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล หลังเสร็จสิ้นการชุมนุม ปรากฏว่า มีผู้ชุมนุมบางรายก่อเหตุเผาพระบรมฉายาลักษณ์บริเวณเกาะกลางถนนราชดำเนินนอก โชคดีเจ้าหน้าที่ดับไฟได้ทัน ทำให้ไฟไหม้เพียงผ้าประดับกรอบพระบรมฉายาลักษณ์
ซึ่งในเวลาต่อมา ได้มีคลิปเผยแพร่ภาพผู้ก่อเหตุบางคนเทของเหลวจากขวดใส่ไฟที่กำลังไหม้ ส่งผลให้ไฟลุกโชนขึ้น ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับบุคคลในภาพ ทราบชื่อคือ นายสิทธิโชค เศรษฐเศวต อายุ 25 ปี เป็นพนักงานส่งอาหารของบริษัทแห่งหนึ่งที่เข้าร่วมการชุมนุม โดยเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมที่บ้านพักย่านรังสิต จ.ปทุมธานี ในข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 112, วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น, ทำให้เสียทรัพย์ และฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ด้านแฟนสาวของนายสิทธิโชค กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้บุกเข้าจับกุมแฟนก็รู้สึกตกใจ ไม่คิดว่า การเข้าไปช่วยดับไฟจะมีความผิด ยืนยันว่า วันเกิดเหตุ ตนก็อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่ได้ร่วมการชุมนุม แต่ไปส่งอาหารตามออเดอร์ให้กับผู้ร่วมชุมนุม เมื่อส่งเสร็จก็เห็นว่า ไฟกำลังลุกติดผ้า แฟนหนุ่มจึงใช้น้ำช่วยดับไฟ ตรงนั้นมีตำรวจจราจรอยู่ด้วย หากแฟนเผาจริง ตำรวจจราจรคนนั้นต้องเข้าจับกุมแล้ว ส่วนคนที่เผาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะตนกับแฟนไปถึงก็เห็นไฟไหม้อยู่แล้ว รวมทั้งหุ่นจำลองนายกฯ ที่มีการเผากัน และว่า ตอนถูกควบคุมตัวที่บ้าน ได้พยายามอธิบายกับเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า ตนทำความดี ทำไมต้องถูกจับกุม แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้รับฟังและคุมตัวแฟนมาที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาฯ ก่อนส่งมาที่ สน.ห้วยขวาง
หลังจากนายสิทธิโชค ถูกนำตัวจาก สน.ห้วยขวาง ไปสอบปากคำต่อที่ สน.นางเลิ้ง พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. เผยหลังร่วมสอบปากคำนายสิทธิโชคว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ พร้อมให้สิทธิโชคชี้เสื้อผ้าที่สวมใส่ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 ก.ค. และให้ชี้ภาพเหตุการณ์ที่เผยแพร่ในโลกโซเชียล ซึ่งนายสิทธิโชคยอมรับว่า เสื้อผ้าและคนในคลิปคือตนเอง ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวอ้างว่า เข้าไปช่วยดับไฟ ก็เป็นสิทธิที่จะให้ปากคำ แต่เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสังเกตจากภาพพบว่า ของเหลวที่ออกจากขวด ทำให้เปลวไฟลุกโชนมากกว่าเดิม ตำรวจมีหลักฐานแน่ชัดว่ากระทำผิดจริง ขณะนี้มีผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ถูกออกหมายจับแล้ว 16 คน และจะขยายผลออกหมายจับเพิ่มต่อไป
ทั้งนี้ วันเดียวกัน ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ได้นำตัวนายสิทธิโชคยื่นศาลเพื่อขอฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่า ผู้ต้องหาจะหลบหนี ขณะที่ผู้ต้องหาได้ยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัวเป็นเงินสด 1 แสนบาท ด้านศาลอนุญาตให้ฝากขัง และอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่กำหนดเงื่อนไข เนื่องจากพิจารณาแล้วว่า ไม่มีข้อเท็จจริงสนับสนุนข้อคัดค้านที่ว่า ผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุร้าย หรือยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน
3. “บิ๊กตู่” ให้กองทัพเรือชะลอซื้อเรือดำน้ำ ด้าน ทร.ถอนเรื่องออกจากที่ประชุม กมธ.ฯ พิจารณางบแล้ว!
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ได้แถลงถึงกรณีที่กองทัพเรือเดินหน้าซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ ในปีงบประมาณ 2565 ว่า ขณะนี้มีคนติดโควิดวันละหมื่นกว่าคน ระบบสาธารณสุขสู้ไม่ได้ คนป่วยล้น คนรอเข้ารับการรักษาอยู่จำนวนมาก แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับจะไปซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน พล.อ.ประยุทธ์ จะบอกว่าไม่รู้เรื่องไม่ได้ เพราะในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องเป็นผู้ลงนามในสัญญา และในฐานะนายกฯ ที่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่สงสารประชาชนเลยหรือ แล้วไม่สงสัยในประสิทธิภาพของเรือดำน้ำหรือ เหตุใดท่านไม่เอาลำแรกมาลองใช้ก่อน ทำไมจึงต้องเร่งซื้อทีเดียวถึง 2 ลำ
นายยุทธพงศ์ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 19 ก.ค. จะมีการประชุมของ กมธ.งบฯ 65 กมธ.ซีกฝ่ายค้านเราได้หารือร่วมกัน และมีมติแล้วว่า จะขอให้ กมธ.ชุดใหญ่ตัดทิ้งเรือดำน้ำทั้ง 2 ลำไปเลย โดยไม่ต้องส่งไปที่ห้องอนุฯ ถ้า กมธ.ซีกรัฐบาลไม่ยอม จะขอเสนอให้โหวตเลย แพ้เป็นแพ้ แต่จะได้รู้ว่าใครที่ยกมือโหวตผ่านให้ซื้อเรือดำน้ำ
วันเดียวกัน (18 ก.ค.) พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือว่า การระบาดของโรคร้ายแรงตั้งแต่ปี 2563 พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้กระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือไปพิจารณาถึงการชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำหรือยืดเวลาออกไปก่อน ซึ่งกระทรวงกลาโหมได้เห็นถึงปัญหาภาระงบประมาณและความจำเป็นเร่งด่วนในการบริหารงบประมาณประเทศ ซึ่งในปีงบประมาณ 2563 และ 2564 ที่ผ่านมา กองทัพเรือได้ส่งคืนงบประมาณจำนวน 3,375 ล้านบาท และ 3,425 ล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดและความจำเป็นเร่งด่วน
สำหรับปี 2565 กระทรวงกลาโหมได้ประเมินร่วมกันแล้วว่า การแพร่ระบาดของโรคยังคงอยู่และมีผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพเรือถอนแผนงานงบประมาณโครงการเรือดำน้ำออกไปก่อน โดยให้หารือกับกระทรวงกลาโหมจีนถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องขอชะลอโครงการในปีนี้
พล.ท.คงชีพ เผยด้วยว่า โครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือ เป็นโครงการตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) ที่กระทรวงกลาโหมของทั้งประเทศร่วมมือกันโดยตรงตามข้อตกลงและโปร่งใส ไม่ผ่านคนกลางหรือบริษัทนายหน้า โดยที่ผ่านมา กองทัพเรือได้ติดต่อตรงกับกระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือจีนผ่านช่องทางการทูตเท่านั้น
ทั้งนี้ วันต่อมา (19 ก.ค.) เมื่อการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในส่วนของกระทรวงกลาโหมเริ่มขึ้น ปรากฏว่า พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้แจ้งต่อที่ประชุม กมธ.ทันทีว่า ขอถอนวาระการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ ออกจากการพิจารณาของที่ประชุม
พล.ร.อ.ชาติชาย กล่าวชี้แจงต่อ กมธ.วิสามัญฯ ว่า โครงการจัดหาเรือดำน้ำอีก 2 ลำที่เหลือ เป็นเวลาถึง 6 ปี สามารถจ่ายเงินงวดแรกในปีงบประมาณ 2565 ที่กำลังพิจารณานี้ 900 ล้าน จากยอดรวมจำนวน 22,500 ล้านบาท ของมูลค่าเรือดำน้ำทั้ง 2 ลำ เงินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงบฯ ปกติของ ทร.อยู่แล้ว ไม่ได้เป็นงบฯ ที่ขอใหม่จากสถานการณ์วิกฤตโควิดที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ทร.ได้พิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม เพื่อหาหนทางปฏิบัติที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวิกฤตในปัจจุบัน คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง จึงขอชะลอโครงการจัดหาไปก่อน โดย ทร.จะไปเจรจากับรับบาลจีน เพื่อสร้างความเข้าใจถึงเหตุผล ความจำเป็นของการชะลอและไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยังคงความพร้อมที่จะให้การสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหารกับ ทร.ต่อไป
ด้านนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษก กมธ.วิสามัญฯ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ สั่งถอนการสั่งซื้อเรือดำน้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังจนด้วยแต้มหลังกระแสสังคมกดดัน มาสั่งถอนวันอาทิตย์ทำได้ที่ไหน นายยุทธพงศ์ กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้ หากไม่ได้ กมธ.ในซีกพรรคเพื่อไทยออกมาฟ้องประชาชนและสื่อมวลชน เรือดำน้ำ 2 ลำคงจะถูกผ่านไปอย่างเงียบๆ และว่า ขณะนี้งบของเหล่าทัพต่างๆ ยังมีงบในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อีกจำนวนมาก ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในปัจจุบัน แม้ ทร.จะสั่งถอนการจัดซื้อเรือดำน้ำไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกโครงการที่มีเอกสารลับมาเปิดเผย เป็นโครงการใหม่ชื่อว่า โครงการอากาศยานไร้คนขับ ฐานบินชายฝั่ง วงเงินกว่า 4,100 ล้านบาท
4. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนประหารชีวิต "อดีต ผอ.กอล์ฟ" ฆ่าชิงทอง 3 ศพที่ลพบุรี ชี้ พฤติการณ์โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม!
เมื่อวันที่ 20 ก.ค.64 ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา เเละบริษัท ออโรร่า ดีไซน์ พร้อมด้วยผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายอีก 10 ราย เป็นโจทก์ร่วมฟ้องนายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือ ผอ.กอล์ฟ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ, พยายามฆ่าผู้อื่นฯ, ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนฯ และความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน กรณีก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์ร้านทองออโรร่า ในห้างสรรพสินค้าที่ จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2563
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ส.ค.2563 ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (6) ประกอบมาตรา 60, 289 (6) ประกอบมาตรา 80, 289 (7), 339 วรรคสอง วรรคสี่ และวรรคท้ายประกอบ มาตรา 340 ตรี, 371, 376, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490, พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน, ฐานมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน
ฐานพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุสมควร จำคุก 3 ปี, ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการจะกระทำผิด ให้ประหารชีวิต, ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต, ฐานชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมีและใช้อาวุธปืน และโดยใช้ยานพาหนะ ให้ประหารชีวิต และปรับ 1,000 บาท ฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย และปรับ 1,000 บาท ริบของกลาง อาวุธปืนและเครื่องกระสุน หมวกโม่งคลุมศีรษะสีดำ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า เสื้อยืด โทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ใช้กระทำผิด
นอกจากนี้ ศาลได้สั่งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่ผู้ร้องที่ 1 จำนวน 1.8 แสนบาท, ผู้ร้องที่ 2 จำนวน 9.9 หมื่นบาท, ผู้ร้องที่ 3 จำนวน 1.3 แสนบาท, ผู้ร้องที่ 4 จำนวน 2.2 ล้านบาท, ผู้ร้องที่ 5 จำนวน 7.5 แสนบาท ผู้ร้องที่ 6, 7 และ 8 จำนวน 2.25 ล้านบาท, ผู้ร้องที่ 9 และ 10 จำนวน 7.5 แสนบาท
ต่อมา จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษ โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุสมควรลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หรือไม่ โดยศาลเห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และพยานแวดล้อมกรณีมาสืบให้รับฟังได้อย่างมั่นคงว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสามและผู้เสียหายที่ 1-3 และ 5 และชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำของโจทก์ร่วมแล้วหลบหนีไป อีกทั้งจำเลยมิได้ลุแก่โทษ เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานเเละสารภาพความผิด แต่ได้ความว่า เจ้าพนักงานตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวง เพื่อขอออกหมายจับจำเลย จนกระทั่งจับจำเลยได้
ซึ่งลำพังแต่พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมา ก็เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้แล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยรับสารภาพ เป็นเพราะเกิดจากจำนนต่อหลักฐาน และตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ที่บัญญัติว่า เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ถ้าศาลเห็นสมควร จะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้ เป็นบทบัญญัติให้ศาลใช้ดุลพินิจในการลงโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ของผู้กระทำความผิดเป็นรายบุคคลไป หาใช่บทบังคับที่จะต้องลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิด เพราะมีเหตุบรรเทาโทษเสมอไปไม่
การที่จำเลยชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ฆ่าผู้อื่น เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่นฆ่าผู้อื่น เพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ลักษณะของการกระทำความผิด จึงเป็นไปโดยอุกอาจ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมทารุณไร้มนุษยธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยชดใช้ความเสียหาย เพื่อบรรเทาผลร้ายสำนึกผิดหรือมีคุณความดีดังที่อุทธรณ์ ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะสมควรใช้ดุลพินิจลดโทษให้แก่จำเลยได้
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยโดยไม่ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ย่อมเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยของค่าสินไหมทดแทนในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจนถึงวันที่ 10 เม.ย.64 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปีนับ แต่วันที่ 11 เม.ย.64 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งสิบเสร็จสิ้น นอกจากที่เเก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
5. สธ.ลงนามจัดซื้อวัคซีน “ไฟเซอร์” แล้ว 20 ล้านโดส คาดได้รับไตรมาส 4 ของปีนี้ ด้าน “แอสตร้าฯ” เตรียมส่งมอบวัคซีนให้ไทยสัปดาห์หน้า 2.3 ล้านโดส!
ความคืบหน้าการจัดซื้อวัคซีนต้านโควิดของไทย เมื่อวันที่ 20 ก.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เป็นสักขีพยานการลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA ระหว่าง นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ Ms. Deborah Seifert ผู้จัดการบริษัท Pfizer ประเทศไทยและอินโดไชนา เพื่อจัดหาวัคซีนโควิด 19 จำนวน 20 ล้านโดส
นายอนุทิน กล่าวว่า มั่นใจว่าวัคซีนที่สั่งซื้อจะมาภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ตามข้อตกลงในสัญญา อย่างไรก็ตาม จะมีวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐอเมริกา 1.5 ล้านโดสมาถึงไทยในปลายเดือนนี้ เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ผู้สูงอายุ และกลุ่มอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติมีมติเห็นชอบ รวมทั้งประเทศไทยมีแผนสั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 50 ล้านโดสในปีหน้า
ขณะที่นายเจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำจดหมายเปิดผนึกชี้แจงเรื่องการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าฯ ให้ไทยว่า พวกเราทุกคนที่แอสตร้าเซนเนก้ามีความกังวลและเป็นห่วงกับสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาเพิ่มสูงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง "ขอยืนยันกับทุกคนว่า สิ่งที่แอสตร้าเซนเนก้าให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในขณะนี้ คือ การเร่งผลิตและส่งมอบวัคซีนที่มีคุณภาพเพื่อปกป้องคุณและคนที่คุณรักให้ได้โดยเร็วที่สุด เราจะพยายามอย่างสุดความสามารถ"
จดหมายเปิดผนึกดังกล่าว ยังระบุด้วยว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าเป็น "ชีววัตถุ" ที่เริ่มต้นด้วยการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่เป็นส่วนประกอบในกระบวนการผลิต จึงมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน จำนวนเซลล์ที่สามารถนำไปใช้เพื่อการผลิตวัคซีนในแต่ละรอบการผลิตจึงมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตระยะแรกจากศูนย์การผลิตวัคซีนแห่งใหม่ ถึงแม้จะมีข้อจำกัดมากมาย แต่เราคาดการณ์ว่า จะสามารถจัดสรรวัคซีนให้กับประเทศไทยได้โดยเฉลี่ย 5-6 ล้านโดสต่อเดือน
จนถึงขณะนี้แอสตร้าเซนเนก้าได้ส่งมอบวัคซีนให้กับกระทรวงสาธารณสุขแล้ว 9 ล้านโดส และมีกำหนดส่งมอบอีก 2.3 ล้านโดสในสัปดาห์หน้า รวมเป็นยอดส่งมอบ 11.3 ล้านโดส ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากแผนการจัดหาวัคซีนจำนวน 61 ล้านโดสให้กับประเทศไทย
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์เดลตา เราพยายามอย่างสุดความสามารถและเสาะหาทุกวิถีทางที่จะเร่งการผลิตและส่งมอบวัคซีนให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรผู้ผลิตอย่างสยามไบโอไซเอนซ์ เราได้พยายามเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม และเรามั่นใจว่า จะสามารถส่งมอบวัคซีนได้มากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ เรายังได้พยายามจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมจากศูนย์การผลิตของแอสตร้าเซนเนก้าทั่วโลกกว่า 20 แห่ง เพื่อส่งมอบวัคซีนเพิ่มเติมให้กับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ...เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถนำเข้าวัคซีนเพิ่มเติมมาให้กับคนไทยได้ในเดือนต่อๆ ไป
ด้าน นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยถึงการติดตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังการรับวัคซีนโควิด 19 ว่า จากข้อมูลการฉีดวัคซีน ณ วันที่ 18 ก.ค.2564 มีผู้เข้ารับการฉีดวัคซีน 14,298,596 โดส พบรายงานอาการไม่พึงประสงค์ 1,592 เหตุการณ์ ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคได้พิจารณาแล้ว 482 ราย พบเกี่ยวกับวัคซีน 71 ราย เช่น มีอาการแพ้ ปวดบวมบริเวณที่ฉีด มีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียนและเป็นปฏิกิริยาที่เกี่ยวกับการฉีด แต่ตรวจไม่พบความผิดปกติทางร่างกาย 240 ราย อีก 158 ราย เป็นเหตุการณ์ร่วมที่ไม่เกี่ยวกับวัคซีน (โดยรักษาหาย 36 ราย และเสียชีวิต 122 ราย) ไม่สามารถสรุปว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีน 13 ราย และที่เหลือ 1,110 รายอยู่ระหว่างติดตามข้อมูล
นอกจากนี้ ได้เก็บข้อมูลจากบุคลากรทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย เพื่อวัดประสิทธิผลของวัคซีนในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนและไม่ฉีดวัคซีน พบว่า กลุ่มที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม นานกว่า 14 วันขึ้นไป จำนวน 336 ราย พบติดเชื้อ 24 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.1 ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน 27 ราย พบการติดเชื้อ 11 ราย คิดเป็นร้อยละ 40.7 ซึ่งสูงกว่ากลุ่มที่ฉีดวัคซีนครบถึง 5.7 เท่า และพบว่า วัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อได้ถึงร้อยละ 82.5 นอกจากนี้ ยังพบว่า กลุ่มที่ฉีดวัคซีนมีอาการปอดอักเสบ 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.2 ส่วนกลุ่มที่ไม่ฉีดวัคซีนพบปอดอักเสบ 2 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.4 สูงกว่ากลุ่มที่ฉีดวัคซีน 6.2 เท่า ทั้งนี้ วัคซีนซิโนแวคสามารถกันปอดอักเสบได้ถึงร้อยละ 83.9
ส่วนกรณีครูโรงเรียนเอกชนอายุ 39 ปี ได้รับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเป็นเข็มที่ 2 และเสียชีวิตหลังฉีด 1 วัน ผลการผ่าชันสูตรเบื้องต้น พบสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากสมองบวมจากก้อนในสมอง ไปกดทับก้านสมอง โดยคณะผู้เชี่ยวชาญจะนำรายละเอียดไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆ เพื่อพิจารณาว่า มีความเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนหรือไม่