xs
xsm
sm
md
lg

เชื่อหรือไม่..คุกบาสตีลย์แตกจนเป็นวันชาติฝรั่งเศส! เพราะถูกถล่มด้วยปืนใหญ่กรุงศรีอยุธยา!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค



เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๓๓๒ ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในประเทศฝรั่งเศส เป็นวันประวัติศาสตร์จนต่อมาถือเอาเป็นวันชาติ จากการที่มีฝูงชนก่อจลาจลขึ้นในกรุงปารีส มีเป้าหมายจะโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ และได้บุกเข้าทำลายคุกบาสติลย์ ป้อมเก่าอยู่ใจกลางของกรุง ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์การใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของระบอบกษัตริย์ จับคนมาขังคุกที่นี่

ความจริงตอนนั้นคุกบาสติลย์เกือบจะเป็นคุกร้างอยู่แล้ว เพราะรัฐบาลเห็นว่าใหญ่โตเกินไป มีค่าใช้จ่ายมากไม่คุ้มประโยชน์ จึงเตรียมปิดเรือนจำแห่งนี้ ทยอยนักโทษออกไปจนเหลือนักโทษชราอยู่เพียง ๗ คน ในจำนวนนี้ ๔ คนเป็นผู้ต้องหาปลอมแปลงเอกสาร อีก ๒ คนเป็นคนวิกลจริต และมีขุนนางอีก ๑ คนที่แตกกลุ่มกับพวกพ้อง
 
ทหารที่ประจำป้อมมีอยู่เพียง ๘๒ คน ส่วนใหญ่ก็เป็นทหารผ่านศึกที่พิการ แต่ก่อนหน้านั้น ๗ วันคงจะระแคะระคายเรื่องการจะก่อจลาจล จึงได้เสริมกำลังทหารรักษาพระองค์เข้ามาอีก ๓๒ นาย และย้ายกองทหารซาลิ-ซามาดของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นกองทหารรับจ้างประจำอยู่ที่สวนสาธารณะเข้ามาเสริม พร้อมปืนใหญ่ขนาด ๘ ปอนด์ ๘ กระบอก และปืนใหญ่ขนาดเล็กอีก ๑๒ กระบอกขึ้นประจำตามกำแพงป้อม

การจลาจลได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑๒ กรกฎาคม โดยมีการเดินขบวนทั่วกรุงปารีส มีเป้าหมายต้องการล้มล้างระบอบกษัตริย์ด้วยข้อหาใช้อำนาจเกินขอบเขต และใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยจนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ราคาอาหารและไวน์สูงขึ้น ฝูงชนได้เข้าปล้นสะดมสถานที่ต่างๆรวมทั้งคลังอาวุธของทางราชการ โดยมีทหารบางส่วนเอาใจช่วยข้างประชาชนไม่เข้าปราบปราม

ฝูงชนกลุ่มหนึ่งที่มีไม่เกิน ๑,๐๐๐ คน ได้บุกไปที่คุกบาสตีลย์ เมื่อได้รับการต่อต้านจากทหารที่ป้อม ประชาชนกลุ่มนี้จึงบุกไปที่พระคลังหลวงเข้าค้นหาอาวุธ แต่พระคลังเป็นที่เก็บเครื่องราชบรรณาการ มีแต่อาวุธโบราณที่ประดิษฐ์อย่างสวยงามล้ำค่า เช่นพระแสงดาบต่างๆ ที่น่าสนใจก็คือปืนใหญ่ ๒ กระบอกมีล้อเลื่อน จึงได้ลากไปใช้ในการยิงถล่มคุกบาสติลย์ด้วย มีบันทึกระบุว่า นายโชลาต์ พ่อค้าไวน์ กับ ฌอร์เฌต์ นาวิกโยธินจากเมืองเบรสต์ เป็นผู้ควบคุมการยิงปืนใหญ่นี้ อีกทั้งภาพเขียนการทลายคุกบาสติลย์ ก็มักจะปรากฏปืนใหญ่ ๒ กระบอกนี้ด้วย

ปืนใหญ่ ๒ กระบอกนี้ปรากฏว่าเป็นปืนที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ถวายเป็นราชบรรณาการพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เมื่อคราวที่ส่งโกษาปานมาเป็นราชทูต ซึ่ง เชอวาเลียร์ เดอ โชมอง ราชทูตจากพระเจ้าหลุยส์ ผู้นำโกษาปานไปด้วยในขากลับนั้น ได้บันทึกไว้ว่า

“ปืนใหญ่ ๒ กระบอก ยาว ๖ ฟุต ทำจากเหล็กหลอม ตีให้เย็น ประดับลายเงิน ตั้งอยู่บนฐานที่มีลวดลายประดับด้วยเงินเช่นกัน ทำขึ้นในสยาม”

บัญชีของในพระคลังทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรุงปารีส บันทึกไว้เมื่อปี ๒๒๗๒ ว่า

“ปืน ๒ กระบอกได้รับมาจากสยาม ถมลายคร่ำเงินอยู่ ๓ ตอน ด้ายท้ายเป็นทรง ๘ เหลี่ยม ปลายสุดกลมมน ความยาว ๕ ฟุต ๙ นิ้ว ขึ้นแท่นไม้เนื้อดำจากแผ่นดินอินเดียตะวันออก ประดับถมคร่ำด้วยเงิน”

ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ปืนใหญ่ไทยเป็นที่เลื่องลือในเรื่องอาณุภาพมาก ปรากฏหลักฐานในพงศาวดารว่า ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ โชกุนโทะกุงะวะ อิเอะยะสุ แห่งญี่ปุ่น ได้ส่งทูตเข้ามาอ้อนวอนขอปืนใหญ่และดินปืนจากไทย ซึ่งเป็นดินปืนชั้นเลิศอีกเช่นกัน ซึ่งสมเด็จพระเอกาทศรถก็พระราชทานให้เป็นพิเศษ เพราะมีข้อห้ามนำปืนใหญ่และดินปืนออกนอกประเทศ

ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวไว้ว่า สมัยสมเด็จพระนเรศวรซึ่งทรงยกกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ขณะอยู่ในปกครองของพม่า ได้ใช้ปืนใหญ่ถล่มยิงกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งจนเป็นช่องโหว่กว้างถึง ๕-๖ ช่วงคน

พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ก็ทรงพึงพอพระราชหฤทัยในปืนใหญ่สยามนี้มาก จึงให้นำไปเก็บไว้ในคลังอาวุธส่วนพระองค์ โดยไม่ได้ทรงคิดว่า ปืนใหญ่ที่กษัตริย์จากดินแดนตะวันออกอันแสนไกลได้ส่งมาถวายพระองค์นี้ จะกลายเป็นอาวุธที่มีส่วนทำลายราชวงศ์ของพระองค์จนสุดสิ้นลง

ปัจจุบัน ปืนใหญ่สยามคู่นี้ตั้งแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ทหารบก กรุงปารีส

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสโค่นล้มระบอบกษัตริย์ได้สำเร็จ กลุ่มอำนาจใหม่ได้ใช้วิธีรุนแรงด้วยการประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ และพระนางมารีอังตัวเน็ต ประกาศคำขวัญ “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ” จากนั้นบ้านเมืองก็ตกอยู่ในกลียุค มีการใช้อำนาจกันอย่างเมามัน เข่นฆ่ากันเองในกลุ่มนักปฏิวัติ แม้แต่โรแบสปิแอร์ นักกฎหมายผู้มีบทบาทสูงในคณะเอง ก็ถูกพรรคพวกจับตัวกลางสภา และนำไปตัดหัวด้วยกิโยตีนพร้อมกับสาวกของเขาอีก ๒๑ คนในฐานะ “เผด็จการกระหายเลือด” กรรมตามทันที่เคยทำกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ไว้

ต่อมานายทหารปืนใหญ่ที่มีบทบาทในการปฏิวัติอีกคนหนึ่ง มียศและอำนาจพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการปฏิวัติ ได้เป็นนายพลเมื่ออายุได้เพียง ๒๔ ปี พออายุ ๓๕ ก็ราชาภิเษกขึ้นเป็น จักรพรรดินโปเลียน ต้นราชวงศ์โบนาปาร์ต นำฝรั่งเศสกลับไปสู่ระบอบกษัตริย์อีก และสร้างความยิ่งใหญ่ให้ประเทศได้ในพริบตา ครองอำนาจแผ่คลุมไปทั่วยุโรป ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนักการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

และเป็นผู้กล่าววลีอมตะไว้ว่า

“เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ เป็นถ้อยคำที่พราวไปด้วยเล่ห์กลมารยา”






กำลังโหลดความคิดเห็น