ในฐานะกรรมการผู้จัดการ Managing Director ของคาวาลลิโน มอเตอร์ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายซูเปอร์คาร์ม้าผยองเฟอร์รารี่เพียงหนึ่งเดียวในเมืองไทย เป็น MD หญิงเพียงหนึ่งเดียวในเอเชียของเฟอร์รารี่ บิ๋ง-นันทมาลี ภิรมย์ภักดี ผู้หญิงตัวเล็กแต่เก่งรอบด้านคนนนี้นำพาองค์กรคว้ารางวัลอันทรงเกียรติ ของ Southeast Asia และระดับโลกมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น SEA Dealer of the Year 2014, SEA Dealer of the Year 2015, Global Award Showroom of the year 2015, SEA Sales of the Year 2016, SEA Sales of the Year 2016, SEA Marketing of the Year 2017 ด้านประวัติการศึกษาของบิ๋ง นันทมาลี จบมัธยมศึกษาที่ WESTONBIRT SCHOOL, Gloucestershire, St.Edward’s School ( A Levels ) UK จบปริญญาตรี Bachelor of Arts (BA), History AUCKLAND UNIVERSITY จบปริญญาโท Master of Business Administration ( MBA ) Finance and Marketing Simmons College-Simmons School of Management, Boston, MA สหรัฐอเมริกา
ด้วยความรู้ความสามารถที่มีนำพาให้เธอบริหารองค์กรได้อย่างน่าสนใจ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งในช่วงวิกฤติโควิด-19 ไม่ว่าระลอกหนึ่ง สอง หรือสาม เธอก็ก้าวนำและพาสมาชิกในองค์กรให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนวิสัยทัศน์ผู้บริหารที่มองการณ์ไกลได้อย่างดี ขณะที่ในฐานะแม่ เธอให้การสนับสนุนลูกได้เป็นตัวเองอย่างที่อยากเป็น พร้อมกับเรียนรู้ที่จะมีความรับผิดชอบ จัดสรรเวลาเรียนและกิจกรรมให้ลงตัว พิสูจน์ได้จากรางวัลต่าง ๆ มากมายที่ลูกสาวและลูกชายคว้ามาครอบครอง
บีม วรณัน ภิรมย์ภักดี ได้รับรางวัล First Place Winner ( Broadway/ Musical category ) จากรายการแข่งขันร้องเพลงสากล American Protégé และได้ไปแสดงที่ Carnegie Hall New York City ธันวาคม 2018 และได้รับรางวัล Gold Award จากการแข่งขันร้องเพลง The 1 St Bangkok Classical Music Festival ที่ประเทศไทย กรกฎาคม 2019
ด้าน เจม นันทวุฒิ ภิรมย์ภักดี ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับการเป็นแชมป์ประเทศไทย ในการแข่งขันโกคาร์ท รุ่น Junior open ปี 2020 และรุ่น mini ปี 2019
เจม ได้รับตำแหน่งแชมป์ประเทศไทยครั้งแรก รุ่น mini ปี 2017, แชม์ Asia ในรายการ Lame Asia Final 2017,2018, Rotax Max Southeast Asia Champion 2019, Rok Cup Asia Champion 2019, Rok Cup Thailand 2018, 2019, 2020
ด้วยความสามารถรอบด้านทั้งในฐานะผู้บริหาร ทั้งในฐานะแม่และภรรยา กล่าวได้ว่า บิ๋ง จัดสรรเวลาและดูแลส่วนสำคัญทั้งหมดในชีวิตได้อย่างลงตัว
ผู้จัดการออนไลน์ จึงสัมภาษณ์พิเศษผู้หญิงเก่งคนนี้ นันทมาลี ภิรมย์ภักดี เพื่อหาคำตอบว่า สิ่งใด ทำให้เธอเผชิญกับความท้าทายในหน้าที่การงาน ขณะเดียวกันก็รับผิดชอบบทบาทในฐานะแม่และภรรยาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการพูดคุยที่สะท้อนวิสัยทัศน์ของเธอแบบ 360 องศา ครอบคลุมทุกด้านทั้งเรื่องงานและครอบครัว
>>> ความสำเร็จและความท้าทาย
เมื่อถามว่า 10 กว่าปีที่บริหารคาวาลลิโน มอเตอร์มา มีความสำเร็จ และความท้าทายใดบ้าง นันทมาลีตอบว่า ตอนเปิด มีความท้าทายในยุคนั้นที่เด่นชัดคือ มีช่วงเวลาเว้นว่างอยู่สามปี ก่อนที่คาวาลลิโนจะได้รับคัดเลือกจากเฟอร์รารี่
“มีขั้นตอนต่าง ๆ ในช่วงสามปีนั้น ผู้นำเข้าอิสระก็นำรถเข้ามา ก็ทำให้ราคาอาจไม่ได้เสถียร เมื่อเราเข้ามาก็เหมือนเข้ามาปรับราคามาตรฐานของเฟอร์รารี่ให้เป็นไปตามจริง จ่ายภาษีตรง เพราะเรารับตรงจากโรงงานจึงเป็นราคาที่ค่อนข้างเสถียร ถ้าผู้นำเข้าอิสระไม่ได้รับตรงจากโรงงาน ราคาก็ผันผวน นี่คือข้อแรก คือการปรับราคาให้เสถียร ราคาตอนแรกลูกค้าบอกว่าราคาสูง แต่นี่คือราคาจริง ๆ ของรถ ไม่ได้เป็นราคาที่มีการปรับเปลี่ยนตกแต่ง แต่เป็นราคาจริง ๆ ของรถตามใบเสร็จที่มาจากโรงงาน”
นันทมาลีระบุและกล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องทำราคาให้คงที่ เป็น motto ของคาวาลลิโนตั้งแต่ต้น “และเป็นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเฟอร์รารี่ว่าเข้ามาทำธุรกิจนี้ เราจะทำธุรกิจให้โปร่งใส และเป็นพลเมืองดีของภาครัฐ ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบและสร้างความไว้วางใจให้ลูกค้า ในวันนี้และก็ต่อ ๆ ไป”
อีกส่วนหนึ่ง ที่เป็นความท้าทาย ก็คือ นันทมาลีเป็นผู้หญิงคนแรกในเอเชีย ที่มาทำตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ Managing Director ในยุคนั้น ซึ่งยังไม่มีผู้หญิงเข้ามาบริหารเลย
“ในยุคนี้ในเอเชียก็ยังไม่มีผู้หญิงที่ทำตำแหน่งนี้ บิ๋งจึงต้องแสดงให้เขายอมรับเรา ทั้งในเฟอร์รารี่เอง ในไทยด้วย ในเฟอร์รารี่เอง ตอนที่บิ๋งต้องไปเทรนนิ่งกับเขาก็มีแต่ผู้ชาย ตำแหน่งบิ๋งที่เป็น กรรมการผู้จัดการ ขณะที่ (GM General Manager) ก็เป็นผู้ชายทั้งหมดเลยจากแต่ละประเทศ เราก็ต้องทำให้เขายอมรับเราด้วย ซึ่งก็ผ่านมาได้ด้วยดีไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะตัวบิ๋งเองก็เคยอยู่โรงเรียนผู้ชายล้วนมาก่อน มีเพื่อนผู้ชายเยอะ เราก็เลยคุ้นชินที่จะวางตัวและเข้ากับผู้ชายได้ ทำงานกับองค์กรต่างประเทศ ไปทำงานเมืองนอกมาเยอะ เราก็คุ้นชินกับการที่ต้องปรับตัว กับต่างชาติ ภาษาเราก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักมาแล้วเกินครึ่งชีวิต
“แล้วตอนที่เปิดคาวาลลิโนจำได้ว่า สื่อยานยนต์โดยเฉพาะ อาจไม่ได้มั่นใจว่าตัวบิ๋งเอง อาจจะไม่มีความรู้หรือเปล่า อาจจะไม่ได้มั่นใจว่าบิ๋งจะทำตำแหน่งนี้ได้ไหม แต่ถึงที่สุด มันก็เป็นความท้าทายที่เราก็ต้องเอาชนะ เอาผลงานมาพิสูจน์ ไม่ต้องพูดเรื่องเพศ พูดเรื่องงานที่เราทำ ซึ่งบิ๋งก็เป็นคนลุยงานอยู่แล้ว มาดูที่ศูนย์ตั้งแต่วันแรก ตั้งแต่ก่อสร้าง ทำงานใกล้ชิดกับทางเฟอร์รารี่และนำเสนอผู้บริหารเรา ผู้ลงทุนต่าง ๆ เรานำเข้าเฟอร์รารี่มา 12 ปี เติบโตและได้รับรางวัลมากมาย ทั้งในภูมิภาคอาเซียน ในเซาท์ อีสต์ เอเชีย เราทำผลงานในระดับประเทศ และในระดับโลกที่ให้การยอมรับ”
นันทมาลีกล่าวว่า เวลาทำงาน เธอทำงานเต็มที่ ไม่มีคำว่า เพศหญิง เพศชายมาเป็นอุปสรรค ถ้าเป็นนักบริหารที่เก่ง บริหารอะไรก็ได้ แต่เมื่อถึงคราวที่เราต้องเรียนรู้ธุรกิจนั้น ๆ ก็ต้องเรียนรู้ให้ถ่องแท้ เช่น ถ้าวันนี้จะไปขายแชมพูเราก็ต้องไปเรียนรู้ธุรกิจแชมพู ถ้าเราจะไปขายขนม เราก็จะต้องไปเรียนรู้ธุรกิจขนม เมื่อเราต้องมาขายรถ เราก็ต้องเรียนรู้อยากลึกซึ้ง และแน่นอน ต้อง Put the right man on the right job นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำตั้งแต่ต้น และเป็นสิ่งที่เราพัฒนามาตลอด 12 ปี
ความท้าทายต่อมา เมื่อครั้งตอนเปิดบริษัทคาวาลลิโน มอเตอร์ก็คือ ตั้งเป้าไว้ว่าต้องเป็นการเติบโตของเฟอร์รารี่ในประเทศไทย ในแบบที่เป็น Organic Growth หรือเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ตรงนี้สำคัญ ออร์แกนิกโกรท คือ ค่อยๆ เติบโต ไม่ใช่ว่าเราลงทุนอย่างมหาศาล แล้วในที่สุดยอดขายไม่ตามมา แต่เราต้องดูว่า ยอดขายต้องค่อย ๆ ตามมา ต้องสร้างความมั่นใจเมื่อเราเปิด ตาม Forecast นี้ เป็นสเต็ปที่ทำให้เราค่อย ๆ เติบโตอย่างเหมาะสม เป็นทีมเล็กก่อน ไม่ใช่เป็น High investment แล้วยอดขายไม่ตามมา แต่เราทำให้บริษัทนี้ก็ค่อย ๆ โตไปกับยอดขาย ขยายไปพร้อมกับยอดขาย” นันทมาลีระบุ และกล่าวเพิ่มเติมถึงความสำเร็จของคาวาลลิโนว่า เมื่อเปิดในปี 2009 จากนั้นเปิดตัวตึกใหญ่ที่เป็นไปตาม CI (Corporate Identity) ของเฟอร์รารี่ทั่วโลก เสร็จสิ้นในเดือนมกราคมปี 2011
“ปีนั้น เป็นช่วงปีที่เราเริ่มเปิด เราก็สู้กับทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งสิงคโปร์กับอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ ยอดขายเรายังสู้เขาไม่ได้ ยังต้องคอยสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า กระทั่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง ในปี 2014 เราก็ได้รางวัล Top SEA Dealer Awardบิ๋งก็บอกทีมว่าการที่เราได้รางวัลนี้ เราต้องทำให้ได้อีกปี เพราะปีเดียวอาจจะหมายถึงฟลุ๊คก็ได้ ต้องมีความต่อเนื่อง ดังนั้น จึงเป็นความสำเร็จอีกปีหนึ่ง ปี 2015 เราก็ได้รางวัลอีก ชนะทุกประเทศในอาเซียน 2 ปีซ้อนนี่เป็นความภูมิใจมากว่าไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นเพราะว่าเรามีความสามารถจริงๆ ที่นำพาบริษัทจากประเทศไทยมาอยู่ในจุดนี้ ในปี 2015 เราได้รับโกลบอลอวอร์ดจากเฟอร์รารี่ เป็นรางวัลอันดับ 2 ของโลก และที่มีโชว์รูมที่สวยที่สุดด้วย หลังจากนั้น ปี 2016-2017 เรายังคงได้รางวัลท็อปเซลล์ ท็อปมาร์เก็ตติ้ง ท็อป PR ที่เราได้พัฒนาต่อเนื่อง” นันทมาลีระบุอย่างภาคภูมิใจถึงสิ่งที่ได้รับการันตีในระดับโลกและอาเซียน
>>> ในฐานะ MD หญิงหนึ่งเดียวของเฟอร์รารี่ในเอเชีย
เมื่อถามถึงการเป็น MD หญิงคนแรกและคนเดียวของเอเชียของเฟอร์รารี่ ต้องเผชิญกับขั้นตอน กระบวนการ หรือแรงกดดันใดบ้าง นันทมาลีบอกเล่าว่า เนื่องจากทางผู้ถือหุ้นหรือทางผู้ใหญ่เล็งเห็น ว่าตนเอง ก็เคยทำงานอยู่ซิตี้แบงค์มา 8 ปี มีประสบการณ์การทำงานกับองค์กรอินเตอร์ แต่นอกเหนือกว่านั้น ตัวเธอเองอยู่เมืองนอกมาเกินครึ่งชีวิต เริ่มนับแต่ติดตามคุณพ่อไปตั้งแต่ในวัยเพียง 9 ขวบ ไปอยู่นิวยอร์ค เนื่องจากในเวลานั้น คุณพ่อของเธอเป็นรองเอกอัครราชทูตไทยที่นั่น
“จากนั้น บิ๋งก็ได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษตอนอายุ 14 ไปอยู่ถึงอายุ 19-20 เรียนที่อังกฤษแล้วจากนั้นก็ได้หมั้นกับคุณจ๊ะ วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี และไปเรียนด้วยกันที่นิวซีแลนด์ จนจบปริญญาตรี และได้กลับมาเมืองไทย แต่งงานกับคุณจ๊ะจากนั้นก็ไปเรียนต่อเรียนเอ็มบีเอที่ บอสตัน อเมริกา เรียนจบก็ได้ทำงานที่บอสตัน ทำงานด้าน Mutual funds เรียกได้ว่า เราก็ได้เรียนรู้ ทำงานกับฝรั่งหลายๆประเทศ ในชีวิต ได้ประสบการณ์ ทำให้เราปรับตัวเร็ว มีเพื่อนหลายประเทศ และทำให้เรา Identify ได้ว่า ฝรั่งก็มีคนละสไตล์ แต่ละประเทศ มีมุมมองต่างกัน
“การที่เราได้ย้ายหลายประเทศ เราก็ปรับตัวได้เร็ว ทำให้เราเข้ากับคนตะวันตกได้หลาย ๆ แบบ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เราเก็บเกี่ยวมาแล้วได้มาใช้กับการทำงาน อย่างยุโรป อิตาลี ถ้าต้องไปเจอตำแหน่งเดียวกันในการเทรนนิ่งหลาย ๆ ประเทศ เราก็สามารถเข้ากับเขาได้ เพราะเรามีประสบการณ์ เป็นจุดแข็งของเรา เพราะการทำงานกับเฟอร์รารี่ ยิ่งช่วงเปิดโชว์รูม ถึงทุกวันนี้ต้องคุยกับเขาทุกวัน เพื่อรับนโยบาย แล้วเฟอร์รารี่เป็นแบรนด์ระดับโลก เขามีไบเบิล หรือ CI (Corporate Identity) ในการเปิดศูนย์ การบริหาร การทำทุกอย่าง ทุกสิ่งที่เราทำต้องรีพอร์ตให้เขา ไม่ว่าการสร้างโชว์รูม แผนงาน แม้แต่บัญชีบริษัทเราก็ผูกกับเขา มาร์เก็ตติ้งเราก็ผูกกับเขา คือเฟอร์รารี่เป็นแบรนด์ใหญ่ เขามีหน้าที่ควบคุม เรามีหน้าที่รับนโยบายมาสู่บริษัทในประเทศไทย” นันทมาลีระบุถึงประสบการณ์และการทำงานที่ละเอียดละออ ก่อนกล่าวเพิ่มเติมว่าในช่วงที่เปิดคาวาลลิโน มอเตอร์ เธอก็ไปงานของเฟอร์รารี่ทุกครั้ง กระทั่งถึงช่วงโควิดที่บินไม่ได้
“บิ๋งพยายามบินไปงานของเฟอร์รารี่ทุกครั้ง เพื่อไปซึมซับรายละเอียดของรถ ไปซึมซับดีเอ็นเอของเฟอร์รารี่เพื่อนำมาสู่ประเทศไทย เพราะเราเป็นตัวแทน ต้องนำมาสู่คนไทยให้ดีที่สุด บิ๋งพาทีมงานไปด้วย ไปดูเพื่อให้เข้าใจถึงดีเอ็นเอของเฟอร์รารี่ เพราะเราทุกคนคือแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเฟอร์รารี่ ต้องนำดีเอ็นเอของเฟอร์รารี่มาสู่ประเทศไทยให้ดีที่สุด”
นันทมาลีระบุอย่างหนักแน่น และเล่าเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลา10 ปีที่ผ่านมา ยอดจองเพิ่มสูงขึ้นมา 300% จากเริ่มที่เติบโตแบบออร์แกนิค โกรท ส่วนยอดผลิต นันทมาลีกล่าวว่า แต่ละปีที่ขายเฟอร์รารี่ เขากำหนดมาว่าถ้าเรามียอดจองเท่าไหร่จอง ก็อาจจะได้ 80% ของยอดผลิต ซึ่งก็ได้ยอดเพิ่มขึ้น ค่อย ๆ เติบโตเรื่อยมา
>>> ก้าวผ่านค่าเงินที่ผันผวน สู่ความไว้วางใจสูงสุดจากลูกค้า
นอกจากนั้น ยังมีความท้าทาย คือ ช่วงที่เริ่มเปิดคาวาลลิโน ค่าเงินยูโรขึ้นไปสูงถึง 50 บาท ต้นทุนรถจึงแพงมากในช่วงนั้น ต้องปรับกลยุทธ์หลายอย่างเพื่อรองรับค่าเงินที่ผันผวนมาก
แต่ในตอนนี้ค่าเงินบาทกับยูโรไม่ได้ผันผวนเท่าเมื่อก่อน จึงกล่าวได้ว่า คาวาลลิโนเปิดในยุคที่ต้นทุนรถแพง เพราะค่าเงินยูโรแพง
“แต่เราก็ถือว่าถูกต้องแล้วที่เรามาในแนวทางออร์แกนิคโกรท ค่อยๆ โตขึ้น กระทั่งมียอดขายยอดจองอย่างเช่นทุกวันนี้” นันทมาลีระบุก่อนจะกล่าวเพิ่มเติมว่าสิ่งที่ทำให้ขายดี คือการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ปรับฐานของราคารถให้ตรงกับสิ่งที่ควรจะเป็น เมื่อราคารถนิ่ง มีมาตรฐาน ค่าเสื่อมรถจึงต่ำ เมื่อถึงเวลาลูกค้าขายรถมือสอง ซึ่งนับว่าสำคัญที่สุด ทำให้ลูกค้าเชื่อใจ แต่ต้องใช้ระยะเวลา จึงเห็นผล เมื่อลูกค้าเห็นว่าปีที่สี่ ปีที่ห้า เป็นฟีดแบ็คที่ลูกค้าให้มาว่าราคาคงที่ทำให้เขาใช้รถแล้วเงินไม่หาย
“เหมือนเราใช้รถแล้วเก็บเงินไว้ในรถ ค่าเสื่อมอาจจะหายไป 10 หรือ 20% ตามการใช้น้อยหรือใช้เยอะ เหล่านี้เป็นความไว้ใจ ความมั่นใจจากปากต่อปาก ว่าซื้อเฟอร์รารี่แล้วเงินไม่หาย หรือหายน้อยจากค่าเสื่อมที่ต่ำ คนเห็นคุณค่าในแบรนด์เฟอร์รารี่ แล้วก็อีกประการหนึ่งคือ เฟอร์รารี่ให้ความมั่นใจลูกค้า มีวารันตี ถึง 3 ปี แต่ต่อได้ถึงปีที่ 15 เพราะคนเก็บเฟอร์รารี่มักจะเก็บเผื่อเจนเนอเรชั่นถัดไป เราดูแลรถตลอดชีวิตของเฟอร์ ดังนั้น เมื่อสามารถต่อวารันตี ได้ถึงปีที่ 15 ก็มีความมั่นใจในการเก็บและดูแลรักษารถในระยะยาว สามารถต่อวารันตีได้
“นอกจากนี้ มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรีทั้งหมดตลอด 7 ปี เรามีเซอร์วิสเหล่านี้ มีบริการหลังการขายที่แข็งแรง ทำให้คนอยากเก็บรถ หรือซื้อมือสอง มือสาม มือหนึ่งก็อยากเก็บยาว” นันทมาลีระบุถึงสิทธิประโยชน์ของยนตรกรรมสุดหรูและกล่าวเพิ่มเติมว่า เฟอร์รารี่แต่ละรุ่นก็มีการพัฒนาอยู่เสมอ ที่นำนวัตกรรมมาจาก ฟอร์มูล่าวัน มีการปรับ Performance ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
“จากรุ่นคลาสสิคปี 1958 Ferrari 250 Testa Rossa มี 300 แรงม้า วันนี้ เป็น F8 ก็ 700 แรงม้าแล้ว มีการพัฒนาความเร็ว ความปลอดภัย ทุกอย่าง เฟอร์รารี่จะทำรถที่มีจำนวนจำกัด คือหากหยุดผลิตแล้ว จะหยุดจริงๆ แล้วไปทำรุ่นใหม่ ทำให้รถที่มีอยู่นั้นก็มีค่า ไม่มีคำว่ารถตกรุ่น อย่างเช่น 812 ที่เราขายไป ก็เรียกว่าเป็นเครื่อง12 สูบ รุ่นนี้เนี่ย จะเปลี่ยนเป็นระบบไฮบริดแล้ว ลูกค่าก็แสวงหา เพราะหยุดผลิตไปแล้วทั้งโลก คนที่ได้ซื้อไปก็จะเก็บรักษา เพราะมันเป็นรุ่นสุดท้ายก่อนที่จะเปลี่ยนเทคโนโลยีไฮบริดใน รุ่น V 12 เครื่อง 12 สูบ
“ดังนั้น รถเฟอร์รารี่จึงมีสตอรี่ เพราะเฟอร์รารี่ทำรถแบบที่เรียกว่ามีความน้อย มีความพิเศษ เป็นการผลิตที่ไม่ได้หักโหม มีเรื่องราวในแต่ละคัน มีสตอรี่ในยุคนั้น ทำให้น่าสะสม น่าเก็บ มีเรื่องมาเล่า อย่าง 458 หรือ v8 ที่ผลิตเป็นครั้งสุดท้าย
พอผ่านกาลเวลามาอีก 2 รุ่น คนก็แสวงหารุ่น 458 แล้ว เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ราคาไม่ลง หรือลงน้อยมาก เขา look forward ไม่ผิดหวัง เมื่อเฟอร์รารี่คันใหม่ออกเขาก็รู้แล้วว่ามันจะมีเรื่องราว รถจะทำไม่เยอะ ทำน้อย มีสตอรี่ น่าสะสม น่าเก็บ มีความ Unique มีประวัติศาสตร์ มี DNA นักแข่ง และความเป็นม้าลำพองสายพันธุ์อิตาเลียนอย่างแท้จริง”
>>> มองการณ์ไกล ตั้งการ์ดสูง เอาชนะวิกฤติโควิด-19
เมื่อถามว่าช่วงวิกฤติโควิด ปิดโชว์รูมหรือไม่ ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง ทั้งในช่วงระลอกแรก ระลอกสอง ระลอกสาม คำตอบจากนันทมาลีนับว่าน่าสนใจไม่น้อย
“ส่วนตัวบิ๋งจะลิสต์รายการที่เราต้องปรับตัวมาก่อนที่จะมีโควิดแล้ว เพราะบิ๋งก็ศึกษามาเยอะเรื่อง Disruption เราก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะทันสมัยและปรับตัวไปกับโลก ช่วงนั้นบิ๋งก็มีนโยบายที่จะมูฟทุกอย่างไปเป็นดิจิทอล เช่นในแง่ของการลดการใช้กระดาษลง และเป็นนโยบายที่เราจะปรับตัว ด้วยความที่เราวางแผนไว้ตอนที่เราเปิดเซอร์วิสเซ็นเตอร์ปี 2019 เราสร้างตึกใหม่ ที่ครบวงจร อาทิ ตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ และศูนย์ Restore รถคลาสสิค มีโซล่าร์ซิสเต็ม รวมถึงโรงแรมรถเฟอร์รารี่ มีทุกอย่างเพราะเราได้ทำ ISO 14001 และ ISO 18001
“เพราะบิ๋งมองไปในอนาคตว่ารถไฮบริดกำลังจะมา ไฮบริดเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดโลกร้อน ใช้แบตเตอรี่เข้ามาช่วย มีเทคโนโลยีของ EV (Electric Vehicle) เข้ามาช่วยส่วนหนึ่ง ทำให้เราใช้น้ำมันน้อยลง เราก็เลยดีไซน์ศูนย์ให้เป็น ISO 14001 เน้นด้านสุขอนามัย ความปลอดภัยของช่างที่ทำงานในศูนย์ รวมทั้งความปลอดภัยในเรื่องมลภาวะ รวมทั้งเราไม่ติดแอร์ แต่ใช้พัดลมใหญ่และมีที่ดูดควันออกไป เราก็ทำตามขั้นตอนของไอเอสโอเลย อีกเรื่องเป็นเรื่องสุขภาพ
“ปรากฏว่า ช่วงโควิดมา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เราก็มี Safety Officerพอมีโควิด เราก็มีมาตรการออกตั้งแต่ต้น ก่อนที่กรุงเทพจะล็อคดาวน์ เรามีการสอบถามพนักงานเลย ให้กรอกใบสอบถาม ว่าไปที่ไหน อะไร ยังไง เราให้พนักงาน Quarantine ไป 3-4 คน เพราะเขาเดินทางไปต่างจังหวัด เราทำก่อนที่กรุงเทพจะล็อคดาวน์ เราปรับกลยุทธ์ด้วยการทำมาตรการเลย มีการแบ่งโซนโชว์รูม เว้นระยะห่าง ให้ความรู้พนักงานในเรื่องนี้ แต่ว่าเราไม่ได้ปิดโชว์รูม เพราะความโชคดีคือเรามี 3 ตึก แต่ละตึกสูงแค่สองชั้น แล้วโซนเซอร์วิสก็เป็นที่โปร่ง มีความถ่ายเท ช่างก็ทำงานแบบเว้นระยะเป็นเมตร การทานข้าวก็ให้เว้นระยะ ทำมาตลอด เพราะตัวบิ๋งเองก็ได้คุยกับคุณหมอ เจ้าของโรงพยาบาลเยอะในช่วงนั้น คุณหมอทำแบบไหน เราก็ทำตามคุณหมอ เว้นระยะห่าง ศึกษาเรื่องโรค โรคนี้เกี่ยวกับสารคัดหลั่ง ถ้าเราเว้นระยะ ใส่แมสก์ตลอด เราก็รอด ตอนนั้น แมสก์แพงมาก 30 บาทต่อชิ้น แต่เราก็หามาให้พนักงาน เราก็จัดสรรหาแมสก์มาให้ทั้งลูกค้าและพนักงาน
“เราทำมาตรการให้ความรู้พนักงาน ปรึกษาคุณหมอ ว่าถ้าเราทำตามนี้ เราก็รอดกัน ปรึกษาว่าที่นี่ต้องสะอาดที่สุด และบิ๋งเข้ามาทำงานทุกวัน แน่นอนทุกคนกังวล ถ้าผู้บริหารไม่มาเขายิ่งกังวล แน่นอนบิ๋งมีสามี มีลูก แต่บิ๋งแสดงให้เขาเห็น ให้เขาเชื่อมั่นว่าบิ๋งมาทุกวัน การประชุมก็ใช้ Zoom เว้นระยะทุกอย่าง
“ในที่สุด เวฟหนึ่งถึงเวฟสาม การ์ดเราไม่เคยตกเลย สำหรับทุกคนที่ทำงานที่นี่ มีเจ้าหน้าที่มาทำการพ่นฆ่าเชื้อตลอด แล้วเราก็พ่นเองทุกวันด้วย ทำมาตลอด การ์ดไม่เคยตก เวฟหนึ่งถึงเวฟสาม การ์ดไม่เคยตก บิ๋งทำงานทุกวัน ให้ความมั่นใจกับลูกค้า กับพนักงานเอง พอเวฟสามเริ่มซีเรียส เราให้แลปมาตรวจโควิดทุกคนทุกเดือน เราก็ภูมิใจว่า 100% เราตรวจทั้งพนักงานและซัพพลายเออร์ ตรวจหมด 100% คนรถ แม่บ้าน ตรวจหมด ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราให้กับพนักงานเราเองและลูกค้า เป็นสิ่งที่เราเสริมขึ้นมาในเฟสสาม สิ่งที่ทำให้เรามั่นใจ และเราให้ความรู้พนักงานเรื่องวัคซีนด้วย ก็เลยภูมิใจว่าในเวฟหนึ่ง เวฟสอง บิ๋งก็ซื้อประกันโควิดให้ทุกคนต่อมาปีที่สองแล้ว
“พอมาปีที่สามถ้าใครไม่ฉีดวัคซีนบิ๋งขอไม่ต่อให้ แต่ถ้าฉีดวัคซีน บิ๋งต่อให้ เพราะว่าวัคซีนการันตีว่าไม่ตาย เราก็อยากให้ทุกคนปลอดภัย ทุกวันนี้ พนักงาน 100% ลงทะเบียนว่าจะฉีดวัคซีน เป็นความน่าภูมิใจ บิ๋งก็ทำให้เขาดูเป็นแบบอย่างลงทะเบียน ให้พ่อ ให้แม่ ให้ตัวเองด้วย ทำให้เขาดูเป็นแบบอย่าง ว่าเราก็ไปฉีดด้วยนะ ทำให้เขามั่นใจด้วยว่าที่นี่สะอาด เราจึงมาที่นี่ทุกวัน ลูกค้าก็มั่นใจว่าที่นี่สะอาด เป็นมาตรการที่บิ๋งเห็นว่าเราในฐานะผู้นำองค์กร เราต้องทำให้เขาดู” นันทมาลีเล่าอย่างเห็นภาพรายละเอียดในการรับมือกับวิกฤติโควิดได้อย่างน่าสนใจ
>>> พร้อมเปลี่ยนแปลงสู่ New normal
เมื่อถามว่า ช่วงวิกฤติโควิด ยอดจองตกไหม นันทมาลีตอบว่า “ในเวฟหนึ่งมีลูกค้าที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว ทัวร์ โรงแรม เธอโทรไปหาทุกคนเพื่อทักทาย ให้กำลังใจ และถ้าหากใครเดือดร้อน ลำบาก เงินตอนจองที่จ่ายมา เรายินดีคืนให้ทันที ตอนที่จองรถ ถ้าเขาลำบาก เรายินดีให้ความเชื่อมั่นเขา ไม่มียึกยัก เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน โทรไปเองเลยค่ะ”
นันทมาลีระบุ รวมทั้งบอกเล่าถึงการจัดอีเวนท์แบบนิวนอร์มอลว่า เปลี่ยนรูปแบบในการจัดงาน ก่อนหน้านี้เมื่อมีงานเปิดตัวรถ ผู้สนใจก็มากัน ร้อยคน สี่ร้อยคนก็มี แต่ในช่วงโควิด ปีที่แล้ว คาวาลลิโนไม่ได้ยกเลิกรถที่จะมาโชว์ แต่ปรับรูปแบบเป็นการถ่ายทอดผ่านเฟสบุ๊คไลฟ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับรถแต่ละรุ่น
“ซึ่งนับเป็นการตัดสินใจที่ยาก ไม่มีทางออก มีแต่ความกลัว แต่บิ๋งคิดว่าเราอย่าไปยกเลิกรถเลย ให้รถมาแล้วมาให้ความรู้กับคนไทยดีกว่า ก็เลยมาปรับแผนเป็นเฟสบุ๊คไลฟ์ ซึ่งเราเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำ ไม่ได้ง่าย เราก็ต้องทำคอนเทนต์ให้ดี มีการตัดต่อ ให้น่าสนใจ ทำไม่ง่าย ในระหว่างเฟสบุ๊คไลฟ์เราก็ให้กำลังใจกับทุกคนด้วย เพราะเราถือว่าเราให้ความรู้ แล้วก็มีไพรเวทวิวเข้ามาชม เป็นกรุ๊ปเล็ก วัดอุณหภูมิ ใส่แมสก์ เว้นระยะ ทำตามมาตรการของรัฐทุกอย่าง เหล่านี้ทำให้ลูกค้า ตัวเราเอง ผู้บริหาร ได้ใกล้ชิดกัน เราก็ได้เจอลูกค้าทุกคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม แม้ไม่ได้มาซื้อ บางคนเห็นเฟสบุ๊คก็อยากนัดเวลามา เราก็ให้เวลาเขามาเป็นรอบ ๆ ไป ก็เลยได้ใกล้ชิด ได้เจอลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ด้วย ที่เขาอาจคิดว่าเฟอร์รารี่ไกลตัว เราก็เลยได้พบวิถีใหม่ในการได้พบลูกค้า”
นันทมาลีระบุ และกล่าวย้ำว่า การเป็นผู้นำในยุคดิสรัปชั่น เราต้องปรับตัวได้เร็ว
“เนื่องจากบิ๋งเป็นคนคิดบวกน่ะค่ะ ว่าในสิ่งที่ไม่ดี มันมีสิ่งดี ในโลกที่ร้าย ยังมีสิ่งดี เราได้ปรับตัว ปรับองค์กร บิ๋งได้ปรับทีม เป็นนิวเจน ยังก์เจน เหมือนได้เป็นพลังให้เราในการปรับองค์กรให้ทันสมัย เราปรับทั้งภายในภายนอก เราก็มีเวลาปรับโชว์รูม ครบ 10 ปี พอดี เมื่อโควิดคลี่คลายช่วงต้นปี 2021 โชว์รูมเราก็เสร็จพอดี เนื่องจากช่วงโควิดเรารีโนเวทโชว์รูมไปด้วย ปรับทีมไปด้วย เรื่องที่ไม่ดี ก็ทำให้มีเรื่องดี ๆ บ้าง เพราะถ้าลูกค้าเข้ามาเยอะๆ เราก็ทำสิ่งนี้ไม่ได้ พอลูกค้าเริ่มเข้ามาน้อยลง เราจึงทำสิ่งนี้ได้ พอสถานการณ์ดีขึ้น โชว์รูมเราก็เสร็จหมดแล้ว เป็นประเทศแรกในเซาท์อีสต์เอเชียที่ทำโชว์รูมใหม่เสร็จ เราสามารถแบ่งโซน ทำงานเป็นส่วน ๆ จนแล้วเสร็จ ทุกอย่างคือการวางแผน นอกจากนี้เรายังตรวจโควิดอย่างเข้มงวด ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
นันทมาลีย้ำว่า ประเด็นสำคัญคือ Mindset เราไม่รู้จักเจ้าโรคนี้เลย แต่เธอก็โทรศัพท์ขอความรู้เจ้าของโรงพยาบาลบางท่าน พูดคุยกับคุณหมอเยอะ ฟังข้อมูลข่าวสาร ให้ความรู้กับคนในองค์กร เพื่อที่เราจะปรับตัวให้อยู่รอดและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและคนในองค์กรเราเอง
>>> ไลฟ์สไตล์บ่งบอกตัวตน สุนทรียะและความเชื่อมั่นในครอบครัว
เมื่อถามถึง ไลฟ์สไตล์ การดูแลตัวเองและครอบครัว นันทมาลีเล่าอย่าเห็นภาพว่า ในช่วงที่ผ่านมา คือ เป็นความโชคดี เมื่อครั้งทำงานที่ซิตี้แบงก์ เธอทำงานหนักมาก เมื่อถึงจังหวะเวลาที่จะได้มาดูแลคาวาลลิโน เธอมีลูกอายุ 2 ขวบ ช่วงนั้น ยังมีเวลาที่เธอไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียนตลอด ไม่เคยพลาดงานที่โรงเรียนของลูกทั้งสองคน ไม่ว่าจะรำไทย หรือแสดงอะไร เธอในฐานะแม่จะอยู่เคียงข้างลูกตลอด
“ช่วงนั้น ลูกเรียนครึ่งวัน เราก็ไปรอเขา แล้วธุรกิจคาวาลลิโนยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ เราก็ไปนั่งส่งงาน ส่งอีเมล์ ไปนั่งทำงานตามร้านกาแฟรอลูก เมื่อคาวาลลิโนเปิดเต็มรูปแบบ ลูกสี่ขวบ ทุกอย่างก็ก็เริ่มโอเค เมื่อเขาสี่-ห้าขวบ เราก็บริหารเวลาได้มากขึ้น พอมาถึงวันนี้ ต้องมาประชุมเยอะขึ้น บริหาร วางแผนมากขึ้น ลูกก็เป็นวัยรุ่นพอดี ตอนนี้ก็ 15 ปี ก็ถือเป็นความโชคดี คล้าย ๆ ว่าการเติบโตของลูกกับบริษัทคล้ายกัน ถ้าลูกยังเล็ก บริษัทก็ยังเพิ่งเริ่ม มีเวลาให้เขา พอยังแบ่งเวลาได้ แต่วันนี้ เรายุ่งพอสมควร บิ๋งเลี้ยงลูกให้รู้จักรับผิดชอบตัวเอง บิ๋งไม่ต้องไปจี้นะว่าต้องท่องหนังสือสอบ ถ้าสอบแล้วไม่ได้คะแนนดี ก็เป็นผลของคุณเอง บิ๋งสอนเขาอย่างนั้น เขาก็มีพลาดไปบ้าง
“ลูกชายเป็นนักแข่งรถโกคาร์ท ทำให้เวลาของเขาถูกโฟกัสไปที่การแข่งรถ แต่หลังจากนั้นเขาก็สามารถจัดสรรเวลาทั้งเรื่องการแข่งรถและเรื่องเรียนได้ลงตัวขึ้น เราก็บอกเขาว่าบอกแม่มานะถ้าอยากให้แม่เตรียมพร้อมอะไรให้ เช่น ติวเตอร์ มีครูสอนพิเศษด้านอะไรให้บอกมา แต่แม่จะไม่บังคับ แม่จะไม่เป็นแม่ที่บอกเขาว่าวันนี้นะต้องทำอะไร วันนี้ต้องนั่งท่องหนังสือนะ แต่เราเข้าใจเขาเขาเป็นนักแข่งตั้งแต่ 7-8 ขวบ จนตอนนี้ 14 ปี เป็นแชมป์หลายสมัย แต่เขาต้องบริหารเวลาในชีวิตของเขาให้เป็น และก็ได้จัดเวลาจนได้คะแนนดีในทุกวิชา
“ส่วนลูกสาวก็ชอบแนวดนตรี ร้องเพลง บิ๋งก็พาไปประกวด ได้ที่หนึ่งก็พากันบินไปนิวยอร์คด้วยกัน ทำอะไรให้ทุกอย่างเพื่อให้เขาได้ทำในสิ่งที่เป็นความภูมิใจในชีวิตเขา แต่คุณก็ต้องบริหารเวลาในการเรียนของคุณเอง ทุกวันนี้ลูกทั้งสองก็ตั้งใจเรียน มีติวเตอร์ แบ่งเวลาที่จะเรียนพิเศษ แม่ก็ซัพพอร์ตเต็มที่ ซึ่งเขาก็จัดเวลาที่จะเรียนเอง ในการติวกับครู หรือเรียนออนไลน์ เขาก็เรียนได้เพราะโตแล้ว และลูก ๆ ก็ได้เป็นเด็กมีวินัย จัดระเบียบตารางเวลาได้เอง”
>>> เตรียม Work experience เพื่อลูก ดูแลตัวเองเพื่อสามี
สิ่งสำคัญก็บอกเขาว่าพ่อก็ทำงาน แม่ก็ทำงาน ถ้าพ่อแม่เก่งลูกก็ต้องเก่ง สอนเขาแบบนี้ เป็น โรล โมเดล สำหรับเขา ซัมเมอร์นี้ เขาจะ 15 ปีเราก็มองว่าเขาต้องเริ่มมีประสบการณ์การทำงานแล้ว อาจให้เขาทำ Work experience สักอาทิตย์ สองอาทิตย์ เพราะเขาต้องเตรียมตัวค้นพบว่าชอบทำงานอะไร ก็เลยตั้งใจจะส่งเขาไปทำงานสักสองอาทิตย์ถ้าสถานการณ์อำนวยให้ เพราะพ่อแม่ทำงานทั้งคู่ คุณต้องมาช่วยเราสานต่อธุรกิจ เราก็จะสอนแนวนั้น ตอนกินข้าวตอนเย็น เราก็จะคุยกันเรื่องธุรกิจ”
นันทมาลีบอกเล่าพร้อมเสียงหัวเราะแห่งความสุขและความอบอุ่นในครอบครัว และกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สิ่งสำคัญคือเมื่อเราทำอะไรเยอะ เป็นทั้งผู้บริหาร เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งภรรยา เราก็ต้องไม่หลุด สิ่งที่จะช่วยเราจริง ๆ ก็คือ สมาร์ทโฟน ซึ่งเธอจดทุกอย่างเข้าไปในมืดถือ แบ็คอัพข้อมูลไว้ในไอคลาวด์ ถึงโทรศัพท์มือถือจะล่ม ก็ยังมีแบ็คอัพ
“ในโทรศัพท์มือถือก็จะมีทุกอย่าง ลูกจะเรียนพิเศษอะไร ยังไง เตือนทุกอย่างในนี้หมด เป็นการออแกไนซ์ชีวิต ทำให้เราไม่ลืม เราต้องบริหารหลายอย่างในชีวิต เป็น เวิร์คกิ้งมัม เป็นความภูมิใจนะคะ ถ้าเราบริหารชีวิตได้ดี งานออกมาดี ลูกเก่ง เราก็รู้สึกว่าเราก็สำเร็จ ในฐานะภรรยาก็ต้องคอยดูแลตัวเองให้ดีคอยหมั่นออกกำลังกาย ดูแลหน้าตา ผิวพรรณ วิตามินบำรุง ดูและตัวเองให้ดูดี
“ช่วงนี้ ในบ้านเราก็แต่งตัวสวยนะ ลูกก็ถามแม่จะแต่งตัวสวยไปไหน เราก็รู้สึกว่าเราต้องแต่งตัวสวย เพราะช่วงนี้เราอยู่แค่ที่บ้าน กับที่ทำงาน ไม่ได้ไปไหน อยู่บ้านแต่งตัวสวย เราก็รู้สึกสดชื่น มีความสุขของเรา แต่งตัวสวยให้ทุกคนสดชื่น”
นันทมาลีบอกเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนบอกเล่าเพิ่มเติมถึงบรรยากาศในครอบครัวว่า ช่วงก่อนโควิดเธอกับสามีมักจะบินไปต่างประเทศบ่อย ขณะที่ลูกชายก็ไปแข่งรถในต่างประเทศเยอะเช่นกัน แต่เมื่อเกิดวิกฤติโควิดก็กลับกลายเป็นว่า ยังมีด้านดี ๆ คือทำให้เราได้อยู่ด้วยกัน ได้ทานข้าวด้วยกันทุกเย็น
>>> ในวิกฤติมีโอกาส Mindset สำคัญที่สุด
“ดังนั้น ในสองปีนี้ก็มีสิ่งดี คือ ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้า อย่างที่บอกไงคะ เราเองก็เต็มที่ แต่งตัวสวย เปลี่ยนเมนูอาหารไปเรื่อย ๆ ทำกับข้าวบ้าง ทำบ้านให้สดชื่น” นันทมาลียืนยันถึงความสุขอันแสนเรียบง่าย ก่อนจะทิ้งท้ายถึงสิ่งสำคัญคือทัศนคติในการใช้ชีวิต โดยย้ำว่า
“Mindset สำคัญที่สุดค่ะ มันทำให้เราผ่านทุกอุปสรรค สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งคือการปรับตัว เพราะชีวิตต้องมีดิสรัปชั่นในทุก ๆ ด้าน เราต้องปรับตัวเร็ว เป็นผู้บริหารที่ปรับตัวได้เร็ว สู้ และอย่าท้อถอย เพราะถึงไม่มีโควิด โลกมันจะไปเร็วมาก
“ข้อสอง เรียนรู้จากรุ่นเด็ก เปิดรับ ตอนนี้บิ๋งก็เรียนรู้จากลูกเอง เช่น น้องเจม สอนแม่ฟังคลับเฮาส์ เป็นปรัชญาว่าเราต้องเปิดรับสิ่งใหม่ๆ รับฟังเขา
“ข้อสาม ถือเป็นอุดมคติเลย ทุกเรื่องที่ไม่ดี มักจะมีข้อดีแฝงอยู่ ค้นหามันไป
“เรื่องโควิด มันก็สอนให้เราปรับให้ทันสมัยขึ้น ปรับองค์กร ปรับวิธีการทำงาน คิดว่าในทุกอย่างในชีวิตเราต้องได้เจอไม่ว่าเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ อย่าไปคิดว่าทำไมมันเกิดขึ้นกับฉันแบบนี้ แต่เราต้องคิดว่า เรื่องดี ๆ ต้องเกิดขึ้น เหมือนฟ้าหลังฝน เรื่องดี ๆ จะต้องตามมา เพราะแบบนี้ มันถึงทำให้บิ๋งนอนหลับสนิทมาโดยตลอด เราจะไม่ย้อนกลับไป เราจะมองไปข้างหน้า จะพูดตลอดว่า ทุกสิ่งที่ไม่ดีจะมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นเสมอ แต่ต้องหามันให้เจอ”
คือตัวตนอันรอบด้านที่น่าสนใจและควรค่าแก่การทำความรู้จักกับเธอคนนี้-นันทมาลี ภิรมย์ภักดี
...............................................
Text by รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
ไม่ว่าจะเป็น SEA Dealer of the Year 2014, SEA Dealer of the Year 2015, Global Award Showroom of the year 2015, SEA Sales of the Year 2016, SEA Sales of the Year 2016, SEA Marketing of the Year 2017 ด้านประวัติการศึกษาของบิ๋ง นันทมาลี จบมัธยมศึกษาที่ WESTONBIRT SCHOOL, Gloucestershire, St.Edward’s School ( A Levels ) UK จบปริญญาตรี Bachelor of Arts (BA), History AUCKLAND UNIVERSITY จบปริญญาโท Master of Business Administration ( MBA ) Finance and Marketing Simmons College-Simmons School of Management, Boston, MA สหรัฐอเมริกา
ด้วยความรู้ความสามารถที่มีนำพาให้เธอบริหารองค์กรได้อย่างน่าสนใจ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งในช่วงวิกฤติโควิด-19 ไม่ว่าระลอกหนึ่ง สอง หรือสาม เธอก็ก้าวนำและพาสมาชิกในองค์กรให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนวิสัยทัศน์ผู้บริหารที่มองการณ์ไกลได้อย่างดี ขณะที่ในฐานะแม่ เธอให้การสนับสนุนลูกได้เป็นตัวเองอย่างที่อยากเป็น พร้อมกับเรียนรู้ที่จะมีความรับผิดชอบ จัดสรรเวลาเรียนและกิจกรรมให้ลงตัว พิสูจน์ได้จากรางวัลต่าง ๆ มากมายที่ลูกสาวและลูกชายคว้ามาครอบครอง
บีม วรณัน ภิรมย์ภักดี ได้รับรางวัล First Place Winner ( Broadway/ Musical category ) จากรายการแข่งขันร้องเพลงสากล American Protégé และได้ไปแสดงที่ Carnegie Hall New York City ธันวาคม 2018 และได้รับรางวัล Gold Award จากการแข่งขันร้องเพลง The 1 St Bangkok Classical Music Festival ที่ประเทศไทย กรกฎาคม 2019
ด้าน เจม นันทวุฒิ ภิรมย์ภักดี ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับการเป็นแชมป์ประเทศไทย ในการแข่งขันโกคาร์ท รุ่น Junior open ปี 2020 และรุ่น mini ปี 2019
เจม ได้รับตำแหน่งแชมป์ประเทศไทยครั้งแรก รุ่น mini ปี 2017, แชม์ Asia ในรายการ Lame Asia Final 2017,2018, Rotax Max Southeast Asia Champion 2019, Rok Cup Asia Champion 2019, Rok Cup Thailand 2018, 2019, 2020
ด้วยความสามารถรอบด้านทั้งในฐานะผู้บริหาร ทั้งในฐานะแม่และภรรยา กล่าวได้ว่า บิ๋ง จัดสรรเวลาและดูแลส่วนสำคัญทั้งหมดในชีวิตได้อย่างลงตัว
ผู้จัดการออนไลน์ จึงสัมภาษณ์พิเศษผู้หญิงเก่งคนนี้ นันทมาลี ภิรมย์ภักดี เพื่อหาคำตอบว่า สิ่งใด ทำให้เธอเผชิญกับความท้าทายในหน้าที่การงาน ขณะเดียวกันก็รับผิดชอบบทบาทในฐานะแม่และภรรยาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการพูดคุยที่สะท้อนวิสัยทัศน์ของเธอแบบ 360 องศา ครอบคลุมทุกด้านทั้งเรื่องงานและครอบครัว
>>> ความสำเร็จและความท้าทาย
เมื่อถามว่า 10 กว่าปีที่บริหารคาวาลลิโน มอเตอร์มา มีความสำเร็จ และความท้าทายใดบ้าง นันทมาลีตอบว่า ตอนเปิด มีความท้าทายในยุคนั้นที่เด่นชัดคือ มีช่วงเวลาเว้นว่างอยู่สามปี ก่อนที่คาวาลลิโนจะได้รับคัดเลือกจากเฟอร์รารี่
“มีขั้นตอนต่าง ๆ ในช่วงสามปีนั้น ผู้นำเข้าอิสระก็นำรถเข้ามา ก็ทำให้ราคาอาจไม่ได้เสถียร เมื่อเราเข้ามาก็เหมือนเข้ามาปรับราคามาตรฐานของเฟอร์รารี่ให้เป็นไปตามจริง จ่ายภาษีตรง เพราะเรารับตรงจากโรงงานจึงเป็นราคาที่ค่อนข้างเสถียร ถ้าผู้นำเข้าอิสระไม่ได้รับตรงจากโรงงาน ราคาก็ผันผวน นี่คือข้อแรก คือการปรับราคาให้เสถียร ราคาตอนแรกลูกค้าบอกว่าราคาสูง แต่นี่คือราคาจริง ๆ ของรถ ไม่ได้เป็นราคาที่มีการปรับเปลี่ยนตกแต่ง แต่เป็นราคาจริง ๆ ของรถตามใบเสร็จที่มาจากโรงงาน”
นันทมาลีระบุและกล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องทำราคาให้คงที่ เป็น motto ของคาวาลลิโนตั้งแต่ต้น “และเป็นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเฟอร์รารี่ว่าเข้ามาทำธุรกิจนี้ เราจะทำธุรกิจให้โปร่งใส และเป็นพลเมืองดีของภาครัฐ ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบและสร้างความไว้วางใจให้ลูกค้า ในวันนี้และก็ต่อ ๆ ไป”
อีกส่วนหนึ่ง ที่เป็นความท้าทาย ก็คือ นันทมาลีเป็นผู้หญิงคนแรกในเอเชีย ที่มาทำตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ Managing Director ในยุคนั้น ซึ่งยังไม่มีผู้หญิงเข้ามาบริหารเลย
“ในยุคนี้ในเอเชียก็ยังไม่มีผู้หญิงที่ทำตำแหน่งนี้ บิ๋งจึงต้องแสดงให้เขายอมรับเรา ทั้งในเฟอร์รารี่เอง ในไทยด้วย ในเฟอร์รารี่เอง ตอนที่บิ๋งต้องไปเทรนนิ่งกับเขาก็มีแต่ผู้ชาย ตำแหน่งบิ๋งที่เป็น กรรมการผู้จัดการ ขณะที่ (GM General Manager) ก็เป็นผู้ชายทั้งหมดเลยจากแต่ละประเทศ เราก็ต้องทำให้เขายอมรับเราด้วย ซึ่งก็ผ่านมาได้ด้วยดีไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะตัวบิ๋งเองก็เคยอยู่โรงเรียนผู้ชายล้วนมาก่อน มีเพื่อนผู้ชายเยอะ เราก็เลยคุ้นชินที่จะวางตัวและเข้ากับผู้ชายได้ ทำงานกับองค์กรต่างประเทศ ไปทำงานเมืองนอกมาเยอะ เราก็คุ้นชินกับการที่ต้องปรับตัว กับต่างชาติ ภาษาเราก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักมาแล้วเกินครึ่งชีวิต
“แล้วตอนที่เปิดคาวาลลิโนจำได้ว่า สื่อยานยนต์โดยเฉพาะ อาจไม่ได้มั่นใจว่าตัวบิ๋งเอง อาจจะไม่มีความรู้หรือเปล่า อาจจะไม่ได้มั่นใจว่าบิ๋งจะทำตำแหน่งนี้ได้ไหม แต่ถึงที่สุด มันก็เป็นความท้าทายที่เราก็ต้องเอาชนะ เอาผลงานมาพิสูจน์ ไม่ต้องพูดเรื่องเพศ พูดเรื่องงานที่เราทำ ซึ่งบิ๋งก็เป็นคนลุยงานอยู่แล้ว มาดูที่ศูนย์ตั้งแต่วันแรก ตั้งแต่ก่อสร้าง ทำงานใกล้ชิดกับทางเฟอร์รารี่และนำเสนอผู้บริหารเรา ผู้ลงทุนต่าง ๆ เรานำเข้าเฟอร์รารี่มา 12 ปี เติบโตและได้รับรางวัลมากมาย ทั้งในภูมิภาคอาเซียน ในเซาท์ อีสต์ เอเชีย เราทำผลงานในระดับประเทศ และในระดับโลกที่ให้การยอมรับ”
นันทมาลีกล่าวว่า เวลาทำงาน เธอทำงานเต็มที่ ไม่มีคำว่า เพศหญิง เพศชายมาเป็นอุปสรรค ถ้าเป็นนักบริหารที่เก่ง บริหารอะไรก็ได้ แต่เมื่อถึงคราวที่เราต้องเรียนรู้ธุรกิจนั้น ๆ ก็ต้องเรียนรู้ให้ถ่องแท้ เช่น ถ้าวันนี้จะไปขายแชมพูเราก็ต้องไปเรียนรู้ธุรกิจแชมพู ถ้าเราจะไปขายขนม เราก็จะต้องไปเรียนรู้ธุรกิจขนม เมื่อเราต้องมาขายรถ เราก็ต้องเรียนรู้อยากลึกซึ้ง และแน่นอน ต้อง Put the right man on the right job นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำตั้งแต่ต้น และเป็นสิ่งที่เราพัฒนามาตลอด 12 ปี
ความท้าทายต่อมา เมื่อครั้งตอนเปิดบริษัทคาวาลลิโน มอเตอร์ก็คือ ตั้งเป้าไว้ว่าต้องเป็นการเติบโตของเฟอร์รารี่ในประเทศไทย ในแบบที่เป็น Organic Growth หรือเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ตรงนี้สำคัญ ออร์แกนิกโกรท คือ ค่อยๆ เติบโต ไม่ใช่ว่าเราลงทุนอย่างมหาศาล แล้วในที่สุดยอดขายไม่ตามมา แต่เราต้องดูว่า ยอดขายต้องค่อย ๆ ตามมา ต้องสร้างความมั่นใจเมื่อเราเปิด ตาม Forecast นี้ เป็นสเต็ปที่ทำให้เราค่อย ๆ เติบโตอย่างเหมาะสม เป็นทีมเล็กก่อน ไม่ใช่เป็น High investment แล้วยอดขายไม่ตามมา แต่เราทำให้บริษัทนี้ก็ค่อย ๆ โตไปกับยอดขาย ขยายไปพร้อมกับยอดขาย” นันทมาลีระบุ และกล่าวเพิ่มเติมถึงความสำเร็จของคาวาลลิโนว่า เมื่อเปิดในปี 2009 จากนั้นเปิดตัวตึกใหญ่ที่เป็นไปตาม CI (Corporate Identity) ของเฟอร์รารี่ทั่วโลก เสร็จสิ้นในเดือนมกราคมปี 2011
“ปีนั้น เป็นช่วงปีที่เราเริ่มเปิด เราก็สู้กับทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งสิงคโปร์กับอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ ยอดขายเรายังสู้เขาไม่ได้ ยังต้องคอยสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า กระทั่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง ในปี 2014 เราก็ได้รางวัล Top SEA Dealer Awardบิ๋งก็บอกทีมว่าการที่เราได้รางวัลนี้ เราต้องทำให้ได้อีกปี เพราะปีเดียวอาจจะหมายถึงฟลุ๊คก็ได้ ต้องมีความต่อเนื่อง ดังนั้น จึงเป็นความสำเร็จอีกปีหนึ่ง ปี 2015 เราก็ได้รางวัลอีก ชนะทุกประเทศในอาเซียน 2 ปีซ้อนนี่เป็นความภูมิใจมากว่าไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นเพราะว่าเรามีความสามารถจริงๆ ที่นำพาบริษัทจากประเทศไทยมาอยู่ในจุดนี้ ในปี 2015 เราได้รับโกลบอลอวอร์ดจากเฟอร์รารี่ เป็นรางวัลอันดับ 2 ของโลก และที่มีโชว์รูมที่สวยที่สุดด้วย หลังจากนั้น ปี 2016-2017 เรายังคงได้รางวัลท็อปเซลล์ ท็อปมาร์เก็ตติ้ง ท็อป PR ที่เราได้พัฒนาต่อเนื่อง” นันทมาลีระบุอย่างภาคภูมิใจถึงสิ่งที่ได้รับการันตีในระดับโลกและอาเซียน
>>> ในฐานะ MD หญิงหนึ่งเดียวของเฟอร์รารี่ในเอเชีย
เมื่อถามถึงการเป็น MD หญิงคนแรกและคนเดียวของเอเชียของเฟอร์รารี่ ต้องเผชิญกับขั้นตอน กระบวนการ หรือแรงกดดันใดบ้าง นันทมาลีบอกเล่าว่า เนื่องจากทางผู้ถือหุ้นหรือทางผู้ใหญ่เล็งเห็น ว่าตนเอง ก็เคยทำงานอยู่ซิตี้แบงค์มา 8 ปี มีประสบการณ์การทำงานกับองค์กรอินเตอร์ แต่นอกเหนือกว่านั้น ตัวเธอเองอยู่เมืองนอกมาเกินครึ่งชีวิต เริ่มนับแต่ติดตามคุณพ่อไปตั้งแต่ในวัยเพียง 9 ขวบ ไปอยู่นิวยอร์ค เนื่องจากในเวลานั้น คุณพ่อของเธอเป็นรองเอกอัครราชทูตไทยที่นั่น
“จากนั้น บิ๋งก็ได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษตอนอายุ 14 ไปอยู่ถึงอายุ 19-20 เรียนที่อังกฤษแล้วจากนั้นก็ได้หมั้นกับคุณจ๊ะ วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี และไปเรียนด้วยกันที่นิวซีแลนด์ จนจบปริญญาตรี และได้กลับมาเมืองไทย แต่งงานกับคุณจ๊ะจากนั้นก็ไปเรียนต่อเรียนเอ็มบีเอที่ บอสตัน อเมริกา เรียนจบก็ได้ทำงานที่บอสตัน ทำงานด้าน Mutual funds เรียกได้ว่า เราก็ได้เรียนรู้ ทำงานกับฝรั่งหลายๆประเทศ ในชีวิต ได้ประสบการณ์ ทำให้เราปรับตัวเร็ว มีเพื่อนหลายประเทศ และทำให้เรา Identify ได้ว่า ฝรั่งก็มีคนละสไตล์ แต่ละประเทศ มีมุมมองต่างกัน
“การที่เราได้ย้ายหลายประเทศ เราก็ปรับตัวได้เร็ว ทำให้เราเข้ากับคนตะวันตกได้หลาย ๆ แบบ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เราเก็บเกี่ยวมาแล้วได้มาใช้กับการทำงาน อย่างยุโรป อิตาลี ถ้าต้องไปเจอตำแหน่งเดียวกันในการเทรนนิ่งหลาย ๆ ประเทศ เราก็สามารถเข้ากับเขาได้ เพราะเรามีประสบการณ์ เป็นจุดแข็งของเรา เพราะการทำงานกับเฟอร์รารี่ ยิ่งช่วงเปิดโชว์รูม ถึงทุกวันนี้ต้องคุยกับเขาทุกวัน เพื่อรับนโยบาย แล้วเฟอร์รารี่เป็นแบรนด์ระดับโลก เขามีไบเบิล หรือ CI (Corporate Identity) ในการเปิดศูนย์ การบริหาร การทำทุกอย่าง ทุกสิ่งที่เราทำต้องรีพอร์ตให้เขา ไม่ว่าการสร้างโชว์รูม แผนงาน แม้แต่บัญชีบริษัทเราก็ผูกกับเขา มาร์เก็ตติ้งเราก็ผูกกับเขา คือเฟอร์รารี่เป็นแบรนด์ใหญ่ เขามีหน้าที่ควบคุม เรามีหน้าที่รับนโยบายมาสู่บริษัทในประเทศไทย” นันทมาลีระบุถึงประสบการณ์และการทำงานที่ละเอียดละออ ก่อนกล่าวเพิ่มเติมว่าในช่วงที่เปิดคาวาลลิโน มอเตอร์ เธอก็ไปงานของเฟอร์รารี่ทุกครั้ง กระทั่งถึงช่วงโควิดที่บินไม่ได้
“บิ๋งพยายามบินไปงานของเฟอร์รารี่ทุกครั้ง เพื่อไปซึมซับรายละเอียดของรถ ไปซึมซับดีเอ็นเอของเฟอร์รารี่เพื่อนำมาสู่ประเทศไทย เพราะเราเป็นตัวแทน ต้องนำมาสู่คนไทยให้ดีที่สุด บิ๋งพาทีมงานไปด้วย ไปดูเพื่อให้เข้าใจถึงดีเอ็นเอของเฟอร์รารี่ เพราะเราทุกคนคือแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเฟอร์รารี่ ต้องนำดีเอ็นเอของเฟอร์รารี่มาสู่ประเทศไทยให้ดีที่สุด”
นันทมาลีระบุอย่างหนักแน่น และเล่าเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลา10 ปีที่ผ่านมา ยอดจองเพิ่มสูงขึ้นมา 300% จากเริ่มที่เติบโตแบบออร์แกนิค โกรท ส่วนยอดผลิต นันทมาลีกล่าวว่า แต่ละปีที่ขายเฟอร์รารี่ เขากำหนดมาว่าถ้าเรามียอดจองเท่าไหร่จอง ก็อาจจะได้ 80% ของยอดผลิต ซึ่งก็ได้ยอดเพิ่มขึ้น ค่อย ๆ เติบโตเรื่อยมา
>>> ก้าวผ่านค่าเงินที่ผันผวน สู่ความไว้วางใจสูงสุดจากลูกค้า
นอกจากนั้น ยังมีความท้าทาย คือ ช่วงที่เริ่มเปิดคาวาลลิโน ค่าเงินยูโรขึ้นไปสูงถึง 50 บาท ต้นทุนรถจึงแพงมากในช่วงนั้น ต้องปรับกลยุทธ์หลายอย่างเพื่อรองรับค่าเงินที่ผันผวนมาก
แต่ในตอนนี้ค่าเงินบาทกับยูโรไม่ได้ผันผวนเท่าเมื่อก่อน จึงกล่าวได้ว่า คาวาลลิโนเปิดในยุคที่ต้นทุนรถแพง เพราะค่าเงินยูโรแพง
“แต่เราก็ถือว่าถูกต้องแล้วที่เรามาในแนวทางออร์แกนิคโกรท ค่อยๆ โตขึ้น กระทั่งมียอดขายยอดจองอย่างเช่นทุกวันนี้” นันทมาลีระบุก่อนจะกล่าวเพิ่มเติมว่าสิ่งที่ทำให้ขายดี คือการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ปรับฐานของราคารถให้ตรงกับสิ่งที่ควรจะเป็น เมื่อราคารถนิ่ง มีมาตรฐาน ค่าเสื่อมรถจึงต่ำ เมื่อถึงเวลาลูกค้าขายรถมือสอง ซึ่งนับว่าสำคัญที่สุด ทำให้ลูกค้าเชื่อใจ แต่ต้องใช้ระยะเวลา จึงเห็นผล เมื่อลูกค้าเห็นว่าปีที่สี่ ปีที่ห้า เป็นฟีดแบ็คที่ลูกค้าให้มาว่าราคาคงที่ทำให้เขาใช้รถแล้วเงินไม่หาย
“เหมือนเราใช้รถแล้วเก็บเงินไว้ในรถ ค่าเสื่อมอาจจะหายไป 10 หรือ 20% ตามการใช้น้อยหรือใช้เยอะ เหล่านี้เป็นความไว้ใจ ความมั่นใจจากปากต่อปาก ว่าซื้อเฟอร์รารี่แล้วเงินไม่หาย หรือหายน้อยจากค่าเสื่อมที่ต่ำ คนเห็นคุณค่าในแบรนด์เฟอร์รารี่ แล้วก็อีกประการหนึ่งคือ เฟอร์รารี่ให้ความมั่นใจลูกค้า มีวารันตี ถึง 3 ปี แต่ต่อได้ถึงปีที่ 15 เพราะคนเก็บเฟอร์รารี่มักจะเก็บเผื่อเจนเนอเรชั่นถัดไป เราดูแลรถตลอดชีวิตของเฟอร์ ดังนั้น เมื่อสามารถต่อวารันตี ได้ถึงปีที่ 15 ก็มีความมั่นใจในการเก็บและดูแลรักษารถในระยะยาว สามารถต่อวารันตีได้
“นอกจากนี้ มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรีทั้งหมดตลอด 7 ปี เรามีเซอร์วิสเหล่านี้ มีบริการหลังการขายที่แข็งแรง ทำให้คนอยากเก็บรถ หรือซื้อมือสอง มือสาม มือหนึ่งก็อยากเก็บยาว” นันทมาลีระบุถึงสิทธิประโยชน์ของยนตรกรรมสุดหรูและกล่าวเพิ่มเติมว่า เฟอร์รารี่แต่ละรุ่นก็มีการพัฒนาอยู่เสมอ ที่นำนวัตกรรมมาจาก ฟอร์มูล่าวัน มีการปรับ Performance ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
“จากรุ่นคลาสสิคปี 1958 Ferrari 250 Testa Rossa มี 300 แรงม้า วันนี้ เป็น F8 ก็ 700 แรงม้าแล้ว มีการพัฒนาความเร็ว ความปลอดภัย ทุกอย่าง เฟอร์รารี่จะทำรถที่มีจำนวนจำกัด คือหากหยุดผลิตแล้ว จะหยุดจริงๆ แล้วไปทำรุ่นใหม่ ทำให้รถที่มีอยู่นั้นก็มีค่า ไม่มีคำว่ารถตกรุ่น อย่างเช่น 812 ที่เราขายไป ก็เรียกว่าเป็นเครื่อง12 สูบ รุ่นนี้เนี่ย จะเปลี่ยนเป็นระบบไฮบริดแล้ว ลูกค่าก็แสวงหา เพราะหยุดผลิตไปแล้วทั้งโลก คนที่ได้ซื้อไปก็จะเก็บรักษา เพราะมันเป็นรุ่นสุดท้ายก่อนที่จะเปลี่ยนเทคโนโลยีไฮบริดใน รุ่น V 12 เครื่อง 12 สูบ
“ดังนั้น รถเฟอร์รารี่จึงมีสตอรี่ เพราะเฟอร์รารี่ทำรถแบบที่เรียกว่ามีความน้อย มีความพิเศษ เป็นการผลิตที่ไม่ได้หักโหม มีเรื่องราวในแต่ละคัน มีสตอรี่ในยุคนั้น ทำให้น่าสะสม น่าเก็บ มีเรื่องมาเล่า อย่าง 458 หรือ v8 ที่ผลิตเป็นครั้งสุดท้าย
พอผ่านกาลเวลามาอีก 2 รุ่น คนก็แสวงหารุ่น 458 แล้ว เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ราคาไม่ลง หรือลงน้อยมาก เขา look forward ไม่ผิดหวัง เมื่อเฟอร์รารี่คันใหม่ออกเขาก็รู้แล้วว่ามันจะมีเรื่องราว รถจะทำไม่เยอะ ทำน้อย มีสตอรี่ น่าสะสม น่าเก็บ มีความ Unique มีประวัติศาสตร์ มี DNA นักแข่ง และความเป็นม้าลำพองสายพันธุ์อิตาเลียนอย่างแท้จริง”
>>> มองการณ์ไกล ตั้งการ์ดสูง เอาชนะวิกฤติโควิด-19
เมื่อถามว่าช่วงวิกฤติโควิด ปิดโชว์รูมหรือไม่ ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง ทั้งในช่วงระลอกแรก ระลอกสอง ระลอกสาม คำตอบจากนันทมาลีนับว่าน่าสนใจไม่น้อย
“ส่วนตัวบิ๋งจะลิสต์รายการที่เราต้องปรับตัวมาก่อนที่จะมีโควิดแล้ว เพราะบิ๋งก็ศึกษามาเยอะเรื่อง Disruption เราก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะทันสมัยและปรับตัวไปกับโลก ช่วงนั้นบิ๋งก็มีนโยบายที่จะมูฟทุกอย่างไปเป็นดิจิทอล เช่นในแง่ของการลดการใช้กระดาษลง และเป็นนโยบายที่เราจะปรับตัว ด้วยความที่เราวางแผนไว้ตอนที่เราเปิดเซอร์วิสเซ็นเตอร์ปี 2019 เราสร้างตึกใหม่ ที่ครบวงจร อาทิ ตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ และศูนย์ Restore รถคลาสสิค มีโซล่าร์ซิสเต็ม รวมถึงโรงแรมรถเฟอร์รารี่ มีทุกอย่างเพราะเราได้ทำ ISO 14001 และ ISO 18001
“เพราะบิ๋งมองไปในอนาคตว่ารถไฮบริดกำลังจะมา ไฮบริดเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดโลกร้อน ใช้แบตเตอรี่เข้ามาช่วย มีเทคโนโลยีของ EV (Electric Vehicle) เข้ามาช่วยส่วนหนึ่ง ทำให้เราใช้น้ำมันน้อยลง เราก็เลยดีไซน์ศูนย์ให้เป็น ISO 14001 เน้นด้านสุขอนามัย ความปลอดภัยของช่างที่ทำงานในศูนย์ รวมทั้งความปลอดภัยในเรื่องมลภาวะ รวมทั้งเราไม่ติดแอร์ แต่ใช้พัดลมใหญ่และมีที่ดูดควันออกไป เราก็ทำตามขั้นตอนของไอเอสโอเลย อีกเรื่องเป็นเรื่องสุขภาพ
“ปรากฏว่า ช่วงโควิดมา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เราก็มี Safety Officerพอมีโควิด เราก็มีมาตรการออกตั้งแต่ต้น ก่อนที่กรุงเทพจะล็อคดาวน์ เรามีการสอบถามพนักงานเลย ให้กรอกใบสอบถาม ว่าไปที่ไหน อะไร ยังไง เราให้พนักงาน Quarantine ไป 3-4 คน เพราะเขาเดินทางไปต่างจังหวัด เราทำก่อนที่กรุงเทพจะล็อคดาวน์ เราปรับกลยุทธ์ด้วยการทำมาตรการเลย มีการแบ่งโซนโชว์รูม เว้นระยะห่าง ให้ความรู้พนักงานในเรื่องนี้ แต่ว่าเราไม่ได้ปิดโชว์รูม เพราะความโชคดีคือเรามี 3 ตึก แต่ละตึกสูงแค่สองชั้น แล้วโซนเซอร์วิสก็เป็นที่โปร่ง มีความถ่ายเท ช่างก็ทำงานแบบเว้นระยะเป็นเมตร การทานข้าวก็ให้เว้นระยะ ทำมาตลอด เพราะตัวบิ๋งเองก็ได้คุยกับคุณหมอ เจ้าของโรงพยาบาลเยอะในช่วงนั้น คุณหมอทำแบบไหน เราก็ทำตามคุณหมอ เว้นระยะห่าง ศึกษาเรื่องโรค โรคนี้เกี่ยวกับสารคัดหลั่ง ถ้าเราเว้นระยะ ใส่แมสก์ตลอด เราก็รอด ตอนนั้น แมสก์แพงมาก 30 บาทต่อชิ้น แต่เราก็หามาให้พนักงาน เราก็จัดสรรหาแมสก์มาให้ทั้งลูกค้าและพนักงาน
“เราทำมาตรการให้ความรู้พนักงาน ปรึกษาคุณหมอ ว่าถ้าเราทำตามนี้ เราก็รอดกัน ปรึกษาว่าที่นี่ต้องสะอาดที่สุด และบิ๋งเข้ามาทำงานทุกวัน แน่นอนทุกคนกังวล ถ้าผู้บริหารไม่มาเขายิ่งกังวล แน่นอนบิ๋งมีสามี มีลูก แต่บิ๋งแสดงให้เขาเห็น ให้เขาเชื่อมั่นว่าบิ๋งมาทุกวัน การประชุมก็ใช้ Zoom เว้นระยะทุกอย่าง
“ในที่สุด เวฟหนึ่งถึงเวฟสาม การ์ดเราไม่เคยตกเลย สำหรับทุกคนที่ทำงานที่นี่ มีเจ้าหน้าที่มาทำการพ่นฆ่าเชื้อตลอด แล้วเราก็พ่นเองทุกวันด้วย ทำมาตลอด การ์ดไม่เคยตก เวฟหนึ่งถึงเวฟสาม การ์ดไม่เคยตก บิ๋งทำงานทุกวัน ให้ความมั่นใจกับลูกค้า กับพนักงานเอง พอเวฟสามเริ่มซีเรียส เราให้แลปมาตรวจโควิดทุกคนทุกเดือน เราก็ภูมิใจว่า 100% เราตรวจทั้งพนักงานและซัพพลายเออร์ ตรวจหมด 100% คนรถ แม่บ้าน ตรวจหมด ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราให้กับพนักงานเราเองและลูกค้า เป็นสิ่งที่เราเสริมขึ้นมาในเฟสสาม สิ่งที่ทำให้เรามั่นใจ และเราให้ความรู้พนักงานเรื่องวัคซีนด้วย ก็เลยภูมิใจว่าในเวฟหนึ่ง เวฟสอง บิ๋งก็ซื้อประกันโควิดให้ทุกคนต่อมาปีที่สองแล้ว
“พอมาปีที่สามถ้าใครไม่ฉีดวัคซีนบิ๋งขอไม่ต่อให้ แต่ถ้าฉีดวัคซีน บิ๋งต่อให้ เพราะว่าวัคซีนการันตีว่าไม่ตาย เราก็อยากให้ทุกคนปลอดภัย ทุกวันนี้ พนักงาน 100% ลงทะเบียนว่าจะฉีดวัคซีน เป็นความน่าภูมิใจ บิ๋งก็ทำให้เขาดูเป็นแบบอย่างลงทะเบียน ให้พ่อ ให้แม่ ให้ตัวเองด้วย ทำให้เขาดูเป็นแบบอย่าง ว่าเราก็ไปฉีดด้วยนะ ทำให้เขามั่นใจด้วยว่าที่นี่สะอาด เราจึงมาที่นี่ทุกวัน ลูกค้าก็มั่นใจว่าที่นี่สะอาด เป็นมาตรการที่บิ๋งเห็นว่าเราในฐานะผู้นำองค์กร เราต้องทำให้เขาดู” นันทมาลีเล่าอย่างเห็นภาพรายละเอียดในการรับมือกับวิกฤติโควิดได้อย่างน่าสนใจ
>>> พร้อมเปลี่ยนแปลงสู่ New normal
เมื่อถามว่า ช่วงวิกฤติโควิด ยอดจองตกไหม นันทมาลีตอบว่า “ในเวฟหนึ่งมีลูกค้าที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว ทัวร์ โรงแรม เธอโทรไปหาทุกคนเพื่อทักทาย ให้กำลังใจ และถ้าหากใครเดือดร้อน ลำบาก เงินตอนจองที่จ่ายมา เรายินดีคืนให้ทันที ตอนที่จองรถ ถ้าเขาลำบาก เรายินดีให้ความเชื่อมั่นเขา ไม่มียึกยัก เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน โทรไปเองเลยค่ะ”
นันทมาลีระบุ รวมทั้งบอกเล่าถึงการจัดอีเวนท์แบบนิวนอร์มอลว่า เปลี่ยนรูปแบบในการจัดงาน ก่อนหน้านี้เมื่อมีงานเปิดตัวรถ ผู้สนใจก็มากัน ร้อยคน สี่ร้อยคนก็มี แต่ในช่วงโควิด ปีที่แล้ว คาวาลลิโนไม่ได้ยกเลิกรถที่จะมาโชว์ แต่ปรับรูปแบบเป็นการถ่ายทอดผ่านเฟสบุ๊คไลฟ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับรถแต่ละรุ่น
“ซึ่งนับเป็นการตัดสินใจที่ยาก ไม่มีทางออก มีแต่ความกลัว แต่บิ๋งคิดว่าเราอย่าไปยกเลิกรถเลย ให้รถมาแล้วมาให้ความรู้กับคนไทยดีกว่า ก็เลยมาปรับแผนเป็นเฟสบุ๊คไลฟ์ ซึ่งเราเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำ ไม่ได้ง่าย เราก็ต้องทำคอนเทนต์ให้ดี มีการตัดต่อ ให้น่าสนใจ ทำไม่ง่าย ในระหว่างเฟสบุ๊คไลฟ์เราก็ให้กำลังใจกับทุกคนด้วย เพราะเราถือว่าเราให้ความรู้ แล้วก็มีไพรเวทวิวเข้ามาชม เป็นกรุ๊ปเล็ก วัดอุณหภูมิ ใส่แมสก์ เว้นระยะ ทำตามมาตรการของรัฐทุกอย่าง เหล่านี้ทำให้ลูกค้า ตัวเราเอง ผู้บริหาร ได้ใกล้ชิดกัน เราก็ได้เจอลูกค้าทุกคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม แม้ไม่ได้มาซื้อ บางคนเห็นเฟสบุ๊คก็อยากนัดเวลามา เราก็ให้เวลาเขามาเป็นรอบ ๆ ไป ก็เลยได้ใกล้ชิด ได้เจอลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ด้วย ที่เขาอาจคิดว่าเฟอร์รารี่ไกลตัว เราก็เลยได้พบวิถีใหม่ในการได้พบลูกค้า”
นันทมาลีระบุ และกล่าวย้ำว่า การเป็นผู้นำในยุคดิสรัปชั่น เราต้องปรับตัวได้เร็ว
“เนื่องจากบิ๋งเป็นคนคิดบวกน่ะค่ะ ว่าในสิ่งที่ไม่ดี มันมีสิ่งดี ในโลกที่ร้าย ยังมีสิ่งดี เราได้ปรับตัว ปรับองค์กร บิ๋งได้ปรับทีม เป็นนิวเจน ยังก์เจน เหมือนได้เป็นพลังให้เราในการปรับองค์กรให้ทันสมัย เราปรับทั้งภายในภายนอก เราก็มีเวลาปรับโชว์รูม ครบ 10 ปี พอดี เมื่อโควิดคลี่คลายช่วงต้นปี 2021 โชว์รูมเราก็เสร็จพอดี เนื่องจากช่วงโควิดเรารีโนเวทโชว์รูมไปด้วย ปรับทีมไปด้วย เรื่องที่ไม่ดี ก็ทำให้มีเรื่องดี ๆ บ้าง เพราะถ้าลูกค้าเข้ามาเยอะๆ เราก็ทำสิ่งนี้ไม่ได้ พอลูกค้าเริ่มเข้ามาน้อยลง เราจึงทำสิ่งนี้ได้ พอสถานการณ์ดีขึ้น โชว์รูมเราก็เสร็จหมดแล้ว เป็นประเทศแรกในเซาท์อีสต์เอเชียที่ทำโชว์รูมใหม่เสร็จ เราสามารถแบ่งโซน ทำงานเป็นส่วน ๆ จนแล้วเสร็จ ทุกอย่างคือการวางแผน นอกจากนี้เรายังตรวจโควิดอย่างเข้มงวด ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
นันทมาลีย้ำว่า ประเด็นสำคัญคือ Mindset เราไม่รู้จักเจ้าโรคนี้เลย แต่เธอก็โทรศัพท์ขอความรู้เจ้าของโรงพยาบาลบางท่าน พูดคุยกับคุณหมอเยอะ ฟังข้อมูลข่าวสาร ให้ความรู้กับคนในองค์กร เพื่อที่เราจะปรับตัวให้อยู่รอดและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและคนในองค์กรเราเอง
>>> ไลฟ์สไตล์บ่งบอกตัวตน สุนทรียะและความเชื่อมั่นในครอบครัว
เมื่อถามถึง ไลฟ์สไตล์ การดูแลตัวเองและครอบครัว นันทมาลีเล่าอย่าเห็นภาพว่า ในช่วงที่ผ่านมา คือ เป็นความโชคดี เมื่อครั้งทำงานที่ซิตี้แบงก์ เธอทำงานหนักมาก เมื่อถึงจังหวะเวลาที่จะได้มาดูแลคาวาลลิโน เธอมีลูกอายุ 2 ขวบ ช่วงนั้น ยังมีเวลาที่เธอไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียนตลอด ไม่เคยพลาดงานที่โรงเรียนของลูกทั้งสองคน ไม่ว่าจะรำไทย หรือแสดงอะไร เธอในฐานะแม่จะอยู่เคียงข้างลูกตลอด
“ช่วงนั้น ลูกเรียนครึ่งวัน เราก็ไปรอเขา แล้วธุรกิจคาวาลลิโนยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ เราก็ไปนั่งส่งงาน ส่งอีเมล์ ไปนั่งทำงานตามร้านกาแฟรอลูก เมื่อคาวาลลิโนเปิดเต็มรูปแบบ ลูกสี่ขวบ ทุกอย่างก็ก็เริ่มโอเค เมื่อเขาสี่-ห้าขวบ เราก็บริหารเวลาได้มากขึ้น พอมาถึงวันนี้ ต้องมาประชุมเยอะขึ้น บริหาร วางแผนมากขึ้น ลูกก็เป็นวัยรุ่นพอดี ตอนนี้ก็ 15 ปี ก็ถือเป็นความโชคดี คล้าย ๆ ว่าการเติบโตของลูกกับบริษัทคล้ายกัน ถ้าลูกยังเล็ก บริษัทก็ยังเพิ่งเริ่ม มีเวลาให้เขา พอยังแบ่งเวลาได้ แต่วันนี้ เรายุ่งพอสมควร บิ๋งเลี้ยงลูกให้รู้จักรับผิดชอบตัวเอง บิ๋งไม่ต้องไปจี้นะว่าต้องท่องหนังสือสอบ ถ้าสอบแล้วไม่ได้คะแนนดี ก็เป็นผลของคุณเอง บิ๋งสอนเขาอย่างนั้น เขาก็มีพลาดไปบ้าง
“ลูกชายเป็นนักแข่งรถโกคาร์ท ทำให้เวลาของเขาถูกโฟกัสไปที่การแข่งรถ แต่หลังจากนั้นเขาก็สามารถจัดสรรเวลาทั้งเรื่องการแข่งรถและเรื่องเรียนได้ลงตัวขึ้น เราก็บอกเขาว่าบอกแม่มานะถ้าอยากให้แม่เตรียมพร้อมอะไรให้ เช่น ติวเตอร์ มีครูสอนพิเศษด้านอะไรให้บอกมา แต่แม่จะไม่บังคับ แม่จะไม่เป็นแม่ที่บอกเขาว่าวันนี้นะต้องทำอะไร วันนี้ต้องนั่งท่องหนังสือนะ แต่เราเข้าใจเขาเขาเป็นนักแข่งตั้งแต่ 7-8 ขวบ จนตอนนี้ 14 ปี เป็นแชมป์หลายสมัย แต่เขาต้องบริหารเวลาในชีวิตของเขาให้เป็น และก็ได้จัดเวลาจนได้คะแนนดีในทุกวิชา
“ส่วนลูกสาวก็ชอบแนวดนตรี ร้องเพลง บิ๋งก็พาไปประกวด ได้ที่หนึ่งก็พากันบินไปนิวยอร์คด้วยกัน ทำอะไรให้ทุกอย่างเพื่อให้เขาได้ทำในสิ่งที่เป็นความภูมิใจในชีวิตเขา แต่คุณก็ต้องบริหารเวลาในการเรียนของคุณเอง ทุกวันนี้ลูกทั้งสองก็ตั้งใจเรียน มีติวเตอร์ แบ่งเวลาที่จะเรียนพิเศษ แม่ก็ซัพพอร์ตเต็มที่ ซึ่งเขาก็จัดเวลาที่จะเรียนเอง ในการติวกับครู หรือเรียนออนไลน์ เขาก็เรียนได้เพราะโตแล้ว และลูก ๆ ก็ได้เป็นเด็กมีวินัย จัดระเบียบตารางเวลาได้เอง”
>>> เตรียม Work experience เพื่อลูก ดูแลตัวเองเพื่อสามี
สิ่งสำคัญก็บอกเขาว่าพ่อก็ทำงาน แม่ก็ทำงาน ถ้าพ่อแม่เก่งลูกก็ต้องเก่ง สอนเขาแบบนี้ เป็น โรล โมเดล สำหรับเขา ซัมเมอร์นี้ เขาจะ 15 ปีเราก็มองว่าเขาต้องเริ่มมีประสบการณ์การทำงานแล้ว อาจให้เขาทำ Work experience สักอาทิตย์ สองอาทิตย์ เพราะเขาต้องเตรียมตัวค้นพบว่าชอบทำงานอะไร ก็เลยตั้งใจจะส่งเขาไปทำงานสักสองอาทิตย์ถ้าสถานการณ์อำนวยให้ เพราะพ่อแม่ทำงานทั้งคู่ คุณต้องมาช่วยเราสานต่อธุรกิจ เราก็จะสอนแนวนั้น ตอนกินข้าวตอนเย็น เราก็จะคุยกันเรื่องธุรกิจ”
นันทมาลีบอกเล่าพร้อมเสียงหัวเราะแห่งความสุขและความอบอุ่นในครอบครัว และกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สิ่งสำคัญคือเมื่อเราทำอะไรเยอะ เป็นทั้งผู้บริหาร เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งภรรยา เราก็ต้องไม่หลุด สิ่งที่จะช่วยเราจริง ๆ ก็คือ สมาร์ทโฟน ซึ่งเธอจดทุกอย่างเข้าไปในมืดถือ แบ็คอัพข้อมูลไว้ในไอคลาวด์ ถึงโทรศัพท์มือถือจะล่ม ก็ยังมีแบ็คอัพ
“ในโทรศัพท์มือถือก็จะมีทุกอย่าง ลูกจะเรียนพิเศษอะไร ยังไง เตือนทุกอย่างในนี้หมด เป็นการออแกไนซ์ชีวิต ทำให้เราไม่ลืม เราต้องบริหารหลายอย่างในชีวิต เป็น เวิร์คกิ้งมัม เป็นความภูมิใจนะคะ ถ้าเราบริหารชีวิตได้ดี งานออกมาดี ลูกเก่ง เราก็รู้สึกว่าเราก็สำเร็จ ในฐานะภรรยาก็ต้องคอยดูแลตัวเองให้ดีคอยหมั่นออกกำลังกาย ดูแลหน้าตา ผิวพรรณ วิตามินบำรุง ดูและตัวเองให้ดูดี
“ช่วงนี้ ในบ้านเราก็แต่งตัวสวยนะ ลูกก็ถามแม่จะแต่งตัวสวยไปไหน เราก็รู้สึกว่าเราต้องแต่งตัวสวย เพราะช่วงนี้เราอยู่แค่ที่บ้าน กับที่ทำงาน ไม่ได้ไปไหน อยู่บ้านแต่งตัวสวย เราก็รู้สึกสดชื่น มีความสุขของเรา แต่งตัวสวยให้ทุกคนสดชื่น”
นันทมาลีบอกเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนบอกเล่าเพิ่มเติมถึงบรรยากาศในครอบครัวว่า ช่วงก่อนโควิดเธอกับสามีมักจะบินไปต่างประเทศบ่อย ขณะที่ลูกชายก็ไปแข่งรถในต่างประเทศเยอะเช่นกัน แต่เมื่อเกิดวิกฤติโควิดก็กลับกลายเป็นว่า ยังมีด้านดี ๆ คือทำให้เราได้อยู่ด้วยกัน ได้ทานข้าวด้วยกันทุกเย็น
>>> ในวิกฤติมีโอกาส Mindset สำคัญที่สุด
“ดังนั้น ในสองปีนี้ก็มีสิ่งดี คือ ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้า อย่างที่บอกไงคะ เราเองก็เต็มที่ แต่งตัวสวย เปลี่ยนเมนูอาหารไปเรื่อย ๆ ทำกับข้าวบ้าง ทำบ้านให้สดชื่น” นันทมาลียืนยันถึงความสุขอันแสนเรียบง่าย ก่อนจะทิ้งท้ายถึงสิ่งสำคัญคือทัศนคติในการใช้ชีวิต โดยย้ำว่า
“Mindset สำคัญที่สุดค่ะ มันทำให้เราผ่านทุกอุปสรรค สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งคือการปรับตัว เพราะชีวิตต้องมีดิสรัปชั่นในทุก ๆ ด้าน เราต้องปรับตัวเร็ว เป็นผู้บริหารที่ปรับตัวได้เร็ว สู้ และอย่าท้อถอย เพราะถึงไม่มีโควิด โลกมันจะไปเร็วมาก
“ข้อสอง เรียนรู้จากรุ่นเด็ก เปิดรับ ตอนนี้บิ๋งก็เรียนรู้จากลูกเอง เช่น น้องเจม สอนแม่ฟังคลับเฮาส์ เป็นปรัชญาว่าเราต้องเปิดรับสิ่งใหม่ๆ รับฟังเขา
“ข้อสาม ถือเป็นอุดมคติเลย ทุกเรื่องที่ไม่ดี มักจะมีข้อดีแฝงอยู่ ค้นหามันไป
“เรื่องโควิด มันก็สอนให้เราปรับให้ทันสมัยขึ้น ปรับองค์กร ปรับวิธีการทำงาน คิดว่าในทุกอย่างในชีวิตเราต้องได้เจอไม่ว่าเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ อย่าไปคิดว่าทำไมมันเกิดขึ้นกับฉันแบบนี้ แต่เราต้องคิดว่า เรื่องดี ๆ ต้องเกิดขึ้น เหมือนฟ้าหลังฝน เรื่องดี ๆ จะต้องตามมา เพราะแบบนี้ มันถึงทำให้บิ๋งนอนหลับสนิทมาโดยตลอด เราจะไม่ย้อนกลับไป เราจะมองไปข้างหน้า จะพูดตลอดว่า ทุกสิ่งที่ไม่ดีจะมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นเสมอ แต่ต้องหามันให้เจอ”
คือตัวตนอันรอบด้านที่น่าสนใจและควรค่าแก่การทำความรู้จักกับเธอคนนี้-นันทมาลี ภิรมย์ภักดี
...............................................
Text by รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล